บทที่ 576 ไปตรวจอาการป่วยถึงบ้าน

เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ

บทที่ 576 ไปตรวจอาการป่วยถึงบ้าน

บทที่ 576 ไปตรวจอาการป่วยถึงบ้าน

สองสามีภรรยาต่งมองหน้าทันทีที่สิ้นประโยค

“เชื่อสิ เชื่ออยู่แล้ว!” ต่งหยวนจงวางตะเกียบทันที ไม่สนใจกินเนื้อแล้ว

“ถ้างั้นหนูจะไปดูให้ค่ะ แต่ว่าความสามารถด้านการแพทย์อาจไม่สามารถรักษาได้ทุกโรคนะคะ!” เสี่ยวเถียนพูดดักไว้ก่อน เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาขึ้นในภายหลัง

อันที่จริงเธอคิดอยู่เสมอว่าทุกอย่างที่ทำมันผ่านไปได้ด้วยดีเสมอ นอกจากต้องเรียนรู้เรื่องต่าง ๆ มาอย่างหนักแล้ว ที่เหลือคือความโชคดีของเธอทั้งนั้นเลย

แต่ไม่รู้ว่าความโชคดีที่ว่ามันจะทำงานตอนไหน

“ขอแค่หลานไปดูก็พอ และถ้าเกิดว่า…” ชายชราพูดต่อไม่ออก พวกเราทุกคนในปีนั้นเหลืออยู่กันสองคนนี้ในตอนนี้ ต่งหยวนจงไม่อยากให้วันนั้นมาถึงเลย

เพราะหมอในประเทศก็ตรวจให้มาไม่น้อยเลยนะ กลับไม่สามารถอธิบายสิ่งใดได้เลย

“พรุ่งนี้เราต้องไปโรงเรียนด้วยค่ะ ปู่รองให้คนมารับหนูไปดูตอนเย็นได้ไหมคะ?”

ต่งหยวนจงไม่คิดว่าหลานสาวจะตอบตกลงทันควัน แม้กระทั่งกำหนดเวลาให้ด้วย

“ได้สิ กลับไปเมื่อไรปู่จะจัดการให้นะ”

ที่พูดเรื่องนี้เพราะได้รับมอบหมายมา อีกอย่างตอนนี้สุขภาพเขาเองก็ค่อยดีขึ้นเรื่อย ๆ และเป็นที่ประจักษ์แก่คนรอบข้างด้วย

ในเมื่อหาหมอไม่ช่วยอะไร สหายเก่าร่วมรบจึงมาปรึกษา

“ได้ค่ะ!” เสี่ยวเถียนตอบอย่างเชื่อฟัง

“งั้นเย็นพรุ่งนี้ ปู่จะให้คนมารับที่หน้าประตูนะ รู้จักรถกับคนขับใช่ไหม?”

“รู้จักค่ะ รบกวนปู่รองด้วยนะคะ”

“ไม่เป็นไร ๆ จะค้างที่บ้านเราสักคืนแล้วให้ย่ารองมาส่งที่โรงเรียนในตอนเช้าก็ได้นะ!”

“…” เสี่ยวเถียน

เธอเคยไปตรวจให้แล้วนะ มันต้องถึงขนาดไปนอนค้างเลยหรือ?

ตรวจเสร็จไม่น่าจะนานขนาดนั้นด้วย ตรงกลับบ้านทันทีคงไม่มีปัญหา! แต่ปู่รองพูดออกมาแล้ว จะให้ปฏิเสธคงจะดูไม่ค่อยดี

ค้างแค่คืนเดียวก็ได้

ตระกูลตงมีห้องมากพอที่จะจัดให้เสี่ยวเถียนอยู่โดยเฉพาะ แม้ว่าจะเคยไปค้างแค่สามสี่ครั้ง แต่บอกได้เลยว่าผังบ้านดีมาก

เมื่อคุยเรื่องนี้เสร็จ ทุกคนกลับมากินข้าวกันต่อ

มื้ออาหารที่มีชีวิตชีวายาวนานกว่าหนึ่งชั่วโมง แต่ต่งหยวนจงเหมือนยังไม่พอใจ

จนสุดท้ายภรรยาต้องบอกว่าคนบ้านซูต้องไปทำงานที่ร้านอาหารแต่เช้า เขาจึงยอมกลับโดยไม่ลังเล

วันต่อมาเสี่ยวเถียนและคนอื่น ๆ ไปโรงเรียนกันหมด ส่วนฉืออี้หย่วนเฝ้าร้านกับเสี่ยวลิ่วและเสี่ยวชี

ถึงจะไม่อยากยุ่งกับธุรกิจนี้มากเกินไป แต่ตอนนี้คนอื่น ๆ ยุ่ง แถมเปิดร้านใหม่ด้วย เขาจึงมาช่วยอีกแรง

“ถ้ารู้มาก่อนก็คงไม่เอาช่วงนี้หรอก น่าจะไปเปิดช่วงวันหยุดฤดูร้อนแทน”

เสี่ยวซื่อเองก็ต้องไปเรียนเหมือนกัน ไม่สามารถอยู่เฝ้าร้านได้ ตอนนี้เลยไม่สบายใจมาก

แต่เราเปิดไปแล้วไง พูดไปจะได้อะไรขึ้นมา?

สุดท้ายเสี่ยวซื่อก็ยังต้องไปเรียนอยู่ดี

โชคดีที่ตอนนี้เราเข้ามหาวิทยาลัยแล้ว จึงมีเรียนช่วงบ่ายแค่สองวิชา หลังจากนั้นเสี่ยวซื่อก็รับหน้าที่เฝ้าร้านต่อ

วันนี้เหมือนอย่างที่เด็กหนุ่มว่าไว้เลย มีคนน้อยลงเยอะ อัตรากำไรขั้นต้นแค่ 3,000 กว่า ๆ เท่านั้น

ตัวเลขดูเหมือนจะเยอะ แต่พอเทียบกับยอดวันแรกไม่ดูก็รู้อยู่ดี

เย็นนี้เสี่ยวเถียนไปบ้านตระกูลต่ง ที่นั่นเธอไปพบกับใครบางคน พิจารณาจากอายุแล้ว ดูแก่กว่าต่งหยวนสักเจ็ดแปดปี แถมสภาพย่ำแย่มาก

ตอนเห็นเขาครั้งแรก เหมือนหมดแรงอยู่ตลอดเวลา

“เสี่ยวเถียน นี่คือสหายเก่าของปู่เอง เรียกเขาว่าคุณปู่อู๋ก็ได้!” ต่งหยวนจงไม่ได้แนะนำอย่างจริงจังนัก

เหตุผลที่พามาที่บ้านก็เพื่อให้เสี่ยวเถียนได้ตรวจโดยไม่ต้องห่วง อีกอย่างคือเพื่อลดความสนใจที่ใคร่รู้ของคนอื่น

เด็กสาวเดาได้เลยว่าสถานะของเขาไม่มีทางต่ำต้อยแน่นอน ทว่าเพราะในยุคนี้โทรทัศน์ไม่เป็นที่นิยม เธอจึงไม่รู้จักเขานอกจากพวกผู้นำใหญ่ ๆ คนอื่น

“สวัสดีค่ะคุณปู่อู๋ หนูชื่อซูเสี่ยวเถียนค่ะ” เธอทักทายอย่างเป็นมิตร

สีหน้าของหัวหน้าอู๋ไม่ค่อยดีนัก แต่เขาก็ยังฝืนยิ้มคุยด้วย “สหายต่าง หลานสาวเก่งจังเลยนะ!”

“เป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้ว ฉันไม่ได้โม้นะ แต่เด็กคนนี้พูดภาษาต่างประเทศ 2 ภาษาเลย ภรรยาฉันพาเธอไปที่แผนกการแปลด้วยนะ คนที่นั่นชมหลานเพียบเลย แถมยังรู้เรื่องการรักษาและสามารถระบุของโบราณได้อีกด้วย”

หัวหน้าอู๋ไม่คิดเลยว่าเสี่ยวเถียนจะรู้เยอะตั้งแต่ยังเด็ก

อันที่จริงเขาไม่ค่อยเชื่อในความสามารถเด็กสาวนัก แต่เถียงไม่ได้หรอกว่าสุขภาพของเพื่อนฟื้นตัวได้ไวมาก

เขาไม่มีทางเลือกอื่นจะทำได้เพียงลองดูสักตั้ง

ลูกหลานที่บ้านเอาหมอที่ไหนก็ไม่รู้มาตรวจ เขาไม่เชื่อใครสักคนเลย แต่ครั้งนี้อยากจะลองเดิมพันอีกครั้ง

“น้องสาว ลูกหลานบ้านเธอเก่งขนาดนี้เลยหรือ?” ผู้หญิงผมหงอกข้าง ๆ เธอถามฟ่านชูฟางด้วยความประหลาดใจ

“เด็กคนนี้เก่งมากเลยค่ะ แต่ว่าก็ไม่แปลกใจเท่าไร สมัยที่เธอยังอยู่ในชนบทที่นั่นมีคนเก่ง ๆ เยอะเลย ครูของเธอคือ ฉือเก๋อ แถมได้อวี่รุ่ยหยวนสอนอีกด้วย”

ผู้หญิงคนนี้ชื่อหยางลี่หมิง เป็นภรรยาของหัวหน้าอู๋ เธอเป็นลูกสาวคนโตของครอบครัวนายทุนตั้งแต่อายุยังน้อย ต่อมาก็ได้หนุนหลังกลุ่มคณะการปฏิวัติ ทั้งยังเป็นผู้หญิงที่กล้าหาญและมีความรู้ด้วย

ตอนนี้เธอทำงานในสมาพันธ์สตรี มีความคิดมุ่งมั่นที่จะเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ของผู้หญิง และเคยสนับสนุนมาหลายต่อหลายครั้งว่า ผู้หญิงเองก็ควรได้รับการศึกษาเช่นเดียวกับผู้ชาย

พูดง่ายแต่ทำยาก

โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ชนบท โอกาสที่ผู้หญิงจะได้รับการศึกษามีน้อยกว่าผู้ชายมาก

แต่ไม่คิดเลยว่า ญาติของคนตระกูลต่งจะอนุญาตให้เด็กผู้หญิงได้เรียนหนังสือดี ๆ แบบนี้

เธอรู้สึกว่าครอบครัวนี้ควรได้รับการส่งเสริมให้เป็นแบบอย่าง

แน่นอนว่าเราจะยังไม่พูดถึงในตอนนี้ เพราะสิ่งที่ควรจะคิดก่อนเลยคือสุขภาพร่างกายของสามี

พอนึกถึงมัน หัวใจของหญิงชราพลันหนักอึ้ง ได้แต่เงยหน้ามองภาพเด็กสาวคุยกับสองชายชรา

“น้องสาว เด็กคนนี้ดูอาการให้ได้จริงหรือ?”

ฟ่านชูฟางส่ายหัว “หลานบอกว่าไม่สามารถแก้ปัญหาได้ทุกโรคค่ะ”

เธอไม่กล้าพูดออกไปจริง ๆ เพราะในเราที่เราย่ำแย่ที่สุดมักจะมีความหวังอันริบหรี่อยู่ ทว่าเพียงพริบตาเดียวมันก็หายไป

และตอนนี้แหละที่จะทำให้ผู้คนสิ้นหวังอย่างแท้จริง!

เมื่อก่อนเธอเองก็เป็นคนหนึ่งที่สงสัย และกังวลว่าเสี่ยวเถียนเด็กเกินไปที่จะวินัจฉัยโรคให้หรือเปล่า?

เพราะอีกฝ่ายเป็นแค่เด็ก ต่อให้บอกว่าทำได้แต่ก็คงไม่มีใครเชื่ออยู่แล้ว ใช่ไหมล่ะ?