บทที่ 586 ความรู้สึกที่แตกต่าง

ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม

บทที่ 586 ความรู้สึกที่แตกต่าง

บทที่ 586 ความรู้สึกที่แตกต่าง

“เช่นนั้นเจ้าก็ชอบเจี่ยงเถิงจริง ๆ ใช่หรือไม่?”

“หม่อมฉันไม่ทราบ แต่หม่อมฉันรู้สึกได้ว่าความรู้สึกที่หม่อมฉันมีต่อพี่อาเถิงแตกต่างจากองค์รัชทายาทโดยสิ้นเชิงเพคะ”

ครั้นเอ่ยถึงเจี่ยงเถิง สายตาของหลินซือก็อบอุ่นมากขึ้น

ความสุขนับครั้งไม่ถ้วนของนางคือการที่นางได้เจอกับบุรุษอบอุ่นเฉกเช่นพี่อาเถิง ทำให้นางได้ใช้ชีวิตอย่างที่นางต้องการอย่างไร้กังวล ไม่ต้องคิดเรื่องอื่น เขามักจะเห็นนางเป็นเด็กน้อยเสมอ

“เจ้าบอกข้ามาสิว่าแตกต่างกันตรงไหน?”

ครั้นองค์รัชทายาทสัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงในความรู้สึกของหลินซือ ความโหดร้ายในใจจึงเริ่มปะทุขึ้น

เขาไม่ชอบเจี่ยงเถิง แต่บางครั้งก็ต้องยอมรับว่าเจี่ยงเถิงมีพรสวรรค์มากจริง ๆ

การรับรู้ถึงความรู้สึกนี้ ทำให้เขาไม่สบอารมณ์ ถึงอย่างไรเขาก็ไม่ได้เป็นผู้มีพรสวรรค์

ถ้าคนเก่งทั้งสองคนไม่สามารถกลายเป็นสหายกันได้ นั่นคือเรื่องที่น่ากลัวมากทีเดียว

“ฝ่าบาทกำลังนำพาอันตรายมาให้หม่อมฉัน ไม่ว่าจะเป็นวาจาหรือการกระทำ หลังจากที่ไตร่ตรองอยู่หลายคราแล้ว ในที่สุดหม่อมฉันก็กล้าที่จะพูดในสิ่งที่ตัวเองอยากพูดออกไป มิเช่นนั้นคำพูดของตัวเองอาจจะนำพาหายนะมาสู่ตระกูลหลินก็ได้ องค์รัชทายาทไม่เคยตระหนัก ยามอยู่ต่อหน้าหม่อมฉัน แม้ว่าองค์รัชทายาทจะอบอุ่นกว่ายามอยู่ต่อหน้าผู้อื่น แต่ก็มักสนใจแต่ตัวเอง เพื่อความสุขของตัวเอง ไม่เคยสนใจความรู้สึกของหม่อมฉันเลยเพคะ”

“อีกอย่าง องค์รัชทายาทเคยทรงคิดบ้างหรือไม่ว่าเพราะเหตุใดพระองค์ถึงชอบหม่อมฉัน? ความรู้สึกแรกที่พระองค์สนใจหม่อมฉัน ตอนนั้นเราเพิ่งเจอกันเพียงครั้งเดียว จากนั้นพระองค์ก็เริ่มทำดีกับหม่อมฉันสารพัดอย่าง หม่อมฉันไม่เพียงแต่ไม่รู้สึกปลาบปลื้มปีติแล้ว ตรงกันข้ามยังต้องระแวดระวังมากขึ้นด้วย”

“ตระกูลหลินไม่ใช่คนอื่น แต่เป็นจวนท่านแม่ทัพ อำนาจในการควบคุมทหารมักทำให้เป็นที่อิจฉาริษยาได้ง่าย และนำมาความสงสัยมาสู่องค์จักรพรรดิโดยง่ายเช่นกัน เรื่องเหล่านี้องค์รัชทายาทไม่รู้เลยใช่หรือไม่? องค์รัชทายาทมักจะทำทุกอย่างตามใจตัวเอง ทรงไม่เคยคิดไตร่ตรองเลยสักนิดว่าการกระทำของตัวเองกำลังทำร้ายหม่อมฉันหรือไม่?”

“พี่อาเถิงนั้นแตกต่าง เราเติบโตมาด้วยกันตั้งแต่เด็ก ทุกครั้งที่ข้าเจอปัญหา พี่อาเถิงมักจะเป็นคนแรกที่ปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าของหม่อมฉัน เช็ดน้ำตาบนใบหน้าให้หม่อมฉัน จากนั้นก็แบกหม่อมฉัน เดินไปส่งจวนหลิน”

“หลังจากเติบโตขึ้น แม้ว่าพี่อาเถิงจะไม่ได้แสดงออกว่าชอบหม่อมฉัน แต่กลับยังพยายามเพื่อหม่อมฉัน กระทั่งได้ดำรงตำแหน่งขุนนาง ไปปฏิบัติภารกิจที่เสี่ยงอันตรายถึงขั้นคร่าชีวิตเหล่านั้น ไม่ใช่เพราะพี่อาเถิงอยากเลื่อนขั้น แต่เพื่อหม่อมฉัน เพื่อให้เหมาะสมคู่ควรกับหม่อมฉัน”

“แต่องค์รัชทายาทไม่เคยทราบ พี่อาเถิงเคยออกไปปฏิบัติภารกิจโดยไม่บอกข้าล่วงหน้า เกือบทำให้เราตัดขาดความสัมพันธ์ แต่พี่อาเถิงก็ไม่เคยยอมแพ้เรื่องหม่อมฉัน ตรงกันข้ามกลับพยายามปลอบโยนหม่อมฉันซ้ำแล้วซ้ำเล่าให้หม่อมฉันสบายใจ”

“พี่อาเถิงเหมือนคุณชายแสนสุภาพค่อย ๆ แทรกตัวเข้ามาในโลกของหม่อมฉันทีละน้อย ปฏิสัมพันธ์กับคนที่หม่อมฉันรู้จัก จากนั้นก็สนิทกับหม่อมฉันเรื่อย ๆ พี่อาเถิงไม่เคยยัดเยียดโลกของเขาให้กับหม่อมฉัน แต่ค่อย ๆ บอกหม่อมฉัน ให้หม่อมฉันค่อย ๆ ยอมรับ”

“แม้ว่าเรื่องเหล่านี้พี่อาเถิงจะไม่เคยบอกหม่อมฉันตรง ๆ มาก่อน แต่หม่อมฉันก็ไม่ได้โง่เขลา หม่อมฉันพอสัมผัสได้ องค์รัชทายาท บางทีพระองค์อาจจะมองว่าเรื่องเหล่านี้เป็นเพียงเรื่องเล็ก แต่เพราะเรื่องเล็กน้อยเหล่านี้ หม่อมฉันถึงได้มั่นใจว่าพี่อาเถิงใส่ใจข้าด้วยใจจริง”

“หม่อมฉันไม่รู้ว่าตัวเองชอบพี่อาเถิงหรือไม่ แต่ทุกครั้งที่ได้อยู่กับพี่อาเถิง หม่อมฉันมีความสุขเหมือนกับได้ทำในสิ่งที่ตัวเองอยากทำได้โดยไม่ต้องกังวล ไม่ต้องคิดเรื่องอื่น เรื่องเหล่านี้องค์รัชทายาทไม่สามารถให้หม่อมฉันได้ ใช่หรือไม่เพคะ?”

น้อยนักที่หลินซือจะสาธยายยืดยาวเพียงนี้ นางไม่รู้ว่าสิ่งที่ตัวเองพูดนั้นถูกต้องหรือไม่ ถึงกระนั้นนางก็ได้พูดสิ่งที่อยู่ในใจของตัวเองออกไปแล้ว

“ถ้าข้าทำได้ล่ะ เจ้าจะยกเลิกงานแต่งกับเจี่ยงเถิงแล้วมาอภิเษกสมรสกับข้าหรือไม่?”

ครั้นองค์รัชทายาทได้ยินคำพูดของหลินซือ จึงรีบคว้าประเด็นสุดท้าย

“คงไม่ได้ ตราบใดที่พี่อาเถิงไม่ทิ้งหม่อมฉัน เช่นนั้นหม่อมฉันก็จะอยู่เคียงข้างพี่อาเถิงตลอดไป องค์รัชทายาทไม่รู้สึกว่าเรื่องนี้มันบังคับหม่อมฉันเกินไปหรือเพคะ”

“แต่…”

“องค์รัชทายาทน่าจะเข้าใจความหมายของอาซือแล้ว จะบีบบังคับนางไปทำไมอีกพ่ะย่ะค่ะ” เจี่ยงเถิงมาถึงหน้าห้องก่อนหน้านั้นไม่นาน

เจี่ยงเถิงเพิ่งกลับเข้ามาจากการซื้อแป้งทอดคลุกน้ำตาล ทันทีที่เข้ามาก็ได้ยินเสียงบทสนทนาของทั้งสองคน ประกอบกับที่ได้ยินรายละเอียดจากเด็กในร้าน หากไม่ใช่องค์รัชทายาทแล้วจะเป็นใคร

เขากลัวว่าอาซือจะถูกองค์รัชทายาทรังแก ดังนั้นจึงรีบย่างสามขุมตรงขึ้นมาชั้นบนอย่างรวดเร็ว แต่กลับคาดไม่ถึงว่าจะได้ยินความในใจของหลินซือที่น้อยนักจะพูดถึง

ชายหนุ่มดีใจอย่างมาก

ทุกสิ่งทุกอย่างที่ตัวเองทำ อาซือย่อมรู้มาโดยตลอด เขาไม่ได้ทำการอันใดอยู่เพียงลำพัง มีคนรับรู้และเข้าใจเขาตลอด

การรับรู้ถึงความรู้สึกเช่นนี้ทำให้เขาดีใจจนแทบคลุ้มคลั่ง กระทั่งอยากเข้าไปกอดอาซือแล้วประกาศให้โลกได้รู้

แต่เขาทำไม่ได้ ข้างในยังมีองค์รัชทายาทอีกคน เขาต้องรักษาความสงบเสงี่ยมไว้

ดังนั้นในขณะที่องค์รัชทายาทกำลังจะถามบางอย่าง เจี่ยงเถิงได้ส่งเสียงออกไป จากนั้นก็ผลักประตูเดินเข้าไป ในตอนที่เข้ามาก็ยังไม่ลืมที่จะยื่นแป้งทอดคลุกน้ำตาลที่กำลังร้อนในมือให้กับหลินซือ

“พี่อาเถิง ท่านกลับมาแล้ว!”

ครั้นเห็นเจี่ยงเถิง หลินซือกลับเหมือนเห็นบุรุษขี่ม้าขาวมาช่วยก็มิปาน พาให้นางดีใจอย่างฉุดไม่อยู่

“อื้อ” เขาพยักหน้าด้วยสีหน้าเรียบเฉย สั่งให้เด็กในร้านยกเก้าอี้เข้ามาหนึ่งตัว จากนั้นก็นั่งลงข้างกายของหลินซือ

“เหอะ เจ้ามาได้ทันเวลาพอดี น่าเสียดายเจ้าคงไม่ได้ยินในสิ่งที่หลินซือพูดสินะ”

ครั้นเห็นท่าทางของเจี่ยงเถิง องค์รัชทายาทก็พลันขุ่นเคืองใจ เขาไม่เข้าใจจริง ๆ ว่าเจี่ยงเถิงดีกว่าตนอย่างไร

“น่าเสียดายที่กระหม่อมได้ยิน”

“จริงหรือ?” ครั้นนึกถึงคำพูดของตัวเอง ใบหน้าของหลินซือก็พลันแดงก่ำทันใด ทำอย่างไรดี ถูกพี่อาเถิงได้ยินเข้าเสียแล้ว

“วันนี้องค์รัชทายาททรงมีเวลาว่างสินะพ่ะย่ะค่ะ ถึงได้เสด็จออกมานอกวัง?”

เจี่ยงเถิงไม่ตอบคำถามของหลินซือ นอกจากมองไปทางองค์รัชทายาทที่อยู่ตรงข้าม ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ดูขัดตาไปเสียหมด ประโยคนั้น น้ำเสียงคล้ายกับกำลังอิจฉาตาร้อนยามที่ศัตรูหัวใจเจอหน้ากัน

“เรื่องของข้า เจ้าไม่ต้องมายุ่ง”

“กระหม่อมละลาบละล้วงเอง” แม้ว่าจะพูดเช่นนี้ แต่ใบหน้าของเจี่ยงเถิงกลับไม่ได้แสดงถึงความรู้สึกผิดปกติแต่อย่างใด

สำหรับเขาแล้ว แม้ว่าองค์รัชทายาทจะเป็นเพียงเด็กที่มีอายุแค่เจ็ดถึงแปดปี แต่ก็เป็นศัตรูหัวใจของเขา สำหรับศัตรูหัวใจ เขาไม่มีวันยั้งมือ

“เหอะ ดูท่าเจ้าจะไม่พอใจจริง ๆ อาซือ เช่นนั้นข้าขอตัวลา เจ้าก็ค่อย ๆ กินแล้วกัน” พูดจบองค์รัชทายาทก็จากไป

ตอนนี้เขายังเด็ก ไม่มีทางแข่งขันกับเจี่ยงเถิงได้ ดูจากรูปร่างของเขาแล้ว เขาเองก็จนปัญญา

ทำไมตนต้องเด็กกว่าอาซือด้วย? นี่คงเป็นเรื่องที่สวรรค์กำลังเล่นตลกกับเขาอยู่เป็นแน่

เมื่อเห็นองค์รัชทายาทจากไป ก้อนหินแห่งความหนักหน่วงในใจของหลินซือก็ถูกยกวางลง

“กลัวใช่หรือไม่?” ครั้นเห็นท่าทางของหลินซือ ในใจของเจี่ยงเถิงก็พลันร้าวราน

เขาเข้าใจหลินซือที่สุด ปกติแล้วเขาเป็นคนที่ไม่ค่อยพูดเสียงดังใส่ใครสักเท่าไร จู่ ๆ ก็พูดมากเพียงนี้ ในใจย่อมกลัวไม่น้อย

“กลัวไม่น้อย แต่เมื่อเห็นพี่อาเถิงก็ไม่กลัวแล้ว” หลินซือส่งยิ้มให้กับเจี่ยงเถิง

เมื่อครู่นางหวาดกลัวมากจริง ๆ แต่เมื่อเห็นพี่อาเถิง ก็สัมผัสได้ถึงพลังที่เต็มอยู่ในหัวใจ แม้แต่องค์รัชทายาทก็ไม่ได้เกรงกลัวเหมือนก่อนหน้านั้น

“เอาละ รีบกินข้าวกันเถอะ” ครั้นเห็นองค์รัชทายาทจากไป เด็กในร้านที่รออยู่ข้างนอกก็ทยอยกันยกอาหารเข้ามา แล้วเริ่มกินอาหารอย่างเอร็ดอร่อย

แต่เจี่ยงเถิงกลับไม่ค่อยกิน ดูแลหลินซืออย่างดี แม้แต่เนื้อก็ยังเลือกมาใส่ในถ้วยของหลินซือก่อน

ครั้นเห็นเนื้อที่ได้รับการแยกกระดูกจนสะอาด หลินซือก็หันไปส่งยิ้มให้กับเจี่ยงเถิง จากนั้นก็อ้าปากกินมันเข้าไป เป็นอย่างที่คิดไว้ อาหารที่พี่อาเถิงคีบส่งมาให้มันหอมที่สุด…

…………………………………………………………………………………………………..