ตอนที่ 306 ไม่เชื่อฟังก็จับมัดเลย
ตอนที่ 306 ไม่เชื่อฟังก็จับมัดเลย
หนานหนานถึงกับชะงัก รีบหันหน้าไปมอง ก็พบว่ามารดาของเขากำลังเดินตรงเข้ามาด้วยสายตาดุดัน ด้านหลังของนางยังมีเย่หลานเฉิงที่มองเขาด้วยสายตาขอโทษขอโพย
หนานหนานหมุนตัวทำท่าจะวิ่งหนีตามจิตใต้สำนึก
โม่เสียนมุมปากกระตุก จับคอเสื้อของหนานหนานจากด้านหลังเพื่อดึงกลับมา “หนานหนาน เจ้าหลอกข้าจนเหนื่อยเลยนะ”
หนานหนานแกว่งมือและเท้ากลางอากาศชั่วขณะหนึ่ง ก่อนจะยอมหยุดลงแต่โดยดี แล้วยิ้มเจื่อนวิ่งไปยืนข้าง ๆ อวี้ชิงลั่ว จากนั้นจึงกอดขาของนางพร้อมกับยิ้มประจบ “ท่านแม่ มาทำอะไรที่นี่รึ?”
อวี้ชิงลั่วอุ้มเขาขึ้นมา แล้วเดินไปที่ตรอกด้านหลังก่อนจะหยุดลง
ไม่มีใครคาดคิด ยังไม่ทันได้หยุดยืนอย่างมั่นคง ก็พบเด็กคนหนึ่งมีบาดแผลเต็มตัวเดินกะเผลกมาทางนี้ ในมือยังมีไม้กระบองขนาดเล็ก ประจันหน้ากับนางด้วยความโกรธเคือง “ปล่อยหนานหนาน”
อวี้ชิงลั่วเลิกคิ้ว หลุบตามองบุตรชายผู้แสนเชื่อฟัง “สหายของเจ้ารึ?”
“หา?” หนานหนานชะงัก รีบตะโกนบอกเด็กผู้ชายคนนั้น “ท่านแม่ของข้า นี่คือท่านแม่ของข้า ไม่เป็นไร”
สีหน้าประหม่าของเด็กผู้ชายคนนี้จึงผ่อนคลายลง ก่อนจะเข่าอ่อนทรุดลงบนพื้นอย่างหมดแรง
โชคดีที่โม่เสียนตาไว ช่วยอุ้มเขาไปพิงตัวเข้าที่กำแพงข้าง ๆ ได้ทัน ก่อนจะเดินกลับมาอย่างช้า ๆ
“อวี้ฉิงหนาน เจ้าช่างกล้าหาญมากขึ้นเรื่อย ๆ แล้วนะ เจ้ารู้หรือไม่ว่าที่นี่คือที่ใด? แม้แต่บอกก็ไม่บอกสักคำ แต่กลับกล้าบุกมาถึงในนี้? ช่วงนี้ไม่ได้อยู่ข้าง ๆ แม่ ปีกกล้าขาแข็งขึ้นงั้นสิ?”
อวี้ชิงลั่วปล่อยตัวหนานหนานลงตรงหน้า จับศีรษะเล็ก ๆ ของเขาไว้ให้มั่น เริ่มตำหนิเขาอย่างรุนแรง
หนานหนานแอบรู้สึกผิด ก้มหน้าอยู่ครู่ใหญ่ไม่กล้าพูดอะไร ทว่าภายในใจกำลังขุ่นเคืองเย่หลานเฉิง แม้ว่าเขาจะทราบดีว่าไม่ช้าหรือเร็วเสี่ยวเฉิงเฉิงก็คงบอกสถานที่ที่เขาไปอยู่ดี แต่คิดไม่ถึงเลยว่าจะพูดออกไปเร็วขนาดนี้ อย่างน้อย ๆ ก็ควรรอให้เขาเข้าไปในเรือนรับรอง ช่วยท่านน้าเป่าเอ๋อร์ออกมาก่อนสิ
เอ๋!!!
ถูกต้อง ท่านน้าเป่าเอ๋อร์ยังอยู่ด้านในอยู่เลย
เมื่อนึกถึงอวี้เป่าเอ๋อร์ที่ตอนนี้กำลังตกอยู่ในอันตราย หนานหนานก็ไม่รู้สึกผิดอีกต่อไป รีบเงยหน้า ใช้สายตาเป็นประกายมองท่านแม่และคนอื่น ๆ “ท่านแม่ แย่แล้ว ท่านน้าเป่าเอ๋อร์ถูกจับตัวเข้าไปในเรือนรับรองแล้ว”
“อะไรนะ?” อวี้ชิงลั่วขมวดคิ้วมุ่น เย่หลานเฉิงที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ถึงกับตกตะลึงอย่างห้ามไม่อยู่ รีบพูดว่า “เหตุใดเป่าเอ๋อร์ถึงถูกจับตัวเข้าไปอยู่ในเรือนรับรอง? รถม้าของเขามุ่งหน้าไปทางตะวันตกแล้วไม่ใช่หรือ? คุยกันอย่างดีแล้วไม่ใช่รึว่าจะกลับโรงเตี๊ยมทันที?”
หนานหนานกุมศีรษะตัวเอง ถอนหายใจ ‘เฮ้อ’ ก่อนจะเล่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นเมื่อครู่อย่างละเอียด
อวี้ชิงลั่วได้ฟัง ก็ยิ่งขมวดคิ้วเข้าหากัน
“แม่นางอวี้ ข้าจะเข้าไปดูด้านในเรือนรับรองเอง” โม่เสียนมีสีหน้าตึงเครียด เรื่องราวเหนือความคาดหมายของทุกคนจริง ๆ เดิมทีพวกเขาคิดว่าหนานหนานจะเข้าไปด้านในเรือนรับรองเพียงคนเดียว จากฝีมือของหนานหนาน เข้าไปอยู่ในวังยังปกป้องตัวเองได้ อยู่ในเรือนรับรองก็ไม่น่าจะมีปัญหาใหญ่อะไร
ทว่าคิดไม่ถึงเลยว่าหนานหนานไม่ได้เข้าไป แต่กลับกลายเป็นอวี้เป่าเอ๋อร์คนที่นาน ๆ ครั้งจะได้ออกจากเรือนต่างหากที่เข้าไป
มุมปากของอวี้ชิงลั่วขึงตึงเป็นเส้นตรง นางก้มหน้าถลึงตามองหนานหนานปราดหนึ่ง หลังจากเงียบขรึมอยู่ครู่หนึ่ง จึงเอ่ยขึ้นว่า “ไม่ต้องแล้ว ด้านในเรือนรับรองมีผู้มีฝีมือมากมาย หากประมาทอาจโดนความผิดโทษฐานลอบสังหารราชทูต”
“แล้วเป่าเอ๋อร์…”
“เจ้านำป้ายแผ่นเล็กชิ้นนี้ไปให้ทหารองครักษ์ที่ยืนเฝ้าประตู บอกให้เขานำไปให้ฉีจ้าน เขาต้องออกมาแน่นอน”
อวี้ชิงลั่วชะงักไปครู่หนึ่ง พร้อมกับหยิบแผ่นป้ายสีทองอันประณีตออกมาจากกระเป๋าเสื้อยื่นให้โม่เสียน
โม่เสียนชะงัก ทันใดนั้นเขาก็นึกถึงเรื่องที่แม่นางอวี้เคยช่วยรัชทายาทของอาณาจักรหลิวอวิ๋นผู้นั้นที่โรงหมอซิงเซิ่งก่อนหน้านี้ เขาก็รู้สึกดีใจ กำแผ่นป้ายเล็ก ๆ ในมือไว้พร้อมกับขานตอบทันใด “เข้าใจแล้ว”
หนานหนานรู้สึกฉงนอย่างมาก ชะเง้อคอเพราะอยากดูว่าแผ่นป้ายชิ้นนั้นที่อยู่ในมือของโม่เสียนคืออะไร
ทว่าตอนที่เขาเพิ่งเขย่งปลายเท้า โม่เสียนก็หมุนตัววิ่งออกไปแล้ว
หนานหนานรีบหันศีรษะมามองมารดาด้วยความสงสัย “ท่านแม่ เหตุใดข้าถึงไม่เคยรู้มาก่อนว่าท่านแม่มีแผ่นป้ายอีกหนึ่งชิ้นด้วย? แผ่นป้ายชิ้นนั้น…ยอดเยี่ยมมากเลยรึ? แค่นำออกไปให้ก็เจอหน้าองค์ชายสิบสามอะไรนั่นของอาณาจักรหลิวอวิ๋นได้แล้ว?”
อวี้ชิงลั่วแค่นเสียงเย็น “เจ้าหุบปากไปเลย กลับไปแม่จะคิดบัญชีกับเจ้าให้หนัก” กล่าวจบ นางก็หมุนกายเดินออกไป
หนานหนานก้มหน้าบ่นพึมพำ “ทำไมต้องมาคิดบัญชีกับข้าด้วย ข้ายังไม่ได้สัมผัสแม้กระทั่งประตูของเรือนรับรองด้วยซ้ำ…นี่ ท่านแม่ รอข้าก่อน ข้าไปด้วย”
เท้าของอวี้ชิงลั่วที่ก้าวไปด้านหน้าหยุดชะงักทันใด หันกลับมาเหลือบมองหนานหนานพร้อมกับยกมือขึ้นมากอดอก “อยู่ที่นี่อย่าดื้ออย่าซน ห้ามไปไหนทั้งนั้น”
“แต่…”
“หืม?” อวี้ชิงลั่วถลึงตาใส่หนานหนาน เขาเงียบเสียงลงในทันใด ก่อนจะวิ่งไปนั่งข้าง ๆ นางอย่างเชื่อฟังด้วยท่าทางหมดอาลัยตายอยาก
อวี้ชิงลั่วจึงเกิดความพึงพอใจ หันไปสั่งเหวินเทียนว่า “เจ้าอยู่ดูพวกเขาที่นี่ โดยเฉพาะหนานหนาน หากเขากล้าทำตัววุ่นวาย เจ้าก็ทุบให้สลบแล้วจับมัดได้เลย”
“ขอรับ” เหวินเทียนยิ้มเยาะ เมื่อเห็นท่าทางโกรธเคืองของหนานหนาน จึงรีบละสายตาและพยักหน้าอย่างจริงจัง
อวี้ชิงลั่วจึงหมุนกายเดินออกมาจากตรอก โม่เสียนที่อยู่ทางฝั่งนั้นได้นำแผ่นป้ายให้ทหารองครักษ์ที่ยืนเฝ้าประตูแล้ว
ทหารองครักษ์คนนั้นกวาดสายตามองโม่เสียนซ้ายขวา แค่ได้เห็นก็คาดเดาได้แล้วว่าคงเป็นผู้อารักขาของราชวงศ์ อีกอย่างความต้องการของเขาคือนำแผ่นป้ายนี้ไปมอบให้ฉีจ้าน คำขอนี้ก็ไม่ได้เกินกว่าเหตุ
จึงพยักหน้า หันไปส่งสายตาให้ทหารองครักษ์อีกคน จากนั้นจึงวิ่งกลับเข้าไปด้านในเรือนรับรอง
ครั้นได้ยินว่าตอนนี้ฉีจ้านอยู่ในเรือนขององค์ชายสิบสาม เขาจึงเปลี่ยนทิศทางวิ่งไปอีกฝั่งหนึ่ง
ใครจะไปคิด ตอนที่เพิ่งวิ่งมาถึงด้านนอกเรือน ก็เผชิญหน้ากับอวี้เจี้ยนต๋าพอดี ทั้งสองคนจึงเกือบเดินชนกัน
ทหารองครักษ์รีบถอยไปด้านหลังสองสามก้าว อวี้เจี้ยนต๋าคุ้มกันของที่อยู่บนถาดอย่างระมัดระวัง ตำหนิด้วยความโกรธเคืองว่า “วิ่งอะไรของเจ้า นี่เป็นของว่างขององค์ชายสิบสาม ไม่ใช่เรื่องง่ายกว่าจะซื้อกลับมา หากทำหล่นขึ้นมา เจ้าจะมีปัญญาชดใช้หรือไม่”
เป็นเพราะอวี้เจี้ยนต๋าอยากสร้างความประทับใจที่ดี หลังจากนำของกลับมา เขาจึงไปหาถาดที่ทั้งดูดีและมีความประณีตมาจัดตกแต่งอย่างระมัดระวัง ทั้งยังวางดอกไม้ไว้ด้านบนด้วย ก่อนจะเดินถือมาอย่างระมัดระวัง
ทหารองครักษ์ขมวดคิ้ว ค้อมกายคารวะเล็กน้อย “ท่านอวี้ ให้ข้าน้อยช่วยถือเข้าไปหรือไม่ขอรับ?”
“ไม่ต้อง ไม่ต้อง ข้าถือเองได้” อวี้เจี้ยนต๋ารีบถอยหลังไปหนึ่งก้าว ประคับประคองถาดอย่างระมัดระวัง หลังจากถลึงตาใส่อีกฝ่าย เขาก็ก้าวเท้าเดินเข้าไปด้านในเรือน
ทหารองครักษ์แอบ ‘ถุย’ อยู่ภายในใจ ก่อนจะเดินตามเข้าไป
ครั้นประตูถูกเปิดออก ก็พบว่าด้านหน้าขององค์ชายสิบสามมีเด็กอายุสิบขวบกำลังนั่งคุดคู้อยู่ตรงหน้า ศีรษะก้มลงเล็กน้อย มองเห็นหน้าตาของเขาไม่ชัดเจน ทว่ากลับมีเสียงร้องครวญครางเบา ๆ
อวี้เจี้ยนต๋าไม่ได้เหลือบสายตามอง เพียงแต่นำถาดมาวางด้านหน้าฉีหานเทียนอย่างระมัดระวัง กล่าวเคล้ารอยยิ้มด้วยเสียงแผ่วเบา “องค์ชายสิบสาม ของว่างของท่านขอรับ”
ฉีหานเทียนเหล่ตามอง ตอบ ‘อืม’ เบา ๆ หนึ่งเสียง
ทหารองครักษ์ที่ยืนอยู่ด้านหลังทำความเคารพเขา ก่อนจะเดินไปข้าง ๆ ฉีจ้านพร้อมกับยื่นแผ่นป้ายเล็ก ๆ ไปที่มือของอีกฝ่าย
ฉีจ้านเลิกคิ้วเหลือบมอง จากนั้นสีหน้าของเขาก็ดูจริงจังขึ้นมา ขมวดคิ้วพร้อมกับกำป้ายที่อยู่ในมือจนแน่น
……………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
ต้องเป็นป้ายประจำตัวของหมอปีศาจแน่ ๆ เลย ไม่งั้นคงไม่อิมแพคขนาดนี้
เจ้าหนานหนานอย่าดื้อนะคะ เดี๋ยวโดนจับมัดนะ
ไหหม่า(海馬)