ตอนที่ 304 สถานการณ์ตึงเครียด
ตอนที่ 304 สถานการณ์ตึงเครียด
ฉีจ้านตกตะลึง และชักกระบี่จากเอวออกมาพลางชี้ไปที่ใบหน้าของอวี้เป่าเอ๋อร์
“ปล่อยเขาซะ”
อวี้เป่าเอ๋อร์บีบคอของฉีหานเทียนและถอยไปไม่กี่ก้าว เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ข้าถามเจ้าอยู่ หนานหนานอยู่ที่ใด?”
“หนานหนานอะไร?” คอของฉีหานเทียนถูกบีบจนรู้สึกอึดอัด ช่างน่ารังเกียจเสียจริง เจ้าเด็กโง่ที่ร่างกายผอมแห้งเช่นนี้ แต่กลับมีแรงมากมายเช่นนี้
อวี้เป่าเอ๋อร์รู้สึกร้อนรน ไม่สนใจแม้กระทั่งปลายกระบี่แหลมคมที่ชี้หน้าตนเองอยู่ เด็กหนุ่มเพียงแค่เอ่ยถาม “ก็เด็กห้าปีที่โดนเจ้าทุบตีจนเกือบตายนั่นไงล่ะ”
ฉีหานเทียนสบตากับฉีจ้านด้วยความรู้สึกประหลาดใจ เด็กผู้นั้น? ขอทานผู้นั้นน่ะหรือ?
ฉีจ้านขมวดคิ้ว และต้องการให้อวี้เป่าเอ๋อร์ปล่อยองค์ชายสิบสามลง ในขณะที่กำลังจะเอ่ยปากขึ้น เด็กหนุ่มก็เดินไปแล้ว ใครจะล่วงรู้ได้ว่าฉีหานเทียนจู่ ๆ ก็หมดความอดทนขึ้นมา จึงได้ตะโกนออกไป “ไม่บอกเจ้าหรอก ถ้าเจ้ามีปัญญาก็มาฆ่าข้าซะ หากเจ้าฆ่าข้า เด็กผู้นั้นจะต้องตายอย่างแน่นอน”
“เจ้า…” ถึงแม้ว่าอวี้เป่าเอ๋อร์จะเรียนวรยุทธ์กับโม่เสียนมาแล้วเมื่อไม่กี่วันก่อน แต่เขาไม่ได้พรสวรรค์ และร่างกายที่ไม่แข็งแรงมาตั้งแต่ต้น ดังนั้นถ้าคำนวณในด้านพละกำลังที่เพิ่มขึ้นมาเล็กน้อย และถ้าต้องเป็นคู่ต่อสู้กับฉีจ้านที่มีทักษะขั้นสูง ก็ไม่มีโอกาสที่จะชนะเลยแม้แต่น้อย
ชั่วขณะนั้น ฉีจ้านก็สบตากับองครักษ์ที่เฝ้าประตู ชายผู้นั้นค่อย ๆ เดินเข้ามาใกล้อวี้เป่าเอ๋อร์อย่างเงียบ ๆ จากทางด้านหลัง
เขาแทบจะรอไม่ไหวที่จะโต้ตอบกลับ และฝ่ามือก็ฟาดเข้าที่คอของเด็กหนุ่มรุนแรง อวี้เป่าเอ๋อร์รู้สึกดวงตาพร่ามัว ขาทั้งสองข้างของเด็กหนุ่มรู้สึกอ่อนแรง ผ่านไปสักพักก็ได้หมดสติและล้มลงไปกับพื้น
ฉีจ้านดึงฉีหานเทียนกลับมาอยู่ด้านหลังตน และมองดูอวี้เป่าเอ๋อร์ที่หมดสติอยู่บนพื้นด้วยสายตาที่เย็นชา
ประกายกระบี่เย็นเฉียบแทงเข้าไปที่ร่างเด็กหนุ่มทันที กล้าดีอย่างไรมาจับองค์ชายสิบสาม ต่อให้จะเป็นญาติเป็นเชื้อพระวงศ์ของอาณาจักรเฟิงชาง ถึงตายตกไปก็ไม่สาสมต่อสิ่งที่ได้ทำลงไป
“ช้าก่อน” ฉีหานเทียนคว้ามือชายหนุ่ม และเอ่ยขึ้นอย่างรีบเร่ง “อย่าฆ่าเขา”
“แต่เมื่อครู่เขานั้น…
ฉีหานเทียนขมวดคิ้ว และแววตาก็เปี่ยมไปด้วยความฮึกเหิม ชายหนุ่มยกเท้าขึ้นเตะอวี้เป่าเอ๋อร์เบา ๆ หลังจากนั้นจึงโบกมือ “แบกมันขึ้นมา เราจะทรมานมัน หึ เราโตขนาดนี้ ไม่เคยมีผู้ใดกล้ามาบีบคอข้าด้วยความเย่อหยิ่งเช่นนี้มาก่อน”
ฉีจ้านขมวดคิ้ว และต้องการที่จะหยุดเหตุการณ์นี้ แต่ดูท่าทางขององค์ชายสิบสามแล้ว เห็นได้ชัดว่าพระองค์ไม่ต้องการที่จะจบเพียงแค่นี้ ชายหนุ่มเกรงว่ายิ่งห้าม องค์ชายสิบสามก็ยิ่งจะทำในสิ่งตรงกันข้าม
เมื่อคิดเช่นนี้ ฉีจ้านก็อดไม่ได้จะเม้มปากของตน
แต่เด็กผู้นี้มองดูแล้วไม่น่าปลอดภัย ชายหนุ่มจึงเอ่ยสั่งองครักษ์ที่จับอวี้เป่าเอ๋อร์อยู่ “จับมันมัดไว้”
“ขอรับ”องครักษ์ทั้งสองรีบมัดอวี้เป่าเอ๋อร์ที่หมดสติเอาไว้ และพาเด็กหนุ่มเข้าไปในเรือนรับรอง
องค์ชายสิบสามรีบเดินตามเข้าไป ในที่สุดเขาก็ได้พบกับสิ่งที่น่าสนใจ ในวันที่สุดแสนน่าเบื่อ
อย่างไรก็ตาม เมื่อเดินไปได้ไม่กี่ก้าว ก็พบกับอวี้เจี้ยนต๋าที่รับผิดชอบเรื่องต่าง ๆ ในเรือนรับรองเดินก้มหน้าเข้ามา
เมื่อพบกับฉีหานเทียน อวี้เจี้ยนต๋าจึงรีบถอยกลับไปยืนอยู่บริเวณข้าง ๆ และส่งเด็กหนุ่มด้วยความเคารพ
“ใต้เท้าอวี้ เรื่องที่ข้าให้ท่านไปจัดการ เจ้ามัวแต่ผัดวันประกันพรุ่งเช่นนี้ นี่มันก็เกินกว่าครึ่งชั่วยามแล้ว ของกินยังไม่ส่งมาถึงข้าเลย หรือว่านี่คือการปฏิบัติต่อแขกที่มาจากต่างแดนของอาณาจักรเฟิงชางหรือ? ”
อวี้เจี้ยนต๋าขมวดคิ้วขึ้น และรีบเอ่ยขออภัย “องค์ชายสิบสามโปรดใจเย็น ที่เมืองแห่งนี้มีอาหารเลิศรสมากมาย และร้านอาหารต่างก็กระจัดกระจายไปทั่งทั้งเมืองหลวง ต้องใช้ความพยายามอย่างมากและใช้เวลานานมากในการซื้ออาหารเลิศรสเหล่านั้นทั้งหมด พระองค์โปรดวางพระทัย รอให้อาหารทั้งหมดมาถึง กระหม่อมจะนำเข้าไปส่งให้พระองค์เลยพ่ะย่ะค่ะ”
ฉีหานเทียนถอนหายใจอย่างเย็นชา “พวกเจ้าก็ล้วนแต่หานู่นหานี่มาเป็นข้อแก้ตัว โชคดีที่ข้านั้นได้พบกับสิ่งที่น่าสนใจแล้ว เอาล่ะ ๆ เจ้ารีบไปเสีย เมื่ออาหารมาแล้วค่อยเอามาส่งให้กับข้า”
“พ่ะย่ะค่ะ” อวี้เจี้ยนต๋าถอนหายใจ แต่ก็ยังคงไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมาเหมือนเดิม จนกระทั่งได้ยินเสียงฝีเท้าของพวกเขานั้นจากไปแล้ว ชายวัยกลางคนจึงยื่นมือมาเช็ดเหงื่อของตน และรีบออกไปจากเรือนรับรอง
เขารู้สึกว่าเวลานั้นผ่านไปนานมากแล้ว ก่อนหน้านี้เขาเองก็ได้กำชับไว้แล้ว องค์ชายสิบสามนั้นไม่น่าจะเสวยอะไรมากมาย ดังนั้นไม่จำเป็นต้องออกไปไกลและซื้อของอะไรมากมาย ถ้าดูจากเวลาก็ควรจะกลับมาได้ตั้งนานแล้ว
อวี้เจี้ยนต๋าขมวดคิ้ว จู่ ๆ เขาก็รู้สึกว่าเรือนนี้ไม่ได้ดีเหมือนอย่างที่เขาได้คิดไว้ เหล่าองค์ชายแห่งอาณาจักรหลิวอวิ๋นนั้นปรนนิบัติรับใช้ยากกว่าองค์ชายของอาณาจักรเฟิงชางเป็นอย่างมาก คนที่เวลาไม่พอใจก็โยนจานชาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งองค์ชายสิบสามที่พบเมื่อสักครู่ อารมณ์ของเด็กหนุ่มนั้นรุนแรงมาก มากจนในอาณาจักรหลิวอวิ๋นนั้น เห็นจะมีเพียงแค่องค์รัชทายาทเท่านั้นที่หยุดเขาได้
อวี้เจี้ยนต๋าถอนหายใจเงียบ ๆ เขาเองก็ได้เดินออกมาจากเรือนรับรองแล้ว ผู้ใดจะคาดคิดได้ว่าเพียงแค่เดินมาถึงประตู ก็พบกับองค์รักษ์ที่ออกไปซื้ออาหารถือกระเป๋าใบใหญ่และใบเล็กกลับมา พร้อมกับใบหน้าที่เต็มไปด้วยเหงื่อ
“เหตุใดจึงพึ่งกลับมาป่านนี้”
“ใต้เท้า ข้า วันนี้ข้านั้นซวยจริง ๆ ซื้อของกินมาทั้งหมด เมื่อหันกลับไปมองก็ล้วนกลายเป็นหิน โอ้ ถ้าตอนขากลับไม่ลองเปิดดูเพื่อตรวจสอบเล็กน้อย เกรงว่าจะถือหินกลับมาถวายให้องค์ชายสิบสามเสียแล้ว” องครักษ์ผู้นั้นเกือบจะร้องไห้ออกมา เขานั้นไม่ได้ทำความผิดอะไรเลย
“หินหรือ?” อวี้เจี้ยนต๋าประหลาดใจ และรู้สึกว่าเขานั้นพูดจาไรสาระ ชายวัยกลางคนก็รู้สึกหมดความอดทนขึ้นมา “เอาล่ะ เอาของมาให้ข้า องค์ชายสิบสามรอมานานแล้ว”
“ขอรับ” องครักษ์ผู้นั้นรีบส่งของทั้งหมดให้กับใต้เท้าอวี้ หลังจากนั้นจึงกุมอกและถอนหายใจออกมา
ในส่วนของหนานหนานที่ตามองครักษ์ผู้นั้นและเอาของกินมาทั้งหมดก็ได้เดินกลับมาที่ตรอกด้วยรอยยิ้ม
เมื่อมองไปที่เด็กชายตัวเล็ก ๆ ที่พันผ้าพันแผลไว้เกือบทั้งตัว หนานหนานจึงรีบนั่งลงข้าง ๆ เขา และนำของทั้งหมดออกมา “นี่ ทั้งหมดนี้ข้าให้เจ้า ข้าลองชิมมาแล้วนิดหน่อย รสชาติดีมาก ๆ ”
ว่าพลางก็ยื่นขนมในมือส่งให้กับเด็กน้อย หลังจากนั้นหนานหนานจึงเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย ราวกับว่ากำลังรอให้ผู้ใดสักคนเอ่ยสรรเสริญตนสักสองสามคำ
แต่เมื่อรอไปได้สักพัก กลับไม่ได้ยินผู้ใดเอ่ยอะไรขึ้นมาเลย
หนานหนานตกตะลึง หลังจากก้มหน้าลงและขมวดคิ้วแน่น “นี่ ไม่ได้ยินที่ข้ากล่าวหรือไม่?”
“อ่า เออ…เอ๊ะ? เจ้ากลับมาแล้ว?” หลังจากที่ถูกหนานหนานดึงตัว เด็กน้อยผู้นั้นก็กลับมาได้สติอีกครั้ง และมองไปยังขนมที่อยู่ในมือ
“ข้ากลับมาได้หนึ่งเค่อแล้ว ข้าบอกว่าเจ้ามองดูอะไรอยู่น่ะ? เรือนรับรองนั่นมีอะไรน่าดูหรือ หรือว่าเจ้าจะตัดสินใจกลับเข้าไปอีกครั้งหรือ?” หนานหนานไม่เคยถูกเมินจนรู้สึกโกรธได้ถึงเพียงนี้เลย
“ไม่ใช่ ข้าเพียงแค่…ข้าพึ่งเห็นเด็กอายุสิบกว่าปีโดนพวกเขาจับตัวเข้าไป ดูท่าทางจะเป็นเรื่องร้ายแรงมาก”
……………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
องค์ชายสิบสามจะทรมานอะไรเป่าเอ๋อร์หรือเปล่านะ
หนานหนานรีบไปช่วยเร็ว
ไหหม่า(海馬)