บทที่ 476-2 เด็กน้อยเจ้าบทบาท (2)

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

บทที่ 476 เด็กน้อยเจ้าบทบาท (2)

แม่นางเหยามองท่าทางน้อยอกน้อยใจแต่ก็อดทนไม่ระบายออกมาของกู้จิ่นอวี๋ ก่อนจะถอนหายใจเบาๆ แล้วเอ่ยอย่างจริงใจ “จิ่นอวี๋ ข้ารู้ว่าในใจเจ้ามีความคับแค้น ตอนเหยี่ยนเอ๋อร์เล็กๆ ไม่ชอบเจ้า พอเจ้าเข้าใกล้เขา เขาก็ร้อง แต่นั่นเป็นเพราะกลิ่นพี่สาวข้างกายเขาเปลี่ยนไป สำหรับเขาเจ้าคือคนแปลกหน้า เขารับไม่ได้จึงได้เป็นเช่นนั้น แต่น้องรองกับเหยี่ยนเอ๋อร์เกิดในสถานการณ์ที่แตกต่างกัน เขาเพิ่งเกิดมาบนโลกใบนี้ เจียวเจียวคือพี่สาวเขา เจ้าก็ด้วย ตราบใดที่เจ้าจริงใจต่อเขา เขาก็จะมองเจ้าเป็นพี่สาวแท้ๆ ของเขาเอง เจ้าอย่าได้อคติอะไรกับน้องรองเพราะเรื่องเหยี่ยนเอ๋อร์เลย”

“ท่านแม่ ข้าเปล่านะ!” กู้จิ่นอวี๋มีความทุกข์ใจแต่ยากจะเอื้อนเอ่ย นางไปอคติกับน้องรองตั้งแต่เมื่อใดกัน น้องรองต่างหากที่ไม่ชอบนาง

“ข้าออกไปเดี๋ยวนะ” แม่นางเหยาจะไปเข้าห้องน้ำ แม่นมฝางจึงพยุงนางไปห้องน้ำ

พอนางไป เจ้าหนูน้อยในอ้อมอกก็เบ้ปากทันที!

กู้จิ่นอวี๋อุ้มเจ้าหนูน้อยอยู่ พลันลุกพรวดขึ้น “ท่านแม่! เขาร้องอีกแล้ว!”

แม่นางเหยากับแม่นมฝางย้อนกลับมา

เจ้าหนูน้อยอ้าปากกว้าง หาวหวอดๆ

แม่นางเหยาเอ่ย “เขาแค่หาวเฉยๆ”

กู้จิ่นอวี๋เถียง “ไม่ใช่ เมื่อครู่เขาจะร้องชัดๆ!”

แม่นางเหยาถอนใจเอ่ย “เขาเป็นเด็กดียิ่งนัก”

เขาไม่ได้เป็นเด็กดีเลย!

เขาไม่ชอบข้า!

กู้จิ่นอวี๋ยากจะเถียงกลับเหลือเกิน นางสาบานว่านางไม่ได้ตาฝาด เมื่อครู่เด็กคนนี้จะร้องไห้จริงๆ!

แต่พอแม่นางเหยากลับมาเขาก็ไม่ร้องแล้ว!

….

กู้เจียวในตอนนี้ไม่ได้รู้เลยว่ากู้จิ่นอวี๋ถูกบีบให้ยอมรับความพ่ายแพ้จากเจ้าหนูน้อยคนนี้ นางเพิ่งจะออกมาจากโรงหมอ พวกผู้บาดเจ็บหนักที่ตะลุมบอลกันในบ่อนเมื่อวานเพิ่งจะพ้นขีดอันตราย ยามนี้กำลังส่งต่อให้หมอซ่งกับหมอหลูดูแล

ส่วนนางจะไปบ้านตระกูลหลิ่วเสียหน่อย

หลิ่วอีเซิงเห็นนางเข้าก็ผิดคาดไม่น้อย

“สะดวกให้เข้าไปหรือไม่” กู้เจียวถาม

“อ๊ะ สะดวก” หลิ่วอีเซิงหลบไปด้านข้างให้ ดึงประตูเรือนให้กว้างขึ้นเล็กน้อย

เงาร่างขาวพุ่งออกมาอย่างรวดเร็ว โผสู่อ้อมอกกู้เจียว

“อ้อ เสี่ยวสือ” กู้เจียวกอดก้อนแมวตัวหนักสีขาวจั๊วะเอาไว้ “เจ้าอ้วนขึ้นอีกแล้วนะ”

เจ้าเสี่ยวสือร้องเมี๊ยวๆ ขึ้นมา

มันไม่ได้อ้วน มันไม่อ้วนเลยสักนิด!

“วันนี้เจ้ามาได้อย่างไรล่ะ” หลิ่วอีเซิงถาม

“ข้ามาหาหยวนถังน่ะ” กู้เจียวบอก

“ได้ยินหรือยังท่านพี่ นางมาหาข้า!”

หยวนทั้งโบกพัดด้ามจิ้วพร้อมกับเสียงสดชื่นแจ่มใสนี้ เขาเดินอาดๆ ออกมาจากในห้องโถง

แล้วหยุดยืนอยู่ตรงหน้ากู้เจียว ใช้พัดด้ามจิ้วเคาะหัวเจ้าแมวตัวขาว ก่อนแค่นเสียงเอ่ย “ไอ้เจ้าแมวเนรคุณ ตอนข้ามาเหตุใดจึงไม่กระตือรือร้นเช่นนี้บ้าง”

เจ้าเสี่ยวสือมุดหัวเข้าอ้อมอกกู้เจียว สะบัดก้นใส่หยวนถัง

หลิ่วอีเซิงมองหยวนถังด้วยแววตาเย็นชา

หยวนถังเมินสายตาดุจมีดของลูกพี่ลูกน้องตัวเองไปโดยอัตโนมัติ ก่อนยิ้มเอ่ยกับกู้เจียว “ว่ามาสิ มาหาข้ามีธุระอะไรรึ ทางที่ดีอย่าเป็นธุระเรื่องระหว่างชายหญิงเชียวนะ มิฉะนั้นท่านพี่ข้าได้หึงตายแน่ ข้ารับปากท่านพี่แล้วว่าในใจจะมีเพียงเขาแค่คนเดียว”

หลิ่วอีเซิงอยากจะเตะไอ้เด็กคนนี้ออกไปยิ่งนัก!

“เรื่องสำคัญน่ะ” กู้เจียวบอก

หยวนถังสีหน้าโล่งใจ “จะคุยในเรือนหรือในลานบ้าน”

น้ำเสียงเหมือนเจ้าของบ้าน

“ได้ทั้งสิ้น” กู้เจียวบอก

บ้านของหลิ่วอีเซิงไม่มีคนนอก มีเพียงคนรับใช้ใบ้คนหนึ่งกับแม่นมอีกคน ล้วนเป็นคนที่ไว้ใจได้ทั้งสิ้น

วันนี้อากาศปลอดโปร่งแสนสบาย เหมาะแก่การนั่งผิงแดดในลานเรือนเป็นที่สุด

สุดท้ายพวกเขาก็นั่งลงบนม้านั่งหิน หยวนถังนั่งตรงข้ามกู้เจียว หลิ่วอีเซิงนั่งระหว่างกลางทั้งคู่

หลิ่วอีเซิงไม่ได้รีบร้อนนั่งลง เขาเข้าไปในห้องตัวเองรอบหนึ่ง ก่อนจะยกส้มเขียวหวานสดออกมาจานหนึ่ง

พอหยวนถังเห็นส้มลูกอวบอ้วนวาววับ ก็ถลึงตาโต “ท่านพี่ จะลำเอียงเกินไปแล้วกระมัง! ที่แท้ท่านก็มีของอร่อยมากมายเพียงนี้เลยรึ ข้ามาตั้งนานแล้วยังไม่เคยเห็นท่านเอาออกมาเลย!”

เขาเอ่ยจบ ใบหน้าหล่อเหลาก็พลันคับข้องใจสุดๆ

เขาเอ่ยกับหลิ่วอีเซิง “ท่านปอกให้ข้าสักลูกสิ แล้วข้าจะยกโทษให้”

หลิ่วอีเซิงปอกส้มหนึ่งลูกจริงๆ แต่ไม่ได้ให้เขา

“แม่นม เอาไปสิ”

หยวนถัง …ปวดใจนัก!

กู้เจียวก็ปอกส้มด้วยเช่นกัน แล้วป้อนให้เสี่ยวสือนิดหน่อย นางไม่เคยเลี้ยงแมว ไม่รู้ว่าแมวคนอื่นกินส้มหรือไม่ แต่อย่างไรเสียเสี่ยวสือก็กิน

“นี่ เจ้าบอกว่ามาหาข้าเพราะมีธุระนี่นา เรื่องอะไรรึ” หยวนถังถูกลูกพี่ลูกน้องทิ่มแทงใจเข้า น้ำเสียงในการพูดจึงอู้อี้

กู้เจียวเอ่ย “เจ้ารู้เรื่องที่กองทัพแคว้นเฉินของพวกเจ้าที่เคลื่อนพลไปตะวันออกเฉียงใต้หรือไม่”

นัยน์ตาหยวนถังพลันเป็นประกายระแวดระวัง “เหตุใดเจ้าจึงถามเรื่องนี้”

กู้เจียวป้อนส้มให้เจ้าแมวขาวบนตักอีกกลีบ “บอกแค่ว่าเจ้ารู้หรือไม่”

หยวนถังมองกู้เจียวอย่างลุ่มลึกแวบหนึ่ง ก่อนจะคลี่พัดด้ามจิ้วออก เลิกคิ้วเอ่ย “แม้ข้าจะเป็นเชลยอยู่ที่นี่ แต่ข้าก็มีคนเป็นหูเป็นตาให้เช่นกัน ชายแดนแคว้นเฉินมีทหารก่อการจลาจล เสด็จลุงข้านำทัพไปปราบปรามแล้ว”

กู้เจียวลอกใยส้มทิ้ง “ปราบปราม ช่างเป็นข้ออ้างที่ดีเสียจริง”

ในฝันของนางนั้น ครึ่งเดือนหลังกองทัพแคว้นเฉินถึงจะเคลื่อนพล เดือนสองจับองค์หญิงหนิงอันกับท่านเหล่าโหวไป เดือนสามจับกู้เฉิงเฟิงไป เดือนสี่กู้ฉังชิงนำทัพตระกูลกู้เรือนแสนขึ้นเหนือ เดือนห้าด่านชายแดนยังคงโกลาหลวุ่นวาย เดือนหกกองทัพตระกูลกู้ถูกทำลายล้างไปแปดหมื่นนาย

ยามนี้เพิ่งจะเดือนสิบเท่านั้น

ดูท่าแล้วจะเกิดขึ้นก่อนเวลาจริงๆ

หยวนถังขมวดคิ้ว “เจ้าหมายความอย่างไร”

กู้เจียวมองเขาอย่างเสียดาย ถอนใจเอ่ย “ดูท่าเจ้าจะยังไม่รู้สินะ”

แววตานี้ทำให้หยวนถังขมวดคิ้วมุ่นกว่าเดิม “ข้าไม่รู้อะไรรึ”

กู้เจียวดึงสายตากลับ ลอกใยส้มออกต่อ “สองแคว้นสู้รบกันแล้ว เชลยอย่างเจ้าอีกไม่นานก็จะหมดคุณค่าแล้วล่ะ”

หยวนถังหุบพัด “เจ้าเพ้อเจ้อ!”

สองประโยคนี้ล้วนเพ้อเจ้อทั้งสิ้น!

เหตุใดแคว้นเฉินจึงส่งองค์ชายมาเป็นเชลยแคว้นเจา ก็เพราะแคว้นเจาแสดงให้เห็นว่าตัวเองยอมสวามิภักดิ์และขอสงบศึก หากพวกเขากล้าระดมพลไปแคว้นเจาอีก แคว้นเจาก็จะฆ่าหยวนถังแน่นอน

ตอนนั้นที่เซวียนผิงโหวนำทัพไปแคว้นเฉิน เขาช่วยอันจวิ้นอ๋องออกมาก่อน จากนั้นจึงได้เคลื่อนทัพ

ทว่าทัพแคว้นเฉินประชิดชายแดนแคว้นเจาแล้ว ทางหยวนถังกลับไร้การเคลื่อนไหว เห็นได้ชัดว่าหยวนถังถูกแคว้นเฉินตัดหางปล่อยวัดแล้ว

หรือพูดให้ถูกก็คือ ถูกเสด็จลุงของเขาตัดหางปล่อยวัดแล้ว

หยวนถังอารมณ์ดีมาตลอด ยามนี้ก็อดอารมณ์คุกรุ่นขึ้นมาไม่ได้ “นี่ เจ้าอย่าอาศัยมิตรภาพที่ดีระหว่างเรามาพูดเพ้อเจ้อยุแยงตะแครงรั่วความสัมพันธ์ของข้ากับเสด็จพ่อที่นี่เชียวนะ”

กู้เจียวแบมือ “ไม่เกี่ยวกับเสด็จพ่อเจ้า เสด็จลุงเจ้าเป็นคนคิดก่อกบฏ เจ้าคงเป็นไท่จื่อแคว้นเฉินไม่ได้แล้วล่ะ”

เมื่อหยวนถังได้ยินว่าไม่ใช่เสด็จพ่อ ก็ลดการต่อต้านลงเล็กน้อย แต่ก็ยังขมวดคิ้วถามอยู่ดี “เสด็จลุงคนไหนของข้า”

กู้เจียวบอก “ข้าจะไปรู้ได้อย่างไรว่าคนที่นำทัพไปปราบปรามคือลุงคนไหนของเจ้า”

อันที่จริงนางรู้ แต่นางอยากรู้ว่าหยวนถังรู้หรือไม่