บทที่ 602 ลงโทษ

บทที่ 602 ลงโทษ

“ตอบแทน? เจ้ากำลังหมายถึงสตรีในจวนหลังเหล่านั้น? หรือแก้วแหวนเงินทองในห้องใต้ดินของเจ้ากันละ? ดูท่าเจ้ายังไม่ยอมพูดความจริงสินะ”

ครั้นได้ยินคำพูดของนายอำเภอ เจี่ยงเถิงก็อดยิ้มเยือกเย็นไม่ได้

“ข้าไม่เข้าใจในสิ่งที่ใต้เท้าเจี่ยงพูด ข้าเป็นผู้ปกครองเมืองเว่ย มักจะทุ่มเทสติปัญญาจนกว่าชีวิตจะหาไม่ ปฏิบัติหน้าที่ต่าง ๆ อย่างสุขุมรอบคอบและระมัดระวัง ใต้เท้าเจี่ยงไม่แยกผิดชอบชั่วดีก็สั่งคนจับตัวข้า เกรงว่าคงจะไม่ได้รับความนับถือ”

แม้ว่าตัวจะกลายเป็นนักโทษ แต่นายอำเภอเมืองเว่ยก็ยังหน้าด้านหน้าทน ไม่เคยเห็นเจี่ยงเถิงอยู่ในสายตา ซึ่งเจี่ยงเถิงเองก็ไม่รู้ว่าเขาไม่กลัวตายจริง ๆ หรือไม่

เดิมทีเขาอยากใช้แก้วแหวนเงินทอง อำนาจ และสาวงามมาเป็นเครื่องต่อรอง แต่ดูท่าคงใช้กับเจี่ยงเถิงไม่ได้ ใบหน้าของนายอำเภอเมืองเว่ยจึงเปลี่ยนสีทันใด

“ได้รับการนับถือ? ข้าลาดตระเวนตามเมืองต่าง ๆ ภายใต้พระราชโองการขององค์จักรพรรดิ หรือว่าเจ้าคือผู้ยุงส่งเสริมให้เมืองเว่ยเกิดความปั่นป่วน?” นายอำเภอเว่ย “อย่ามาทำไขสือกับข้าดีกว่า ข้าขอบอกเจ้าไว้ตรงนี้ ต่อให้วันนี้ฝ่าบาทจะเสด็จมาเยือน เจ้าก็ต้องตายอยู่ดี”

“ตาย? ใต้เท้าเจี่ยงคิดว่าข้ากลัวตายงั้นหรือ? ข้าไม่กลัว! หลายวันมานี้ สิ่งที่ข้าจะได้เพลิดเพลิน ข้าก็ได้เพลิดเพลินไปหมดแล้ว แม้ว่าจะเป็นเพียงนายอำเภอเล็ก ๆ แต่ข้ากลับรู้สึกสบายกว่าได้นั่งอยู่บนบัลลังก์เสียอีก ข้ากล้าพูดแบบนี้แล้ว ใต้เท้าเจี่ยง เจ้ากล้ารายงานต่อหน้าฝ่าบาทหรือไม่?”

“ดูท่าเจ้าคงจะไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตาสินะ ทหาร นำไปประหาร!”

คาดไม่ถึงว่านายอำเภอเมืองเว่ยผู้นี้จะรั้นถึงเพียงนี้ เจี่ยงเถิงเองก็ไม่อยากจะเสวนาพาทีกับเขาอีก

กับคนแบบนี้ ไม่จำเป็นต้องเปลืองน้ำลายด้วย

“ประหารก็ประหาร เจี่ยงเถิง วันนี้เจ้าประหารชีวิตข้า วันข้างหน้าเจ้าจะต้องได้รับการชดใช้เป็นร้อยเท่า!”

ดูเหมือนนายอำเภอเมืองเว่ยคาดไม่ถึงว่าเจี่ยงเถิงจะไม่คล้อยตามไพ่ใบสุดท้ายตามจิตใต้สำนึก

ในอดีตแม้ว่าขุนนางเหล่านั้นจะจับตัวเขามา แต่เพียงเขาเสนอของบางอย่าง ขุนนางเหล่านั้นก็พร้อมใจกันไว้หน้าเขา แต่เจี่ยงเถิงกลับปฏิบัติภารกิจอย่างซื่อสัตย์

นายอำเภอเมืองเว่ยเริ่มกระวนกระวายใจ ไพ่ใบสุดท้ายที่เขาใช้มาตลอดล้วนแต่เป็นสิ่งของที่ผู้ชายเหล่านี้ปรารถนา แต่เจี่ยงเถิงกลับไม่หวั่นไหว เขาได้รู้จักเจี่ยงเถิงไปอีกขั้น แต่น่าเสียดายที่มันสายเกินไปแล้ว

“ยังกล้าขู่ข้าอีกรึ เพิ่มความผิดอีกหนึ่งกระทง”

คำพูดเรียบเฉยของเจี่ยงเถิงคือการคาดโทษนายอำเภอเมืองเว่ยไปโดยปริยาย เขาบอกเองว่าอยากตอบแทนเจี่ยงเถิง? ดูสิว่าเขาจะกล้าทำแบบนี้หรือไม่

“อ่า! เจี่ยงเถิง เจ้าต้องไม่ตายดีแน่!”

“เจ้าเป็นบุตรของชายสารเลวผู้นั้น แม้แต่พ่อของเจ้าก็ไม่ต้องการเจ้า เจ้ายังกล้าลำพองใจเช่นนี้อีกนะ”

“เจ้าอยากพึ่งพาตระกูลหลินเพื่อเลื่อนขั้นไม่ใช่หรือ? รสชาติของคุณหนูตระกูลหลินผู้นั้นเป็นอย่างไรบ้างล่ะ?”

ประโยคที่ไม่น่าฟังประโยคแล้วประโยคเล่าได้เข้าหูของเจี่ยงเถิงอย่างชัดเจน ทำให้สีหน้าของเจี่ยงเถิงเริ่มเคร่งขรึมลง

เขายอมให้คนเหล่านี้ด่าทอตัวเอง แต่จะไม่ยอมให้คนเหล่านี้มาด่าทอถึงอาซือเด็ดขาด

“พรุ่งนี้ ข้าต้องไม่เห็นเขาอีก”

เจี่ยงเถิงลุกจากเก้าอี้ แล้วเดินออกไปข้างนอก คำพูดก่อนจากไปเป็นการตัดสินระยะเวลาตายของนายอำเภอเมืองเว่ยโดยสิ้นเชิง

ถ้านายอำเภอเมืองเว่ยรู้สถานการณ์ในตอนนี้โดยแท้จริง ซึ่งความจริงแล้วไม่ต้องมีชื่อของเขาด้วยซ้ำ

หลังจากเห็นเจี่ยงเถิงเดินจากไป ผู้ติดตามผู้นั้นถึงกับอดส่ายหน้าไม่ได้ นายอำเภอเมืองเว่ยช่างโง่เขลายิ่งนัก ใคร ๆ ก็รู้ว่าใต้เท้าเจี่ยงเถิงรักแม่นางหลินยิ่งกว่าชีวิตของตัวเอง แต่เขากลับรนหาที่ตาย ใครเล่าจะช่วยเจ้าได้

“หลังจากเขาสิ้นใจแล้ว พวกเจ้าก็นำศพมันไปโยนทิ้งในสุสานด้วยแล้วกัน”

ผู้ติดตามคนนั้นมองนายอำเภอเมืองเว่ยเป็นครั้งสุดท้าย จากนั้นก็เดินจากไป

แม้ว่านายอำเภอเมืองเว่ยจะต้องตาย แต่ไม่มีใครตระหนักได้ถึงสายตาที่เต็มไปด้วยความเกลียดชังคู่หนึ่งจดจ้องมาจากในมุมหนึ่งของคุก

วันที่สอง เจี่ยงเถิงยังคงทำเหมือนเช่นทุกวัน คือการไปเที่ยวเล่นกับหลินซือ

บางทีอาจเพราะไม่มีนายอำเภอเมืองเว่ยและพวกคนชั่วช้าสามานย์เหล่านั้น ใบหน้าของทุกคนในเมืองเว่ยจึงได้ยิ้มแย้มแจ่มใสมากขึ้น เหมือนกับไม่ได้มีความสุขเช่นนี้มานานมากแล้ว

ยิ่งตอนที่พวกเขาเจอกับเจี่ยงเถิง ยิ่งกระตือรือร้นเข้าไปใหญ่ ถึงขนาดนำสิ่งของบนแผงขายของตัวเองมามอบให้เจี่ยงเถิง เจี่ยงเถิงและหลินซือพร้อมใจกันปฏิเสธแล้ว แต่สุดท้ายก็จำใจต้องซื้อผลไม้เคลือบน้ำตาลไม้หนึ่งจากหญิงสาวที่ขายผลไม้เคลือบน้ำตาลคนหนึ่ง จากนั้นก็เดินไปกินไปตลอดทาง

“พี่อาเถิง ท่านจัดการเรื่องของท่านเรียบร้อยแล้วหรือ?”

“อื้อ เกือบแล้ว ทำไมกัน เจ้าคิดถึงบ้านแล้วหรือ?”

เจี่ยงเถิงคอยสังเกตท่าทางของหลินซือมาตลอด ในช่วงสองสามวันนี้ระหว่างที่อาซือติดตามเขานางกลับซูบผอมลงกว่าปกติ แต่สีหน้ากลับดีขึ้นกว่าปกติ

เมื่อรู้ว่าหลินซือไม่เคยจากบ้านไกล ครานี้ได้ติดตามเขามานับว่าเป็นกรณีพิเศษ เจี่ยงเถิงยกมือขึ้นมาลูบศีรษะของหลินซืออย่างอดไม่ได้ ไม่ว่าจะมองหลินซืออย่างไรก็ยิ่งชอบนางมากเท่านั้น

“นิดหน่อย แต่ในระหว่างทางนี้ข้าได้รางวัลมาเต็มเปี่ยมเชียวล่ะ”

“จริงหรือ? เจ้าได้รางวัลอะไรหรือ?”

ครั้นเจี่ยงเถิงเห็นสีหน้าที่เบิกบานใจของหลินซือ ก็อดถามด้วยความอยากรู้ไม่ได้

“พี่อาเถิง ระหว่างทางข้าได้พบว่าความจริงแล้วทุกคนล้วนต้องการเครื่องหยกกันทั้งนั้น แต่โดยพื้นฐานย่อมมีคนยากไร้ปะปนอยู่ทั่วทุกหนแห่ง ดังนั้นข้าจึงอยากเปิดเรือนพักผู้ยากไร้ขึ้นที่นี่”

“แม้ว่าภายในเรือนพักผู้ยากไร้จะไม่สามารถมอบเสื้อผ้าอาภรณ์และเสบียงอาหารให้แก่พวกนางได้เพียงพอ แต่ก็พอจะประทังชีวิตพื้นฐานต่อไปได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็กผู้หญิงที่ไร้บ้านเหล่านั้น เรือนพักพิงแห่งนี้มีการเชิญสตรีบางกลุ่มมาช่วยเย็บปักถักร้อยให้กับพวกนางด้วย แบบนี้พวกนางจะได้อาศัยความสามารถของตัวเองมาหาเงิน ในขณะเดียวกันก็ยังสร้างรายได้ให้แก่เรือนพักพิงได้อีกด้วย”

ระหว่างที่หลินซือเดินทาง มีหลายสิ่งหลายอย่างที่ทำลายพื้นฐานด้านความคิดของเธอ

“เช่นนั้นเจ้าวางแผนไว้อย่างไร?”

“ตอนนี้มีแค่ความคิดนี้เท่านั้น ถ้าพวกผู้หญิงที่อาศัยอยู่ในเรือนพักพิงผู้ยากไร้เย็บปักถักร้อยเป็นแล้ว พอจะเลี้ยงตัวเองได้ พวกนางอาจจะออกไปใช้ชีวิตด้วยตัวเอง เพราะถึงอย่างไรเรือนพักพิงผู้ยากไร้ก็เป็นที่อยู่อาศัยเพียงชั่วคราวเท่านั้น”

“แล้วคนอื่นล่ะ? เจ้าจะใช้เงินของตัวเองให้การเลี้ยงดูพวกนางหรือไม่?”

“ไม่หรอก เราจะเปิดร้านเครื่องหยกไม่ใช่หรือ? ก่อนออกเดินทางข้ายังถามพี่ไป๋อยู่เลย พี่ไป๋บอกว่าคนของร้านหยกอวี้ฝูเกือบจะเพียงพอแล้ว แต่ถ้าต่อไปต้องเปิดร้านเครื่องหยกคงจะขาดแคลนกำลังคนแน่นอน”

“แต่คนในเรือนพักพิงผู้ยากไร้ก็มาทำงานในร้านหยกอวี้ฝูได้ เราให้เงินเดือนพวกนางทุกเดือนอยู่แล้ว มันเป็นวิธีที่ดีอย่างหนึ่งไม่ใช่หรือ?”

“แต่ลูกค้าในร้านหยกอวี้ฝูล้วนเป็นตระกูลมั่งคั่ง ถ้าทำตามความคิดของเจ้า คนที่อยู่ในเรือนพักพิงผู้ยากไร้เหล่านั้นต่างต้องเข้าการอบรม ซึ่งค่าใช้จ่ายในส่วนนั้นค่อนข้างสูงมากไม่ใช่หรือ?”

ความคิดของเจี่ยงเถิงถือว่ามีน้ำหนักสำหรับหลินซือ

เขาเข้าใจความคิดของหลินซือ และรู้ว่าหลินซือนั้นเจตนาดี แต่ไม่มีเงื่อนไขใดที่จะสามารถดำเนินการได้อย่างราบรื่นแน่นอน

“ก็ใช่ เช่นนั้นข้าค่อยคิดอีกที”

ครั้นได้ยินคำพูดของพี่อาเถิง หลินซือก็รู้สึกคล้อยตามเหตุผลนี้

แต่เรื่องของเรือนพักพิงผู้ยากไร้ นางจำเป็นต้องทำ มารดาได้บอกกับนางมาตั้งแต่เด็กว่าต้องช่วยเหลือผู้อื่นอย่างสุดความสามารถของตัวเอง โดยไม่หวังให้ผู้อื่นตอบแทน แต่แค่ตัวเองมีจิตสำนึกไม่ละอายแก่ใจก็พอ

“เอาละ เรื่องนี้ไม่ต้องรีบร้อน เจ้าจะร้อนใจไปไย”

“อื้อ พี่อาเถิง ข้าว่าขุนนางฝ่ายเกลือก็ค่อนข้างเข้มงวด แสดงว่าพี่ต้องมีกฎระเบียบเป็นขั้นเป็นตอนใช่หรือไม่?”