บทที่ 474 โหวอันธพาล
เรื่องนี้หากลุกลามใหญ่โต ผลที่ตามมานั้นย่อมเลวร้าย แต่ถึงกระนั้นราชครูจวงก็ยอมร้องทุกข์กล่าวโทษเซวียนผิงโหวต่อหน้าพระพักตร์
แล้วคิดว่าเซวียนผิงโหวกลัวคำกล่าวหาของเขารึ
ฎีกากล่าวโทษเซวียนผิงโหวกองเป็นภูเขาเลากาอยู่ในห้องทรงอักษร การกระทำไร้ยางอายของเขามากมายจนสุดที่จะบรรยายออกมาได้ ฆ่าคนวางเพลิงนั้นเขาไม่ได้ทำ จึงลงโทษสถานหนักไม่ได้ แต่เรื่องน่ารังเกียจนั้นเขาทำไม่เว้นแต่ละวัน ทำเอาคนโมโหจนพระพุทธเจ้าพระองค์แรกประสูติ จนพระพุทธเจ้าพระองค์ที่สองขึ้นสวรรค์!
แต่เรื่องพวกนี้ดันไม่ถึงกับต้องโทษประหาร แค่โดนโบยร้อยแปดสิบไม้แค่นั้น
โบยเสร็จก็เป็นชายชาตรีอกสามศอกเหมือนเดิม!
เซวียนผิงโหวนั่งอยู่บนรถม้าของเซียวเหิงที่เคลื่อนตัวออกไป เหลือเพียงราชครูจวงกับหลานชายที่กลายเป็นเรื่องตลกกลางถนน
เดิมทีจะข่มอำนาจเซียวลิ่วหลัง คิดไม่ถึงว่ากลับกลายเป็นถูกเซวียนผิงโหวหักหน้าเสียเอง ราชครูจวงชาตินี้ไม่เคยเสียหน้าเพียงนี้มาก่อน
ตระกูลจวงกับจวนเซวียนผิงโหวไม่ถูกกันมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว หากบอกว่าฉีกหน้ากันนั้นก็เป็นเรื่องปกติ แต่ฉีกหน้าถึงเพียงนี้นั้นเกิดขึ้นน้อยมาก นี่คือการฉีกหน้ารึ นี่มันฉีกเข้าไปถึงกางเกงในเสียด้วยซ้ำ!
อันจวิ้นอ๋องพลอยถูกกลั่นแกล้งไปด้วยเสียแล้ว
เรื่องในวันนี้ไม่ใช่ความคิดของเขา แม้ในใจเขาจะมีความรู้สึกภาคภูมิใจในตัวเองอยู่บ้าง แต่โดยรวมแล้วเขาถูกราชครูจวงลากมาซวยด้วย
เซวียนผิงโหวทำลายความมั่นใจในการเข้าทำงานที่คณะเสนาบดีของเขาจนหมดสิ้น เกรงว่าความอัปยศในวันนี้จะกลายเป็นยุคมืดในชีวิตเขาเลย
เซวียนผิงโหวมาส่งเซียวเหิงถึงสำนักฮั่นหลิน ระหว่างทางเซวียนผิงโหวอยากจะทำหน้าด้านๆ คุยกับลูกชายตั้งหลายครั้งหลายครา เซียวเหิงเอ่ย ‘เมื่อคืนข้านอนไม่หลับ’ แค่คำเดียว เซวียนผิงโหวก็ปิดปากเงียบไปเลย
เซวียนผิงโหวทนมาตลอดทาง กว่าจะรอให้เซียวเหิงลืมตาขึ้นได้ และกำลังลงจากรถแล้ว เขาจึงถามขึ้น “เจ้ามัวทำอะไรไม่หลับไม่นอนทั้งคืน”
“มีธุระ” เซียวเหิงบอก
เซวียนผิงโหว ‘ข้าจะไม่รู้หรือไรว่าเจ้ามีธุระ แต่มันเรื่องอะไรกันล่ะ เจ้าก็พูดมาสิ!’
จะโมโหลูกชายก็ไม่ได้
ตอนที่รังแกราชครูจวงสะใจยิ่งนัก แต่พอมาโดนลูกชายรังแกกลับอนาถไม่น้อย
ก่อนจะเกิดเรื่องขึ้นกับเซียวเหิง ในความสัมพันธ์ระหว่างพ่อลูกนั้นเซวียนผิงโหวครองตำแหน่งผู้นำที่เผด็จการเอาไว้แน่นหนา สี่ปีผ่านไป ตำแหน่งทั้งคู่สลับสับเปลี่ยนไปหมด
“ข้าลางานให้เจ้าดีหรือไม่” เซวียนผิงโหวเอ่ย
“ไม่ต้องหรอก” เซียวเหิงลงจากม้านิ่งๆ
เซวียนผิงโหวตามลงมา
เมื่อก่อนไม่เคยเปรียบเทียบอย่างละเอียดเลย วันนี้ไม่รู้เพราะเหตุใดจู่ๆ ก็มองศีรษะลูกชายแวบหนึ่ง จึงพบว่าลูกชายเขาสูงมาก อีกนิดก็จะสูงกว่าเขาแล้ว
เขาเป็นแม่ทัพทหาร เกลือกกลิ้งคลุกฝุ่นมาตั้งแต่เด็ก จะสูงก็คงไม่แปลก แต่เด็กคนนี้ไม่ทำอะไรสักอย่าง และไม่เคยเห็นเขาวิ่งเล่นไปไหน เหตุใดจึงได้สูงชะลูดขึ้นรวดเร็วเพียงนี้
เมื่อเห็นเซียวเหิงจะเดินเข้าสำนักฮั่นหลินไป เซวียนผิงโหวก็ตาไวสังเกตเห็นท่าทางการเดินของเขาว่ามันแปลกๆ
เขาเป็นคนที่ใช้ชีวิตในสนามรบ นอกจากใบหน้าที่พอดูได้แล้ว เนื้อตัวก็ไม่มีตรงไหนที่สมบูรณ์เลยสักที่ บาดแผลที่เขาได้รับน่าจะมากกว่าเซียวเหิงสะดุดล้มเสียอีก จะมองไม่ออกหรือไรว่าขาเขาเป๋ไม่เหมือนเมื่อก่อน
เขาเอ่ยถาม “ขาเจ้าหายดีแล้วรึ”
เซียวเหิงฝีเท้าชะงัก
“หายแล้วจริงๆ น่ะรึ” เซวียนผิงโหวมองเขาอย่างตกใจระคนยินดี
เซียวเหิงยังคงไม่มีทีท่าจะสนใจเขา
เซวียนผิงโหวทอดถอนใจเอ่ย “เกลียดข้าเพียงนี้เชียวรึ เจ้ากำลังโทษข้าว่าตอนนั้นมัวแต่ทำคดี ไม่รีบไปช่วยเจ้าออกมาจากกองเพลิงใช่หรือไม่ หรือว่าเจ้ากำลังตำหนิที่ข้าไม่อาจสังเกตเห็นการคงอยู่ของคนพวกนั้นได้เร็วกว่านี้ ทำให้เจ้าถูกบีบคั้นให้ต้องปิดบังชื่อแซ่ และจากบ้านเกิดไปที่อื่น”
ยามชายชาตรียอมรับผิดก็มักจะพูดจาอ้อมโลกเช่นนี้แล ทำเอาคนฟังโมโหจนเท้าจิกพื้นกลายเป็นแปลงผัก
เซียวเหิงเข้าสำนักฮั่นหลินไปด้วยสีหน้าเย็นชาโดยไม่หันกลับมามอง
เซวียนผิงโหวมึนงง เหตุใดจึงโกรธขึ้นมาอีกแล้วเล่า
ฉางจิ่งขับรถม้ามาถึงละแวกใกล้ๆ
เซวียนผิงโหวทอดถอนใจพลางขึ้นรถม้า เขาเองผิงพนังรถม้า ก่อนเอ่ยอย่างหมดอาลัยตายอยาก “ฉางจิ่ง ข้าช่างน่าสงสารนัก เซียวเหิงเขาไม่นับข้าเป็นพ่อแล้ว ข้าต้องกลายเป็นตาเฒ่าเดียวดายแล้วล่ะ”
แท้จริงแล้วเซวียนผิงโหวหมายความว่า รีบพูดสิว่า ‘ท่านไม่แก่หรอกขอรับ ยังหนุ่มยังแน่นเลย ท่านยังมีกำลังวังชายังรูปงามไปได้อีกยี่สิบปี!’
คิดไม่ถึงว่าฉางจิ่งจะจมดิ่งสู่ความคิดทันใด
ครู่ต่อมา ฉางจิ่งก็เอ่ยอย่างจริงจัง “ไม่เป็นไรขอรับ หากท่านตายข้าจะโยนหม้อ ให้ท่านเอง”
เซวียนผิงโหว “…”
ทางด้านกู้เจียวหลังจากทำหน้าที่หมออย่างหนักหนึ่งวันหนึ่งคืน ก็ถูกเซียวเหิงอุ้มกลับไปที่ห้องตะวันตกและหลับลึกไป
อาจเพราะนางไม่คุ้นชินกับเตียง หรืออาจเพราะที่นอนนี้มีกลิ่นที่นางชอบและทำให้นางนอนสบาย พอนางได้หลับก็หลับไปจนถึงตอนบ่าย
ในขณะที่นางกำลังจะตื่นนั้น นางก็ฝัน
นางฝันเห็นทะเลกว้างใหญ่ไพศาลสุดลูกหูลูกตา บนขอบทะเลเป็นสนามรบที่กำลังเข่นฆ่ากันอยู่ เซวียนผิงโหวอยู่บนเรือรบที่เต็มไปด้วยรูมากมาย มือถือดาบยาว สวมเกราะเหล็กสีดำ กำลังต่อสู้บนดาดฟ้าสีแดงฉาน
เบื้องหน้าเป็นเกาะแห่งหนึ่ง ด้านหลังเป็นคูเมือง
กู้เจียวไม่เคยไปเมืองเมืองนี้ แต่ในฝันนั้นนางสามารถเรียกชื่อเมืองนี้ออกมาได้…เมืองหนานไห่ เมืองเล็กๆ แห่งหนึ่งที่อยู่ใต้สุดของแคว้นเจา
ส่วนเกาะแห่งนั้นเดิมทีเป็นส่วนหนึ่งของเมืองหนานไห่ แต่ถูกโจรสลัดปล้นยึดไป
เป้าหมายใ นการเดินทางครั้งนี้ของเซวียนผิงโหวคือการกวาดล้างโจรสลัด และทวงเกาะแห่งนี้คืน
เรื่องโจรสลัดครานี้ไม่ได้ง่ายดาย เพราะในขณะที่เซวียนผิงโหวลงใต้ปราบโจรนั้น ข่าวร้ายจากชายแดนแคว้นเจาก็ส่งมาว่ากบฏสมัยราชวงศ์ก่อนสมคบคิดกับแคว้นเฉิน เขาถังเย่ว์ซานคว้าชัยชนะมาได้ องค์หญิงหนิงอันถูกจับตัวไป
เพื่อช่วยองค์หญิงหนิงอันออกมา ท่านเหล่าโหวเสี่ยงภัยลุยเดี่ยว โดยไม่กลัวจะตกหลุมพรางของเหล่ากบฏพวกนั้น
ด่านชายแดนเสียเมืองติดๆ กันสามเมือง ฮ่องเต้ทรงกริ้วหนัก เรียกกู้ฉังชิงที่อยู่ไกลถึงละแวกเขาเฟิงตูให้กลับราชสำนัก และรับสั่งให้เขาจัดกองทัพตระกูลกู้ขึ้นใหม่อีกครั้ง ขึ้นเหนือไปปราบศัตรู
ใครจะคิดว่ากองทัพใหญ่ยังไม่ทันออกเดินทาง ด่านชายแดนก็มีข่าวกู้เฉิงเฟิงกับท่านเหล่าโหวเสียชีวิตด้วยกันทั้งคู่ส่งมา
ที่แท้กู้เฉิงเฟิงรู้ว่าปู่จะถูกจับ จึงได้แอบออกจากเมืองหลวง มุ่งหน้าไปด่านชายแดนเพียงลำพัง กะว่าจะไปช่วยปู่กลับมา
เขาคือเฟยซวง ว่ากันตามหลักแล้วแอบลักพาตัวคนเพียงคนเดียวออกจากค่ายศัตรูนั้นไม่ใช่ปัญหา
ทว่าไม่รู้ว่าระหว่างนั้นเกิดปัญหาอะไรขึ้น เขาจึงถูกพวกกบฏนั่นพบเข้า แล้วยิ่งธนูใส่จนตาย
ศัตรูตัดหัวเขากับหัวของท่านเหล่าโหวเสียบไว้บนกำแพงเมือง
นี่เป็นกับดักที่วางไว้ล่วงหน้า
ด่านชายแดนเหน็บหนาว ศีรษะของทั้งคู่ถูกเสียบอยู่บนกำแพงหนึ่งเดือนเต็มๆ ไร้วี่แววว่าจะเน่าเปื่อยแม้แต่น้อย ตอนนั้นท่านเหล่าโหวมองดูหลานชายถูกธนูกระหน่ำยิ่งใส่ต่อหน้าต่อตา เขาจึงตายตาไม่หลับ
แววตาแดงก่ำที่เยือกแข็งไปแล้วเต็มไปด้วยความเคียดแค้นและสิ้นหวัง
แม้ว่าระหว่างทางกู้ฉังชิงจะเตรียมใจไว้แล้ว แต่เมื่อมาเห็นภาพนี้ด้วยตาตัวเอง เห็นน้องชายกับปู่ถูกคนเสียบหัวประจาน เขาก็ยังเลือดลมพลุ่งพล่าน กระอักเลือดออกมาต่อหน้าฝูงชนอยู่ดี
สุดท้ายกู้ฉังชิงยึดด่านชายแดนกลับมาได้ สังหารกบฏจากราชวงศ์ก่อนจนเกลี้ยง และกวาดล้างกองทัพแคว้นเฉินไปด้วย
ทว่าเขาแลกมาด้วยสองขาของเขา รวมถึงกองทัพตระกูลกู้เรือนแสน มีแปดหมื่นนายที่ไม่ได้กลับไป วิญญาณห้าวหาญของนายทหารหนุ่มเฝ้าปักหลักในชายแดน
เพราะฝันที่โหดร้ายทารุณนี้ พอกู้เจียวตื่นขึ้นมาจึงไม่ได้พบว่าตัวเองนอนอยู่บนเตียงเซียวลิ่วหลัง นางนั่งมึนอยู่ตรงหัวเตียงพักหนึ่ง เส้นผมน่าเอ็นดูเส้นนั้นกระดกขึ้นอีกแล้ว
เรื่องราวในฝันเกิดขึ้นในครึ่งปีหลัง
เพียงแต่ด้วยบทเรียนที่ได้รับจากครั้งล่าสุดที่สำนักซวงเตาจับตัวเซียวลิ่วหลังไป กู้เจียวก็ไม่กล้าวางใจเลยว่าเรื่องตัวเองฝันมันจะไม่เกิดขึ้นก่อน
เหตุใดจึงเกิดขึ้นก่อนนั้น นางก็ไม่รู้
บางครั้งนางก็รู้สึกว่าฝันของตัวเองคือการรู้ล่วงหน้า แต่หมู่นี้นางเกิดความภาพมายาขึ้นมา ราวกับว่านั่นเป็นสิ่งที่เคยเกิดขึ้นมาก่อนแล้ว
นางผ่านเรื่องเหล่านั้นมาแล้ว เพียงแต่นางลืมเรื่องเหล่านั้นไป
การคาดเดาเช่นนี้มันใจกล้าเกินไป ถึงขั้นเรียกได้ว่าไร้สาระเลยทีเดียว ดังนั้นนางจึงเรียกว่าภาพมายาของตัวเองแทน
จู่ๆ นางก็นึกถึงเรื่องนักเดินทางข้ามเวลาอาวุโสของแคว้นเยี่ยนขึ้นมา ไม่รู้ว่าคนคนนั้นจะเหมือนตนหรือไม่ ที่มีประสบการณ์คล้ายๆ กันนี้
หากถามเขาต่อหน้าได้ก็คงดี
ช่างเถอะ ยามนี้ไม่ใช่เวลามาคิดเรื่องนี้ คิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในฝันก่อนดีกว่า
หากตนเดาไม่ผิดละก็ ปัญหาที่สำคัญในตอนนี้ก็คือ โศกนาฏกรรมของปู่หลานตระกูลกู้และกองทัพตระกูลกู้เรือนแสนจะเกิดขึ้นก่อนเวลาหรือไม่
….
“ฝ่าบาท! ฝ่าบาท! แย่แล้ว!”
ฮ่องเต้กำลังตรวจฎีกาที่ห้องทรงอักษร เว่ยกงกงก็เดินเข้ามาด้วยสีหน้ารีบร้อน
“มีอะไรจึงได้รีบร้อนเช่นนี้” ฮ่องเต้ขมวดคิ้วมองเว่ยกงกง
เว่ยกงกงเป็นคนเก่าคนแก่ข้างกายฝ่าบาท ไม่ควรเมินกฎเมินธรรมเนียมเช่นนี้
เว่ยกงกงลำบากใจ เขาก็ไม่อยากทำเหมือนกัน แต่คราวนี้เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นจริงๆ แล้ว!
เขาทูล “ฝ่าบาท เซวียนผิงโหวรังแกราชครูจวงเข้าให้แล้วพ่ะย่ะค่ะ ยามนี้ราชครูจวงกำลังมาฟ้องพระองค์แล้ว!”
ฮ่องเต้ขมวดคิ้ว “ราชครูจวงรึ”
เซวียนผิงโหวรังแกไปถึงราชครูจวงแล้วรึ
บอกตรงๆ ว่าพระองค์ไม่ค่อยประทับใจราชครูจวงเท่าใดนัก อำนาจตระกูลจวงล้นฟ้า ราชครูจวงต่อหน้าเคารพยำเกรงพระองค์ที่เป็นกษัตริย์ แต่ในที่ลับกลับแอบลอบกัดไปเท่าใดแล้วก็ไม่รู้
แต่ไม่ว่าอย่างไรราชครูจวงก็เป็นผู้เฒ่าแห่งสองราชวงศ์ ทั้งเป็นขุนนางใหญ่ และเป็นพี่ชายแท้ๆ ของจวงไทเฮา ซ้ำยังเป็นท่านลุงในนามของพระองค์ด้วย
ฮ่องเต้จึงเรียกเขาเข้าเฝ้าในห้องทรงอักษร
ราชครูจวงเป็นปัญญาชนนักประพันธ์ ปากของปัญญาชนนั้นร้ายกาจมาก คำฟ้องร้องเป็นชุดเหล่านี้ ว่าเซวียนผิงโหวว่าไม่เห็นกฎหมายในสายตา เล่าให้เห็นพฤติกรรมอันธพาลในการรังแกขุนนางในราชสำนักกลางถนนได้อย่างถึงพริกถึงขิง
ฮ่องเต้ตรัสในใจ เราจะไม่รู้หรือไรว่าเซวียนผิงโหวเป็นอันธพาล
เจ้ามาหาเราแล้วมันมีประโยชน์รึ
เราอันธพาลสู้เขาไม่ได้เสียหน่อย
ราชครูจวงรู้ดีว่าฮ่องเต้กำลังมีใจเอนเอียงไปทางเซวียนผิงโหว แต่แล้วอย่างไรเล่า ฮ่องเต้จะลำเอียงจนตัวเองลืมกฎลืมธรรมเนียมได้หรือ
ราชครูจวงเอ่ยด้วยน้ำใสใจจริง “ฝ่าบาท เจ้านั่นอยู่ใต้ฝ่าพระบาทแท้ๆ เขาก็ยังกล้ากระทำชั่วร้ายเช่นนี้ ไม่เห็นความน่าเกรงขามของฝ่าบาทอยู่ในสายตา ไม่รู้ว่าต่อไปเขาจะเหยียบย่ำความน่าเกรงขามของราชวงศ์อย่างไรอีก!”
ถ้อยคำดังกล่าวกล่าวหาว่าเซวียนผิงโหวมีอำนาจเกินกษัตริย์ วันนี้กล้ารังแกลุงของฮ่องเต้ วันหน้าก็กล้านั่งบนหัวฮ่องเต้แล้วทำตัวอันธพาลได้!
หากฮ่องเต้พระองค์ก่อนเป็นคนฟังถ้อยคำดังกล่าว ก็คงจะแตกกิ่งก้านเป็นปัญหาใหญ่ออกมา
ทว่าฮ่องเต้ไม่ใช่ฮ่องเต้พระองค์ก่อน ทรงไม่ได้คิดอะไรมากมาย ซ้ำในสายตาพระองค์ นี่ก็เป็นนิสัยแย่ๆ ของเซวียนผิงโหว หากวันไหนเซวียนผิงโหวไม่อวดดีใช้อำนาจบาตรใหญ่แล้ว นั่นก็คงไม่ใช่เซวียนผิงโหวแล้ว
“เรียกตัวเซวียนผิงโหวมาหาเรา!”
ฮ่องเต้ตรัสขึ้นอย่างเคร่งขรึม
ปวงชนเต็มท้องถนนต่างเห็นกันกับตา คนเป็นฮ่องเต้อย่างพระองค์ไม่อาจนั่งนิ่งดูดายได้
เพียงไม่นาน เว่ยกงกงก็พาเซวียนผิงโหวเข้ามาในตำหนัก
“ฝ่าบาท กระหม่อมรับผิด”
เซวียนผิงโหวเข้ามาในห้องทรงอักษรประโยคแรกก็ยอมรับผิดเลย จากนั้นก็สารภาพการกระทำอันธพาลที่รังแกราชครูจวงกับอันจวิ้นอ๋องกลางถนนออกมาแต่โดยดี
ท่าทางหน่อมแน้มนี้ทำเอาราชครูจวงนิ่งอึ้งไป
เขาเคยคิดว่าเซวียนผิงโหวอาศัยความโปรดปรานจากฮ่องเต้เป็นตายร้ายดีอย่างไรก็ไม่ยอมรับโทษแน่ หรือไม่ก็โบ้ยความผิดมาให้ตนแทน บอกว่าตนข่มอำนาจใส่เซียวลิ่วหลังก่อน เขาก็แค่ผ่านมาเจอความไม่เป็นธรรมเข้าจึงได้ช่วยเอาไว้
ทว่าที่ไหนได้เซวียนผิงโหวสารภาพออกมาเสียอย่างนั้น!
“อะแฮ่ม!” ฮ่องเต้กระแอมในคอ เซวียนผิงโหวครานี้ช่าง…สามารถทำให้คนอื่นผิดคาดในตัวเขาได้
ช่างเถอะ ชินแล้วล่ะ คนผู้นี้หน้าไม่อาย มีอะไรให้ไม่กล้ายอมรับกันล่ะ
ไม่รับโทษก็โดนโบยหนึ่งร้อยไม้ หากยอมรับก็สามารถลดโทษให้ได้กึ่งหนึ่ง
ฮ่องเต้ล้มเลิกจะเยียวยารักษาอะไรเซวียนผิงโหวตั้งนานแล้ว ในช่วงแรกๆ ยังเคยคิดว่าคนผู้นี้เป็นขุนนางในราชสำนักที่พระองค์ให้ความสำคัญ การกระทำและคำพูดของเขาล้วนเกี่ยวข้องกับศักดิ์ศรีของราชสำนัก และยังเกี่ยวข้องกับพระพักตร์ของพระองค์ด้วย ซ้ำชาวบ้านก็ด่าเซวียนผิงโหวที่ตัวของเซวียนผิงโหวเอง ไม่ได้ด่าไปถึงราชสำนัก ฮ่องเต้จึงคร้านจะแกว่งเท้าหาเสี้ยน
ฮ่องเต้มมองไปยังเซวียนผิงโหว ก่อนจะตรัสอย่างจริงจัง “เราเห็นแก่ท่าทีที่เหมาะสมของเจ้า กระตือรือร้นยอมรับโทษเอง ไปรับโบยเองห้าสิบไม้ไป แล้วก็ลดเงินเดือนครึ่งปีด้วย”
เซวียนผิงโหวหน้าทะมึน
โดนโบยน่ะได้ แต่ลดเงินเดือนไม่ได้!
ราชครูจวงไม่พอใจกับผลลัพธ์นี้เช่นกัน ศักดิ์ศรีของพวกเขาตระกูลจวงถูกเซวียนผิงโหวดึงมากระทืบกับพื้น สุดท้ายฝ่าบาทลงโทษแค่ลดเงินเดือนนิดหน่อยกับโบยไม่กี่ไม้เท่านั้นน่ะรึ
เซวียนผิงโหวเงินทองมากมี นับประสาอะไรกับเงินเดือนครึ่งปี
ส่วนโทษโบยนั่น เขาเป็นคนมีวรยุทธ์ โบยเขาไปก็เหมือนเกาให้เขาคันยิบๆ เท่านั้น!
ราชครูจวงโมโหจนหน้าเขียวคล้ำ สองหมัดกำแน่นจนเกิดเสียง
เซวียนผิงโหวเดินออกมาอย่างเอ้อระเหย มองราชครูจวงแวบหนึ่ง ก่อนจะจุ๊ๆ ปากเอ่ย “อายุปูนนี้แล้วยังไม่หย่านมอีกรึ ถึงได้วิ่งแจ้นมาฟ้อง”
ราชครูจวง “…!!”