บทที่ 607 ตระกูลไป๋สอนอะไรให้กับเด็กชายไร้เดียงสา

ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี

บทที่ 607 ตระกูลไป๋สอนอะไรให้กับเด็กชายไร้เดียงสา?

บทที่ 607 ตระกูลไป๋สอนอะไรให้กับเด็กชายไร้เดียงสา?

ตรงหน้าสำนักจันทราศักดิ์สิทธิ์… สำนักศึกษาหญิงล้วนแห่งหนึ่ง

หลี่ลี่กัดซาลาเปาชิ้นหนึ่งก่อนจะสะดุดล้มอยู่หน้าประตูสำนัก

“สายแล้ว!”

นางกัดและกลืนซาลาเปาลงท้อง เงยหน้ามองพระอาทิตย์ว่าเหลือเวลาเท่าใด ด้วยเหตุนี้นางจึงมองไม่เห็นหนทางข้างหน้าและชนเข้ากับเพื่อนร่วมสำนัก

“อ๊ะ… โอ๊ย!”

หลี่ลี่ไม่ทันตั้งตัว ซาลาเปาถูกกระทุ้งเข้าลำคอของนางอย่างรุนแรง และมันก็ติดอยู่ตรงนั้น

“หืม?”

คนที่นางวิ่งชนหันกลับมามอง แต่หลี่ลี่ไม่มีเวลาสนใจคนผู้นั้น เวลานี้ซาลาเปากำลังติดคอนางและมันทำให้นางหายใจไม่ออก

นางล้มลงกับพื้นพลางกุมคอตนเอง กลิ้งไปมาด้วยความกระวนกระวาย

“ลำบากจริง ๆ”

ขณะที่กำลังเจ็บปวด หลี่ลี่ได้ยินน้ำเสียงเย็นชาแต่กลับไพเราะดังขึ้น นางรู้สึกว่าร่างของตนถูกดึงให้ลุกขึ้นโดยคนผู้นั้น ก่อนที่เขาจะถอนหายใจเบา ๆ อยู่ข้างนาง

“อะไร!”

ตุ้บ!

ทันใดนั้น นางก็ถูกต่อยเข้าที่ท้องอย่างแรง! พลังบางอย่างจากการชกเมื่อครู่กระทุ้งซาลาเปาที่ลำคอให้ปลิวออกมาในคราวเดียว

ซาลาเปาลอยออกไปพร้อมกับน้ำลายของหลี่ลี่ และร่วงลงในบ่อน้ำพุกลางลาน เต่าและปลาภายในบ่อน้ำพุยื้อแย่งกันกัดกินก้อนแป้งซาลาเปานั้น ก่อนที่หลี่ลี่จะใช้มือข้างหนึ่งจับลำคอตนเอง มืออีกข้างหนึ่งกุมท้องเอาไว้ ก่อนจะไอโขลกอยู่หลายครั้งอย่างหมดสภาพ

ชายคนนั้นยื่นผ้าเช็ดหน้าออกมา กลิ่นหอมอบอวลไปทั่วบริเวณ

ตอนนี้หลี่ลี่ไม่สนใจความหอมหวานเหล่านั้น นางหยิบมันมาอย่างรวดเร็วเพื่อจัดการน้ำลายบนใบหน้า

“ขอบคุณ”

หลี่ลี่มองน้ำลายที่เปียกปอนบนผ้าเช็ดหน้าก่อนจะรู้สึกเขินอายเล็กน้อย

“ขอโทษด้วย ข้าจะซักผ้าเช็ดหน้านี้แล้วเอามาคืนเจ้าภายหลัง”

“ไม่เป็นไร ไม่จำเป็น”

ชายผู้นั้นกล่าวคำเบา

“คราวหน้าก็หัดมองถนนบ้าง”

หลี่ลี่เงยหน้าขึ้นจับจ้องคนตรงหน้าอย่างระมัดระวัง

ร่างตรงหน้าเพรียวบาง ผิวพรรณผุดผ่องราวกับกระเบื้องเคลือบสีขาว เส้นผมสีดำขลับพลิ้วไหว และยังมีใบหน้าที่สมบูรณ์แบบ ขนตางดงาม แววตาวูบไหวราวกับหยาดน้ำค้าง ยิ่งมองยิ่งหลงไหลราวกับถูกลำแสงหลากสีสันครอบงำจิตใจ

โลกใบนี้ช่างสดใสเหลือเกิน…

หลี่ลี่เผยสีหน้าประหลาดใจ ดวงตายังเผยความสับสนเล็กน้อย

“ช่างมันเถอะ”

สาวงามผู้นั้นกล่าวกับนางว่า

“การเรียนกำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว ข้าขอตัวก่อน”

“เดี๋ยว… เดี๋ยวก่อนสหายร่วมชั้น!”

หลี่ลี่สบตากับอีกฝ่ายพร้อมกล่าวถาม

“ข้ายังไม่รู้จักชื่อของเจ้าเลย นามข้าคือหลี่ลี่ แล้วเจ้า?”

สาวงามผู้นั้นหันศีรษะกลับมาชำเลืองมองด้วยหางตาก่อนจะกล่าวคำเบา

“ข้านามว่าไป๋โม่เสวี่ย”

  

“สำเร็จ!”

จากหอคอยที่อยู่ไม่ไกลนัก ไป๋ซวี่เซียงยืนอยู่ข้างหน้าต่างชั้นสาม และลอบมองน้องชายที่ปลอมตัวเป็นสตรีเข้าไปตีสนิทกับเป้าหมายได้สำเร็จ แต่ก็อดไม่ได้ที่จะกำหมัดแน่น

“ในโลกใบนี้จะมีสตรีผู้ใดบ้างที่ไม่ชื่นชอบไป๋โม่เสวี่ย!”

“ท่านหัวหน้า”

รองหัวหน้าที่อยู่ด้านข้างอดไม่ได้ที่จะกล่าวแทรก

“เป้าหมายของเรามีลักษณะพิเศษ อย่างไรแล้วเสน่ห์ของนายน้อยโม่เสวี่ยไม่น่าจะใช้ได้ผลกับนางใช่หรือไม่?”

“ผู้ใดว่าไม่ได้? คิดว่าน้องชายข้าไม่มีความสามารถงั้นหรือ?”

ไป๋ซวี่เซียงชำเลืองมอง

“นั่นเป็นวิธีการที่แย่ที่สุดของย่างก้าวภูตพราย เข้าใจหรือไม่? จะเป็นไปได้อย่างไรถ้าได้พบกับบุคคลที่มีจิตวิญญาณยับยั้งเสน่ห์ของเขาได้? ข้าเกรงว่าเจ้าคงไม่ทราบว่ามารดาของโม่เสวี่ยได้คบหากับบิดาข้าเพราะอะไร”

“ก็แค่ไล่ตามไม่ใช่หรือ? ท่านกล่าวเรื่องนี้สิบครั้งแล้ว…”

รองหัวหน้ากล่าวเสียงแผ่ว

“หืม?”

ไป๋ซวี่เซียงเลิกคิ้ว และรองหัวหน้าก็รีบหุบปากทันที

เมื่อเห็นว่าผู้ช่วยของนางเงียบแล้ว ไป๋ซวี่เซียงก็พยักหน้าพร้อมหันมองน้องชายของตนอีกครั้ง

“โม่เสวี่ยมีความสามารถอย่างแท้จริง หลังจากเขายอมรับมันได้ เขายังยอมรับคำสอนจากมารดาแล้วด้วย และยังได้เรียนรู้ทักษะพิเศษของสำนักเหอฮวนในการเกลี้ยกล่อมผู้คน ในฐานะที่ท่านแม่เซียงเสวี่ยที่สามารถใช้ทักษะนี้ได้อย่างยอดเยี่ยม ข้าเกรงว่าเวลานี้นางจะด้อยกว่าเขาเสียแล้ว…”

ตระกูลไป๋เปลี่ยนเด็กชายบริสุทธิ์ไร้เดียงสาให้กลายเป็น…

เมื่อได้ยินคำพูดนั้น รองหัวหน้าก็อดไม่ได้ที่จะลอบคิดบางสิ่งในใจ

  

อีกด้านหนึ่ง ไป๋โม่เสวี่ยเดินเข้าสู่สำนักศึกษา

หญิงสาวผมสีเกาลัดต้องรีบลงทะเบียนเพื่อเป็นผู้ฝึกตนประจำสำนัก ส่วนไป๋โม่เสวี่ยเข้าสู่สำนักนี้ในฐานะ ‘ผู้ฝึกตนแลกเปลี่ยน’ บทบาทของเขามีจำกัดและต้องไปรายงานตัวกับอาจารย์ใหญ่ของสำนักเสียก่อน

ว่ากันว่าสำนักจันทราศักดิ์สิทธิ์ก่อตั้งขึ้นโดยผู้ฝึกตนขั้นสร้างรากฐานคนหนึ่งในโลกใบนี้ สำหรับโลกใบนี้แล้ว ผู้ฝึกตนขั้นสร้างรากฐานนับว่าเป็นกำลังที่สำคัญและแข็งแกร่งที่สุดในปัจจุบัน

แท้จริงแล้วมันไม่ต่างจากโลกแห่งเซียน เพราะบิดาของเขาก็อยู่ในขั้นก่อสร้างรากฐานเช่นกัน

ไป๋โม่เสวี่ยเดินเข้าไปในอาคารพร้อมกับคิดในใจ

แน่นอนว่าเขาทราบถึงความต้องการของพี่สาวไป๋ซวี่เซียง อีกฝ่ายต้องการให้เขาแทรกซึมและปกป้องเป้าหมายเป็นการส่วนตัว ในเวลานี้เขาทราบว่าอีกฝ่ายมีตัวตนเป็นอัตลักษณ์พิเศษ แต่ไป๋ซวี่เซียงไม่ได้บอกให้เขาทราบว่าคือสิ่งใด… เพราะมันคือความลับ

เขาคิดเรื่องการสานสัมพันธ์กับสตรีผู้นั้นมาตลอด ว่าจะทำอย่างไรเมื่อพบเจอกันในชั้นเรียนและได้เป็นสหายที่ดีกับนางอย่างเป็นธรรมชาติ แต่ไม่คาดคิดว่าหญิงสาวผู้นั้นกลับวิ่งชนเขา ซึ่งทั้งหมดนี้ช่วยให้เขาทำภารกิจได้สะดวกขึ้นมาก

ยิ่งไปกว่านั้น การที่นางเพิกเฉยต่อเสน่ห์โดยธรรมชาติของเขายังทำให้ไป๋โม่เสวี่ยรู้สึกถูกใจไม่น้อย ดังที่ทราบ… หากไม่รวมถังรั่วเวยผู้เลื่อนสถานะเป็นมารดา และไป๋ลี่จักรพรรดิเซียนองค์แรก ก็มีเพียงพี่สาวและน้องสาวของเขาเท่านั้นคือไป๋ซวี่เซียงและไป๋หลานจื่อที่ต้านทานเสน่ห์ของเขาได้ ทั้งสองสามารถพูดคุยกับเด็กหนุ่มได้เฉกเช่นคนปกติทั่วไป

แต่สำหรับสหายของเขาแล้ว ไม่ว่าชายหรือหญิง ทุกคนต่างเผยท่าทีเช่นเดียวกัน

ครั้งที่เขาต้องไปร่ำเรียนในแดนเซียน เด็กหนุ่มต้องจัดการกับคนงี่เง่าเหล่านั้นเสมอ ในทางกลับกัน ไป๋ซวี่เซียงก็เป็นสาวงาม แต่เพราะนางอยู่ร่วมกับน้องชายผู้นี้ตลอดเวลา จนทำให้นางไม่เคยมีคนรักและมีผู้ใดมาตกหลุมรักสักคน

เพราะโดยปกติแล้ว ผู้คนที่พบเจอสองพี่น้องจะไม่สนใจไป๋ซวี่เซียง …ทุกคนจะหันสายตามาหาไป๋โม่เสวี่ยแทน

หลังจากมาถึงห้องของอาจารย์ใหญ่ ท่ามกลางสายตาประหลาดใจของอาจารย์ทุกคน เขาก็รายงานตัวต่อหน้าอาจารย์วัยยี่สิบและสามสิบ จากนั้นไป๋โม่เสวี่ยจึงตรงเข้าสู่ชั้นเรียน

“วันนี้อาจารย์มีเพื่อนร่วมชั้นคนใหม่จะแนะนำให้ทุกคนรู้จัก”

อาจารย์ใหญ่ยืนอยู่บนเวทีด้วยรอยยิ้มยินดี เขาผายมือออกไปทางเพื่อนร่วมชั้นคนใหม่

“เข้ามาสิ โม่เสวี่ย”

ประตูถูกเปิดออก ไป๋โม่เสวี่ยเดินเข้ามาด้วยสีหน้าเย็นชาและเย่อหยิ่ง ทุกการเคลื่อนไหวเปี่ยมเสน่ห์มากล้นจนผู้คนรู้สึกประทับใจ

หลังจากนั้นไม่นาน ทุกคนในชั้นเรียนถึงกับสูดลมหายใจเข้าลึกและส่งเสียงประหลาดออกมา