ตอนที่ 594 จ้องจนภรรยาจะกลายเป็นหิน
เจียงโม่หานนึกถึงเหตุการณ์หลังจากหนิงอ๋องสิ้นพระชนม์ไปแล้วเมื่อชาติก่อน คนของพระองค์ถูกพวกกบฏราชวงศ์ก่อนยุยงให้ลุกขึ้นมาก่อกบฏ ท้ายที่สุดต้องจบชีวิตด้วยการโดนประหาร แม้แต่ศพก็ยังไม่มีคนตามเก็บให้เลย…
ขณะที่หลินเว่ยเว่ยหันมามอง เขาก็พยักหน้าให้นาง “ในเมื่อเป็นเจตนาดีของหนิงอ๋อง เจ้าก็รับไว้เถิด ! ”
สหายมากมายของหลินเว่ยเว่ยต่างมาส่งนางที่ท่าเรือ ติงหลิงเอ๋อร์ หยานชิงชิงและยังมีหลินฉานเอ๋อร์อีกด้วย คาดไม่ถึงว่าแท้จริงหลินฉานเอ๋อร์ลูกแมวตะกละตัวนี้จะเป็นญาติฝั่งมารดาของหมินหวางเฟย !
คนที่เดินทางมาส่ง ณ ท่าเรือ นอกจากสหายของหลินเว่ยเว่ย สหายรุ่นเดียวกับเจียงโม่หานและสหายสนิทของหมินหวางเฟยแล้วยังมีลูกน้องผู้เคยผ่านความเป็นความตายมากับแม่ทัพหลินอีกด้วย…ทุกคนต้องคาดไม่ถึงแน่นอนว่าแม่ทัพหลินผู้นี้ยอมทิ้งความเจริญรุ่งเรืองของเมืองหลวงแล้วทูลขอไปอยู่ที่ภาคตะวันตกเฉียงเหนือจากฮ่องเต้หลายต่อหลายครั้ง ด้วยเหตุผลที่ว่าต้องการไปเรียนศิลปะการต่อสู้จากหมินอ๋อง
และเขาก็ทำสำเร็จด้วยสิ หมินอ๋องต้องนำทหารไปที่ภาคตะวันตกเฉียงเหนือก่อนโดยใช้ทางบก แม่ทัพหลินจึงรับหน้าที่คุ้มกันหมินหวางเฟย องค์หญิงเว่ยเว่ยและนายท่านจอหงวนไปที่อำเภอหนิงซีทางเรือ เรียกได้ว่าหมินอ๋องอิจฉาจนดวงเนตรแดงก่ำ !
แม่ทัพหลินคิดว่า ภรรยา บุตรชายและบุตรสาวล้วนไปที่อำเภอหนิงซีกันหมด แล้วจะขาดเขาได้อย่างไร ? แม้ว่าบุตรสาวคนรองจะยังไม่ยอมรับ แต่เขาจะพยายามสุดความสามารถ ต้องมีสักวันที่นางเข้าใจว่าเขารักหลานเอ๋อร์ (นางหวง) จากใจจริง !
“ท่านแม่ทัพ ท่านสำรวมกิริยาหน่อย ไม่เห็นใต้เท้าหมินอ๋องขุ่นเคืองจนอยากขึ้นมาลากท่านลงจากเรือแล้วตีแรง ๆ สักรอบหรือขอรับ ? ” ด้านข้างของแม่ทัพหลินคือสหายสองสามคนที่ร่วมเป็นร่วมตายด้วยกันมา หรือจะเรียกได้ว่าเป็นรองแม่ทัพที่คอยระวังหลังให้แก่กันเลยก็ได้
หมินอ๋องที่อยู่บนท่าเรือก็ทำตัวเหมือนสุนัขผู้จงรักภักดีคอยเฝ้าอยู่ข้างกายหมินหวางเฟยไม่ยอมห่าง หมินหวางเฟยกำลังบอกลากับฝูเหรินที่สนิทสนมกัน พระองค์จึงเข้าไปตรัสแทรกไม่ได้และได้แต่ใช้ดวงเนตรขมขื่นจ้องพระชายาอยู่แบบนั้น…จากกันวันนี้ อย่างน้อยก็ไม่ได้เจอภรรยานานถึงหนึ่งเดือนกว่า มองไว้ให้มากหน่อยก็ยังดี !
ฝูเหรินไม่กี่คนนั้นซ่อนรอยยิ้มเอาไว้ หลังบอกลากับพระชายาไม่กี่ประโยคแล้วก็คืนหมินหวางเฟยให้บุรุษของนาง หมินหวางเฟยยื่นพระหัตถ์ไปบิดหูของพระสวามี “พระองค์ทำให้พวกนางหัวเราะล้อเลียนหม่อมฉัน ! ”
“ใครหัวเราะเจ้า ข้าจะไปอัดสามีของพวกนางให้ ! ยึดตัวภรรยาของข้าไว้ยังพอทน แต่กล้าหัวเราะเสวี่ยเอ๋อร์ของข้าอีก ใครมอบความกล้านี้แก่พวกนางกัน ? ” หมินอ๋องตรัสด้วยสุรเสียงหยาบกระด้าง
หมินหวางเฟยกลอกดวงเนตร “เหตุใดเมื่อครู่พระองค์ถึงไม่ทำตัวแกร่งแบบนี้เพคะ ? ”
ฝูเหรินเหล่านั้นไม่ได้เป็นแค่ศรีภรรยาทั่วไป เพราะล้วนเป็นเหมือนหมินหวางเฟยที่เคยขี่ม้าสังหารศัตรูในสนามรบมาแล้วทั้งนั้น ถ้าเมื่อครู่พระองค์กล้าตรัสแบบนั้น จะไม่โดนพวกนางฉีกเป็นชิ้น ๆ ก็แปลกแล้ว
หมินอ๋องมีสีพระพักตร์ขมขื่น “เสวี่ยเอ๋อร์ พอคิดว่าจะไม่ได้พบเจ้าอีกหนึ่งเดือนกว่า ๆ หัวใจของข้าก็เหมือนโดนมีดกรีด ฮ่องเต้ก็เลอะเลือนจริง ๆ เหตุใดไม่ให้เจ้าแซ่หลินนำทหารไป แล้วให้ข้าคอยปกป้องดูแลพวกเจ้า ? ”
“หยุดเรียกแม่ทัพหลินว่าเจ้าโน้นเจ้านี่ได้แล้ว อย่างน้อยเขาก็ไม่ด้อยไปกว่าพระองค์สักเท่าใด ! ” ช่วงหลายวันมานี้หมินหวางเฟยได้มีโอกาสทำความรู้จักกับนางหวง ทั้งสองคนเข้ากันได้ดีพอสมควรและยังอยู่กับนางเฝิงบ่อย ๆ ด้วย ทั้งสามแบ่งปันเรื่องราวสนุกสนานต่าง ๆ ของพวกลูก ๆ ให้กันและกันฟัง ความรักของแม่ทัพหลินที่มีต่อนางหวงจึงทำให้พระนางซาบซึ้งไม่น้อย…เพราะบ้านตนไปแย่งบุตรสาวเขามา ดังนั้นต้องทำดีกับบ้านเขาหน่อย !
เรือใกล้จะออกแล้ว หมินอ๋องยังคอยวนเวียนอยู่ทางด้านหลัง หมินหวางเฟยก็ทำใจไม่ค่อยได้เช่นกัน “ถ้าอย่างไร…หม่อมฉันขี่ม้าไปกับพระองค์ดีหรือไม่ ? ”
“ไม่ได้ ! ร่างกายเจ้าเพิ่งดีขึ้น ถ้าเหนื่อยจนล้มป่วยระหว่างทางขึ้นมา ข้าจะไปร้องไห้กับใคร ? ” หมินอ๋องรู้ว่าเพื่อการเดินทางในครั้งนี้บุตรสาวเตรียมตัวไว้อย่างดี นางและเหมยหยิงชำนาญในการทำอาหาร ถ้าพระชายาโดยสารเรือไปก็จะลำบากน้อยหน่อย ช่างเถิด ก็แค่ความคิดถึงหนึ่งเดือนกว่าไม่ใช่หรือ ? พระองค์ต้องอดทน ! อย่างไรก็จะให้พระชายาไปลำบากนำทัพกับพระองค์ไม่ได้เด็ดขาด !
เรือค่อย ๆ แล่นออกจากท่า หมินอ๋องโบกพระหัตถ์อยู่ที่ท่าเรือ จนกระทั่งเรือเคลื่อนตัวออกไปพ้นสายตาแล้วหมินอ๋องซื่อจื่อจึงพูดขึ้นมาเบา ๆ ว่า “ฟู่หวาง พวกเรากลับกันเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
“เฮ้อ ! หมู่เฟยของเจ้าหนีไปกับน้องสาวแล้ว พวกนางไม่ต้องการพวกเราแล้ว ! ” หมินอ๋องตรัสด้วยความเศร้าสร้อย
หมินอ๋องซื่อจื่อ “…” พวกพระองค์ทิ้งลูกไว้ แล้วไปภาคตะวันตกเฉียงเหนือด้วยกันหมด ลูกสามารถพูดอะไรได้บ้าง ? ใครกันแน่ที่ไม่ต้องการใคร ? เว่ยเอ๋อร์เป็นบุตรแท้ ๆ ของพวกพระองค์ แต่ลูกเป็นบุตรที่พวกท่านเก็บมาเลี้ยงกระมัง ?
จากเมืองหลวงไปยังอำเภอหนิงซีโดยทางน้ำต้องผ่านเขตเริ่นอันด้วย หลินเว่ยเว่ยจึงปรึกษากับหมินหวางเฟยว่าจะอยู่พักที่นั่นสักสองสามวัน หมินหวางเฟยก็อยากไปเห็นสถานที่ที่บุตรชายเติบโตขึ้นมา พระนางจึงไม่ได้คัดค้าน
หนึ่งเดือนต่อจากนั้น เรือของทางราชการลำมหึมาก็ค่อย ๆ หยุดเทียบท่าที่เขตเริ่นอัน การเดินทางราบรื่นมาโดยตลอด เรือก็ยังสะดวกสบายจึงใช้เวลาเดินทางเร็วกว่าตอนไปเมืองหลวงตั้งหลายวัน
หลิวเอ้อร์ล่ายกำลังยืนถือสมุดบัญชีอยู่ที่ท่าเรือเพื่อเตรียมถามว่ามีใครต้องการเช่าโกดังเก็บสินค้าบ้างหรือเปล่า เพราะท่าเรือฝั่งนี้หลิวว่ายจื่อยกให้เขาเป็นผู้ดูแลทั้งหมด
เมื่อเห็นบุรุษท่าทางเหมือนเป็นพ่อบ้านแล้วหลิวเอ้อร์ล่ายก็เดินเข้าไปหา ขณะกำลังจะเอ่ยปากถาม เขาต้องตกตะลึงเพราะเป็นคนรู้จัก “ซัวถัว ? ซัวถัว ! เป็นเจ้าจริงหรือ ? เจ้ากลับมาแล้ว ? แล้วนายหญิงกับเจียงเจี้ยหยวนเล่า ? ”
ซัวถัวลงมาแล้วสวมกอดเขาอย่างอบอุ่น “เจียงเจี้ยหยวนอะไรกัน ? ตอนนี้เป็นนายท่านจอหงวนแล้ว ! แน่นอนว่าเจ้าก็สามารถเรียกเขาว่าท่านเขยได้ด้วย ! ”
หลิวเอ้อร์ล่ายตาโตในทันที “ว่าอย่างไรนะ ? นายหญิงกับนายท่านจอหงวนแต่งงานกันแล้ว ? ” เรื่องที่เจียงเจี้ยหยวนได้เป็นจอหงวน เขารู้อยู่แล้ว เพราะข่าวดีก็ถูกส่งมาถึงหมู่บ้านฉือหลี่โกวเช่นกัน ส่วนเงินที่จ่ายให้คนส่งข่าวดีก็ต้องเป็นบุตรสาวคนโตตระกูลหลินจ่ายอยู่แล้ว !
ซัวถัวพยักหน้าแล้วพูดกับเขาว่า “รีบไปเถิด ไปหารถม้าที่ดีหน่อยมาสักสองสามคัน นายท่านจอหงวนและภรรยาต้องการกลับไปเยี่ยมบ้านเกิด ! ”
หลิวเอ้อร์ล่ายรีบสั่งคนไปหาเช่ารถม้า ก่อนจะเข้าไปกระซิบข้างหูซัวถัวด้วยท่าทางลับ ๆ ล่อ ๆ “ซัวถัว นายหญิงของพวกเราเป็นจวิ้นจู่ตำหนักหมินอ๋องจริงหรือ ? ”
ซัวถัวดันศีรษะเขาออกห่าง “ข่าวของเจ้านับว่าเก่าไปหน่อย ! เพราะช่วยเหลือเบื้องบนเอาไว้จึงถูกฮ่องเต้แต่งตั้งเป็นองค์หญิงและยังพระราชทานที่ดินศักดินาของเมืองหนิงโจวให้พระองค์ด้วย ! ”
“สวรรค์ ! ถ้าเช่นนั้นก็เหมือนที่เขียนไว้ในบทละคร เมืองหนิงโจวทั้งเมืองเป็นของนายหญิง ? ” ขุนนางน้อยใหญ่ในเมืองหนิงโจวทั้งหมดก็ต้องคอยฟังคำสั่งนายหญิงด้วย ? หลิวเอ้อร์ล่ายจะไม่ได้กลายเป็นแม่ทัพใหญ่ขององค์หญิงเว่ยเว่ยไปด้วยหรือ ? ทำอย่างไรดี เหมือนตัวจะลอยได้เลย…
ซัวถัวตบบ่าเขาแรง ๆ แล้วพูดเตือนว่า “หมินหวางเฟย พระมารดาแท้ ๆ ของนายหญิงก็อยู่ด้วย เจ้าต้องทำตัวให้ดี ! ”
“วางใจได้ ! ” หลิวเอ้อร์ล่ายยืดอกตั้งตรง ตอนนี้ท่าเรือเขายังพอคุมได้อยู่ จะต้องไม่ทำให้เจ้านายขายหน้าแน่นอน ! ทันใดนั้นเขาก็รีบวิ่งไปหาหน่วยงานในพื้นที่และไปขอยืมรถม้าที่ดีที่สุดมาจากครอบครัวใหญ่สองสามแห่งที่อยู่ในเขต
พอเจ้าหน้าที่จ้าวได้ยินว่านายท่านจอหงวนและ ‘จวิ้นจู่’ กลับมา อีกทั้งจำเป็นต้องใช้รถม้า เขาจึงส่งรถม้า ‘สุดหรู’ ของบ้านตัวเองมายังที่นี่ รถม้าคันนี้เป็นของมีค่าที่สุดในบ้านเขาแล้ว ปกติจะจอดไว้เฉย ๆ ไม่กล้าเอาออกมาใช้ด้วยซ้ำ !
เมื่อมาถึงท่าเรือถึงได้รู้ว่ายังมีบุคคลทรงอำนาจอีกสองคนคือหมินหวางเฟยและแม่ทัพหลินอีกด้วย แข้งขาของเขาจึงแทบจะทรุดลงไปทันที เขายืนตัวสั่นอยู่ข้างรถม้า หากหลิวเอ้อร์ล่ายไม่ได้เป็นคนแนะนำ หมินหวางเฟยก็คงเข้าพระทัยผิดว่าเขาเป็นคนขับรถม้าไปแล้ว !
หมินหวางเฟยประทับรถม้าคันเดียวกับหลินเว่ยเว่ย เดิมทีเจียงโม่หานอยากนั่งคันเดียวกับนางเฝิง แต่โดนลากมานั่งเป็นเพื่อนภรรยาและ ‘มารดา’ ของตน จากนั้นนางเฝิงก็ลากเสวี่ยยวี่และเหมยหยิงไปนั่งรถม้าคันเดียวกัน