บทที่ 589 กลายเป็นเทพมาร

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ

บทที่ 589 กลายเป็นเทพมาร

หลังทำเนียบดวงชะตามรรคาสวรรค์ถูกจัดตั้งขึ้น ก็ก่อให้เกิดคลื่นลมในแดนเซียน มีเสียงของผู้ทรงพลังแว่วดังไปทั่วปวงสวรรค์อยู่เนืองๆ ยุคสมัยนี้รุ่งเรืองยิ่งกว่าแดนเซียนช่วงก่อนเกิดมหาเคราะห์ขึ้นเสียอีก

หานเจวี๋ยรู้สึกว่านี่เป็นความดีความชอบของเขา หากไม่มีเขา มรรคาสวรรค์ที่เริ่มต้นขึ้นใหม่คงถูกมารสวรรค์ทำลายล้างไปแล้ว หากไม่มีเขา เหล่าอริยชนก็จะต่อสู้ฟาดฟันกัน จนตอนนี้แดนเซียนปั่นป่วนวุ่นวายไปแล้ว

เฮ้อ!

หานเจวี๋ยรู้สึกว่าตนช่างยิ่งใหญ่นัก

เวลาอีกหนึ่งพันปีจึงผ่านพ้นไปเช่นนี้

หานเจวี๋ยเข้าใกล้ระดับเซียนทองต้าหลัวเบิกฟ้าระยะสมบูรณ์มากขึ้นเรื่อยๆ

คาดว่าจะทะลวงขั้นก่อนอายุครบแสนปีได้ไม่มีปัญหา หลังจากบรรลุถึงระยะสมบูรณ์ เขาก็สามารถมุ่งหน้าสู่ระดับอริยะเสรีได้

ขยับขยายไปทีละก้าว

ก้าวเดินไปอย่างมั่นคง!

หานเจวี๋ยลืมตาขึ้น มองเห็นเงาร่างหนึ่งกำลังคุกเข่าอยู่นอกอารามเต๋า

เป็นมู่หรงฉี่นี่เอง

เด็กคนนี้ไม่มาขอเข้าพบหานเจวี๋ยเป็นการส่วนตัวมาหลายหมื่นปีแล้ว มู่หรงฉี่มาขอเข้าพบเขาเมื่อสี่ปีก่อน แต่เป็นเพราะโรคย้ำคิดย้ำทำของหานเจวี๋ยแรงกล้าเกินไป จึงไม่ได้ให้เขาเข้ามาในอารามเต๋าทันที อีกฝ่ายจึงคุกเข่ารอมาแล้วสี่ปี

ประตูใหญ่ของอารามเต๋าพลันเปิดออก

มู่หรงฉี่ปรีดายิ่ง รีบลุกขึ้นและเดินเข้าไปในอารามเต๋าอย่างรวดเร็ว

หลังจากเข้ามาในอารามเต๋า มู่หรงฉี่ก็คุกเข่าคารวะ

“มีเรื่องใด”

“อาจารย์ปู่ ข้าอยาก…ข้าอยากเป็นเช่นเดียวกับอาจารย์ลุงซูฉีขอรับ!”

“หืม?”

หานเจวี๋ยอดไม่ได้ที่จะมองพิจารณามู่หรงฉี่

ในอดีต เขาเชื่อมั่นและคาดหวังในตัวมู่หรงฉี่อย่างยิ่ง จนปัญญาที่คุณสมบัติของเด็กคนนี้ไม่ได้เรื่อง ยามปกติหานเจวี๋ยจึงไม่นึกถึงเขาเลย

มู่หรงฉี่มีตบะระดับปฐมเทพขั้นหกแล้ว นับว่ามีความก้าวหน้าเร็วที่สุดในหมู่ศิษย์สืบทอด แต่เขาไม่สามารถทะลวงสู่ระดับต้าหลัวได้

“อาจารย์ปู่ เรื่องนี้อย่ากล่าวโทษอาจารย์ลุงซูฉีเลยขอรับ ข้าเคยไปสอบถามเขา เขาไม่ได้ให้คำตอบ แต่เป็นข้าที่คาดเดาเอาเอง ข้าเดาว่าท่านมีความสามารถในการปรับปรุงคุณสมบัติให้ศิษย์ได้ ไม่ว่าต้องแลกด้วยสิ่งใด ข้าก็ยินดีขอรับ!”

มู่หรงฉี่เอ่ยอย่างจริงจัง เขาปรารถนาจะแข็งแกร่งขึ้นเหลือเกิน

เขาเคยเป็นถึงเทพสงครามวังเทพ แต่ในสำนักซ่อนเร้น คุณสมบัติของเขากลับอยู่ในระดับปานกลาง อย่าว่าแต่ศิษย์สืบทอดคนอื่นๆ เลย คุณสมบัติของศิษย์ในนามบางส่วนยังดีกว่าเขาเสียอีก

หานเจวี๋ยกล่าวไปว่า “เจ้าอาจจะตายได้ ข้าไม่มีความมั่นใจนัก”

“ข้ายินดีขอรับ ถึงตายก็ไม่อาวรณ์ ข้าเชื่อว่าท่านต้องมีแผนการอยู่แน่ ข้ายินดีเป็นตัวทดลอง เสียสละเพื่ออนาคตของศิษย์คนอื่นๆ หากประสบความสำเร็จ ข้าจะตอบแทนคุณสำนักซ่อนเร้น ทดแทนคุณท่านแน่นอน”

มู่หรงฉี่ตอบอย่างหนักแน่นยิ่ง หากเปลี่ยนเป็นศิษย์คนอื่น หานเจวี๋ยไม่มีทางยอมตกลง การทำเช่นนี้สิ้นเปลืองความคิดและพลังงานของเขา แต่พอเป็นมู่หรงฉี่ เขายังคงใจอ่อนอยู่ดี

หากยกระดับคุณสมบัติของมู่หรงฉี่ เขาจะเหมาะสมกับตำแหน่งศิษย์เอกแห่งสำนักซ่อนเร้นมากกว่าเต้าจื้อจุน สามารถเป็นกำลังสำคัญให้สำนักซ่อนเร้นได้

“เตรียมพร้อมมาดีหรือยัง”

“ขอรับ!!”

มู่หรงฉี่ตื่นเต้น ตัวสั่นไปหมด

ม่านตาหานเจวี๋ยหดตัววูบหนึ่ง สังขารของมู่หรงฉี่สลายเป็นเถ้าธุลี เหลือเพียงวิญญาณ

ทั้งหมดเกิดขึ้นกะทันหันจนมู่หรงฉี่ตกตะลึง เขายังไม่ทันตั้งตัว หานเจวี๋ยก็พาตัวเขาเข้าสู่โลกอนธการทันที

ในมุมหนึ่งของโลกอนธการ ปราณแห่งเทพมารหนึ่งร้อยเจ็บสิบสามตนล่องลอยอยู่รวมกัน ซูฉีได้ปราณเทพมารกลุ่มหนึ่งไปแล้ว

ระหว่างที่สนทนากันอยู่เมื่อครู่นี้หานเจวี๋ยได้ตัดสินใจเลือกเทพมารฟ้าบุพกาลตนหนึ่งไว้เรียบร้อยแล้ว

เทพมารสงคราม!

เทพมารที่ถือกำเนิดมาเพื่อสงคราม เหมาะสมกับมู่หรงฉี่ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นเทพสงคราม!

เห็นได้ชัดว่าหานเจวี๋ยค่อนข้างเอ็นดูมู่หรงฉี่

เขาใช้พลังเวทของตนห่อหุ้มวิญญาณของมู่หรงฉี่ไว้ แล้วผลักดันไปหาปราณเทพมารแห่งเทพมารสงคราม

ที่หานเจวี๋ยสามารถก่อกำเนิดปราณเทพมารได้หาใช่เพราะร่างจำลองเสรีสุญญตาอย่างเดียว ยังเป็นเพราะภายในโลกอนธการมีปราณอนธการและยอดสมบัติอย่างปฐมศิลาฟ้าบุพกาลอยู่ เมื่อเงื่อนไขหลายอย่างมารวมเข้าด้วยกัน ถึงจะมีความเป็นไปได้ในการก่อกำเนิดเทพมารฟ้าบุพกาล แต่ก็แค่มีความเป็นไปได้เท่านั้น

ยามที่วิญญาณของมู่หรงฉี่ผสานรวมเข้ากับเทพมารสงคราม ความเจ็บปวดทรมานอย่างที่ไม่เคยพานพบมาก่อนทำให้มู่หรงฉี่กรีดร้องโหยหวน หานเจวี๋ยทำราวกับไม่ได้ยิน ผสานรวมเข้าด้วยกันต่อไป

มู่หรงฉี่เองก็หัวแข็งยิ่งนักเช่นกัน เพียงร้องโหยหวนไปตามสัญชาตญาณเท่านั้น ไม่ได้บ่นคร่ำครวญ

เวลาผ่านไปสามร้อยปีเต็ม มู่หรงฉี่และเทพมารสงครามถึงได้ผสานรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน แต่หากจะให้หลอมรวมเข้าด้วยกันอย่างสมบูรณ์ ยังคงต้องใช้เวลาอีกยาวนาน

เมื่อเผชิญหน้ากับปราณเทพมาร วิญญาณของมู่หรงฉี่อ่อนแออย่างยิ่ง หากมิใช่เพราะการปกป้องของหานเจวี๋ย เขาอาจจะแตกสลายลงได้ทุกเมื่อ

ขั้นตอนต่อไปคือปล่อยให้มู่หรงฉี่ปรับตัวเข้ากับปราณเทพมาร

ในขั้นตอนนี้ มู่หรงฉี่ต้องแบกรับความเจ็บปวดทรมานอย่างที่สุดอยู่ตลอดเวลา

อีกด้านหนึ่ง

ศิษย์สืบทอดคนอื่นๆ ต่างสังเกตเห็นว่ามู่หรงฉี่หายหน้าไป หลี่เสวียนเอ้าถือโอกาสขณะที่มาหาหานเจวี๋ยสอบถามดู หลังจากทราบว่ามู่หรงฉี่ถูกหานเจวี๋ยส่งตัวออกไปทำภารกิจลับ เขาก็ไม่ถามมากอีก

“เจ้าสำนัก เรื่องเผ่าเรืองนาม ท่านมีความเห็นอย่างไรขอรับ”

หลี่เสวียนเอ้าถาม ท่าทางถ่อมตัวยิ่ง

หานเจวี๋ยมองความคิดของเขาออก คนผู้นี้คิดจะหาโอกาสสานสัมพันธ์ใกล้ชิดเขา

“พูดมาตามตรง”

หลี่เสวียนเอ้าตกใจจนตัวสั่น รีบเอ่ยว่า “ข้าพบว่าเบื้องหลังเผ่าเรืองนามมีอริยะเกื้อหนุนอยู่ แต่เผ่าเรืองนามยังมิมีต้าหลัวคอยออกหน้า ยิ่งไร้ซึ่งครึ่งอริยะด้วย ข้าคาดเดาว่าอริยะที่เกื้อหนุนเผ่าเรืองนามน่าจะเป็นอริยะโดดเดี่ยวไร้สังกัดอย่างมหาจักรพรรดิเซียวหรือฝูซีเทียนขอรับ เผ่าเรืองนามเปิดรับสิ่งมีชีวิตชื่อเสียงเลื่องลือทั่วปวงสวรรค์ ขอบเขตความคิดนี้กว้างขวางนัก และได้รับการยอมรับจากมรรคาสวรรค์ยิ่งนัก เส้นทางอนาคตไร้ขอบเขต สำนักซ่อนเร้นควรหาทางจัดการล่วงหน้าขอรับ”

ความคิดของเขาตรงกับที่หานเจวี๋ยวางแผนไว้

หานเจวี๋ยพลันนึกถึงมู่หรงฉี่ขึ้นมา

หากมู่หรงฉี่ประสบความสำเร็จ ก็จะเหมาะสมมากขึ้น

“เรื่องนี้ข้ามีแผนการในใจแล้ว ศิษย์ในนามกลุ่มต่อไปที่คุณสมบัติถึงขีดจำกัดแล้วให้ส่งไปที่เผ่าเรืองนาม”

“เจ้าสำนักปราดเปรื่องนัก! ข้ามีสายสัมพันธ์กับเผ่าเรืองนามอยู่บ้าง จะแจ้งผู้นำของเผ่าเรืองนามไว้ล่วงหน้า ให้เขาเตรียมการรอขอรับ”

“อืม”

หลี่เสวียนเอ้าก็ไม่คุยไร้สาระอีก ขอตัวอำลาไป

เผ่าเรืองนามไม่มีทางปฏิเสธการสนับสนุนจากสำนักซ่อนเร้น ถึงอย่างไรสำนักซ่อนเร้นก็เป็นกลุ่มอิทธิพลของอริยะ

เช่นเดียวยุคสมัยโบราณในโลกอดีตของหานเจวี๋ย สำนักนิกายแห่งอริยะคือตระกูลใหญ่ เมื่อโลกหล้าโกลาหลวุ่นวาย ตระกูลใหญ่หว่านลงทุนไปทั่ว ไม่ว่าผู้กล้าฝ่ายไหนจะได้รับชัยชนะ ตระกูลใหญ่ก็ล้วนได้รับประโยชน์ อยู่รอดยืนยงสืบไป

คู่ต่อสู้เผ่าเรืองนามและเผ่าปีศาจไม่มีทางเป็นสำนักนิกายแห่งอริยะไปได้ เนื่องจากไม่มีทางเอาชนะสำนักนิกายแห่งอริยะได้เลย ตรงกันข้าม หากได้รับการเกื้อหนุนจากอริยะ พวกเขาถึงจะปีนป่ายขึ้นไปสูงกว่าเดิมได้

หานเจวี๋ยจับตามองมู่หรงฉี่ต่อไป

ถึงแม้เขาจะแยกสมาธิได้ แต่ก็ยังส่งผลกระทบกับการฝึกบำเพ็ญอยู่ดี

และนี่ก็เป็นสาเหตุสำคัญที่หานเจวี๋ยไม่อยากให้ศิษย์ทุกคนกลายเป็นเทพมารฟ้าบุพกาล

ต่อให้เหล่าศิษย์จะแข็งแกร่งแค่ไหนก็ไม่มีทางไล่ตามเขาทัน ที่เขาอุ้มชูเลี้ยงดูศิษย์ ก็เพื่ออำนวยความสะดวกให้ตัวเอง และคิดเผื่ออนาคต

ในขณะที่มู่หรงฉี่กำลังจะกลายเป็นเทพมารฟ้าบุพกาล แดนเซียนก็เกิดความเปลี่ยนแปลงมหันต์เช่นกัน ผู้ทรงพลังปรากฏตัวสู่โลกาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ สร้างความตกตะลึงแก่แดนเซียน

หลี่เต้าคงยังคงครอบครองอันดับหนึ่งบนทำเนียบดวงชะตามรรคาสวรรค์มาโดยตลอด ส่วนลำดับชื่อที่เหลือกลับมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ จี้เซียนเสินเองก็ฝ่าฟันจนเข้าสู่สิบลำดับแรกได้แล้ว เทพเซียนแห่งเผ่าสวรรค์เผยแพร่มรรควิถีไปทั่ว ปกป้องคุ้มครองสิ่งมีชีวิตที่อ่อนแอ เทวรูปเทพเซียนก่อตั้งอยู่ทั่วทุกมุมในแดนเซียน พลังแห่งความศรัทธาแปรผันกลายเป็นดวงชะตา

ตะวันผันจันทราแปร ทุกสิ่งเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ

สามพันปีผ่านไป

ในที่สุดมู่หรงฉี่ก็ปรับตัวเข้ากับปราณเทพมารได้ ไม่จำเป็นต้องให้หานเจวี๋ยคอยปกป้องอีก และไม่มีทางถูกปราณเทพมารกลืนกินแล้ว

ในที่สุดหานเจวี๋ยก็สามารถสงบใจฝึกบำเพ็ญได้

แต่ก่อนหน้านั้น เขาสอดส่องดูหานทั่วก่อน

หานทั่วกำลังเทศนาธรรมแก่ศิษย์ในสังกัด ยามนี้หานทั่วรับศิษย์ไว้หลายร้อยคน ศิษย์หลานก็มีจำนวนเกินพันแล้ว ล้วนมิใช่มนุษย์ธรรมดาทั้งสิ้น

ไม่เลวเลย!

เขาปรับตัวให้เข้ากับฐานะผู้อาวุโสแห่งวังเทพขึ้นเรื่อยๆ

หานเจวี๋ยสอดส่องหานอวี้ต่อ

ทันใดนั้นสีหน้าของเขาพลันเปลี่ยนไป

หืม?

เหตุใดหานอวี้จึงไปฝึกบำเพ็ญอยู่ข้างกายหลี่เต้าคงได้

หานเจวี๋ยนับนิ้วทำนายดู ไม่น่าเชื่อว่าหานอวี้จะกลายเป็นศิษย์ของหลี่เต้าคงไปแล้ว

………………………………………………………………