บทที่ 598 ไม่รับไว้คือรังแกข้า

ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย

บทที่ 598 ไม่รับไว้คือรังแกข้า

บทที่ 598 ไม่รับไว้คือรังแกข้า

นอกจากพ่อและแม่แล้ว ฉินเย่จือเป็นบุรุษคนแรกที่จูบนาง!

แม้ว่าจะเป็นจูบที่หน้าผากก็ตาม…

เมื่อนางคิดถึงเรื่องนี้ กู้เสี่ยวหวานดูเหมือนจะอายขึ้นมาจริง ๆ นางคว้าผ้าห่มมาคลุมโปงและซ่อนตัวอยู่ในนั้น

ใบหน้าของฉินเย่จือค่อนข้างร้อน แต่ในใจเขาทั้งรู้สึกหงุดหงิดและดีใจเล็กน้อย!

หงุดหงิดที่ตัวเขาเลินเล่อเกินไป นางเป็นแค่เด็กอายุสิบปีเท่านั้น!

ดีใจที่นางไม่มีวี่แววว่าจะโกรธกับการกระทำที่เขาเพิ่งทำลงไป!

ดูเหมือนว่านางจะไม่ผลักไสตน!

ฉินเย่จือมีความสุขมากเมื่อคิดถึงเรื่องนี้

แต่มองขึ้นไปกลับไม่เห็นใคร!

แล้วคนล่ะ? เมื่อมองดูอีกครั้งก็เห็นคนซ่อนตัวอยู่ในผ้าห่มแล้ว นางคลุมผ้าห่มทั้งตัวตั้งแต่หัวจรดเท้า

ลูกแมวตัวนี้พยายามทำให้ตัวเองหายใจไม่ออกงั้นหรือ?

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ฉินเย่จือก็รู้สึกเศร้าอีกครั้ง ซึ่งหลงลืมการกระทำบุ่มบ่ามเมื่อครู่ไปอย่างสิ้นเชิง ดูเหมือนว่าเมื่อเผชิญหน้ากับกู้เสี่ยวหวาน การกระทำของเขาจะไม่เป็นไปตามคำสั่งของสมอง แต่ถูกชักนำโดยหัวใจ!

ฉินเย่จือก้าวไปข้างหน้าและดึงผ้าห่มเบา ๆ เมื่อเห็นกู้เสี่ยวหวานดึงผ้าห่มแน่นไม่ยอมปล่อย ฉินเย่จือที่กลัวว่านางจะหายใจไม่ออกและเขาจะทำร้ายนางโดยใช้แรงมากเกินไปจึงค่อย ๆ ดึงผ้าห่มและพูดเบา ๆ ว่า “หวานเอ๋อร์ อย่าเอาผ้าห่มคลุมหัวเช่นนี้เลย มันจะหายใจไม่ออกนะ!”

กู้เสี่ยวหวานที่ซ่อนตัวอยู่ใต้ผ้าห่ม เมื่อได้ยินสิ่งนี้ นางก็รู้สึกเหมือนกับได้กินน้ำผึ้งไปหนึ่งช้อน รู้สึกหวานไปถึงหัวใจ

แต่จู่ ๆ ก็คล้ายจะนึกอะไรได้ จึงรู้สึกกระอักกระอ่วนเล็กน้อย!

จิตวิญญาณของนางอายุยี่สิบแปดปีแล้ว กลับถูกคำพูดของเด็กหนุ่มอายุสิบหกปีทำให้หวั่นไหว!

อายุแท้จริงของร่างนี้คือสิบปี แต่นางก็หวั่นไหวไปกับกับคำพูดของพี่ชายที่อายุสิบหกปี!

ไม่ว่าอายุฝั่งไหนก็ดูไม่เหมาะสมกับพฤติกรรมของนาง!

กู้เสี่ยวหวานรู้สึกกระอักกระอ่วนอยู่พักหนึ่ง ด้วยรู้สึกว่าในผ้าห่มนั้นร้อนและอบอ้าว ดังนั้นนางจึงลุกขึ้นทันใด ซึ่งการเคลื่อนไหวนั้นเร็วมากจนฉินเย่จือมิอาจหลบเลี่ยงทัน

ยามลุกขึ้น ศีรษะของกู้เสี่ยวหวานพลันชนกับคางของเขาอย่างแรง!

“อัก…” ฉินเย่จืออุทาน ก่อนยกมือปิดคางและขมวดคิ้วเล็กน้อย

กู้เสี่ยวหวานได้ยินเสียง ‘แคร่ก’ ที่ชัดเจนยามศีรษะของนางกระแทกขากรรไกรล่างของเขา

เมื่อเห็นท่าทางเจ็บปวดของฉินเย่จือ กู้เสี่ยวหวานก็เร่งถามอย่างเป็นกังวลว่า “พี่ใหญ่ฉิน ข้าทำให้เจ้าบาดเจ็บหรือ?”

เมื่อเห็นท่าทางร้อนใจของกู้เสี่ยวหวาน ฉินเย่จือก็รู้สึกโล่งอกนัก

แค่กระแทกโดนไม่เจ็บมากนัก แต่ว่าเมื่อมีบางคนรู้สึกสงสารตัวเอง มันจะแตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง!

“อืม เจ็บ มันเจ็บเหมือนจะตายเลย!” ฉินเย่จือกระซิบเบา ๆ

กู้เสี่ยวหวานตกใจและรีบเอื้อมมือออกไปจับ “ให้ข้าดูหน่อย!”

ฉินเย่จือยื่นหน้าของเขาไปหานางอย่างเชื่อฟัง ทางกู้เสี่ยวหวานกลัวเล็กน้อยว่าการกระแทกเมื่อครู่จะกระทบริมฝีปากของอีกฝ่ายจนเลือดไหล!

นางค่อย ๆ บีบกรามล่างของเขาพินิจดูอย่างระมัดระวัง ดวงตาของฉินเย่จือมองเห็นความทุกข์ใจบนใบหน้าของนางได้อย่างชัดเจน

มือเล็ก ๆ นุ่ม ๆ นั้นกำลังจับคางของเขาอยู่ ซึ่งวิธีที่นางพินิจมองอย่างระมัดระวังนั้นก็เหมือนกับการมองดูของรัก!

ดี เจ้าลูกแมวตัวนี้รู้จักเป็นทุกข์เพื่อเขา!

นี่เป็นสัญญาณที่ดี!

ฉินเย่จือรู้สึกตื่นเต้นมาก ซึ่งความเจ็บปวดที่กรามก็ไม่มีความหมายใดสำหรับเขา

ภูมิใจมาก!

น่าเสียดายที่ความภูมิใจเกินไปจะก่อทุกข์

กู้เสี่ยวหวานเห็นเขาจ้องมองมาที่นางอย่างเหม่อลอย หัวใจของนางก็เต้นแรง ซึ่งแรงมือของนางก็เพิ่มขึ้นโดยไม่ตั้งใจ เมื่อนางได้สติก็กลัวว่าจะทำเขาเจ็บ แต่ฉินเย่จือกลับยังเหม่อลอย ดูเหมือนจะไม่รู้สึกเจ็บปวดเลย…

ไม่เจ็บเลย!

มือของกู้เสี่ยวหวานออกแรงหนักขึ้น แต่คนตรงหน้านางก็ยังไม่รู้สึกอะไรเลย!

ออกแรงหนักขึ้นแต่ก็ยังไม่มีอาการ!

“ไม่เจ็บแล้วหรือ?” กู้เสี่ยวหวานออกแรงบีบ และมองไปยังคนหลอกลวงด้วยใบหน้าดุร้าย

ฉินเย่จือรู้ว่าเขาถูกเปิดเผยแล้ว รอยยิ้มจึงหายไปอย่างรวดเร็ว เขาโน้มตัวไปข้างหน้า และพูดด้วยรอยยิ้มที่ประจบเอาใจว่า “ไม่เจ็บแล้ว พอหวานเอ๋อร์สัมผัส มันก็ไม่เจ็บอีกต่อไป!”

เมื่อเห็นฉินเย่จือเข้ามาใกล้ด้วยท่าทางที่ประจบ กู้เสี่ยวหวานก็แค่นเสียงเยาะอย่างเหยียดหยาม “ฮึ่ม…”

เมื่อเห็นว่ากู้เสี่ยวหวานหันหน้าหนีไม่สนใจเขา ฉินเย่จือก็ตื่นตระหนกเล็กน้อย และอธิบายอย่างรวดเร็วว่า “จริง ๆ ตอนนี้ยังเจ็บอยู่ แต่พอหวานเอ๋อร์สัมผัส มันก็ไม่เจ็บแล้ว!”

“ข้าไม่ใช่เด็กสามขวบนะ! เจ้าแค่โกหกข้า!” กู้เสี่ยวหวานพูดด้วยท่าทางขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน

กู้เสี่ยวหวานมีสีหน้าโกรธจัด แต่นางไม่รู้ว่าหัวใจของนางนึกยินดีเล็กน้อย

“หวานเอ๋อร์ อย่าโกรธไปเลย ถ้าเจ้าโกรธ ข้าจะรู้สึกไม่สบายใจกว่าเดิม!” ฉินเย่จือกล่าวด้วยความลำบากใจ

เขาไม่เคยสนใจความรู้สึกของใครมากเท่านี้ นางเป็นคนแรกและคนสุดท้าย

ความสุขและความทุกข์ของนางล้วนสัมผัสหัวใจของเขา

นางชอบ เขาก็ชอบ

นางเศร้า เขาก็เศร้า!

มิอาจแปรผัน!

“เจ้าเป็นอะไรไป?” กู้เสี่ยวหวานแสร้งทำเป็นงงงวยและใช้น้ำเสียงของสตรีถามบุรุษ

“ประการแรก หากเจ้าไม่รับกริชที่ข้าให้เจ้า ข้าก็มิอาจมอบอะไรให้เจ้าอีก ประการที่สอง เจ้าทำร้ายข้าและยังบอกว่าข้าเสแสร้ง! ถูกเจ้ารังแกถึงสองครั้ง เจ้าคิดว่าข้าไม่เสียใจหรือ!” ดูเหมือนว่าฉินเย่จือรู้สึกอึดอัดเมื่อพูดถึงสิ่งเหล่านี้ เขาก้มศีรษะลงและดูหดหู่เล็กน้อย

“เจ้า…” กู้เสี่ยวหวาน พูดไม่ออกเมื่อได้ยิน อ้าใช่!

“กริชนั่น ข้ารับไว้ไม่ได้จริง ๆ มันเป็นของเจ้า และพ่อของเจ้าก็มอบมันให้กับเจ้า ข้าจะแย่งกริชที่เป็นของรักของเจ้าไปได้อย่างไร!” กู้เสี่ยวหวานพูดอย่างเคร่งขรึม!

เมื่อเห็นว่ากู้เสี่ยวหวานปฏิเสธตนด้วยเหตุผลนี้ ฉินเย่จือก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก หากเป็นเหตุผลนี้ เขาอาจจะรับมือได้ง่ายขึ้น

เขารีบหยิบกริชออกจากแขนและส่งให้กู้เสี่ยวหวาน พร้อมกล่าวว่า “เจ้าเก็บกริชนี้ไว้ ถ้าเจ้าไม่รับไว้ ถือว่าเจ้าจะรังแกข้า!”

“ข้าได้ไปรังแกเจ้าเมื่อใดกัน?”

“รังแกสิ…” ฉินเย่จือดูเหมือนจะเป็นอันธพาล ขณะมองสบตาของกู้เสี่ยวหวาน และปล่อยรัศมืดมนออกมา

ช่างเป็นเรื่องตลกยิ่งนัก ฉินเย่จือไม่เคยให้ของอะไรใครมาก่อน ในที่สุดเขาก็พบคนที่จะมอบบางสิ่งให้ แต่เขากลับถูกปฏิเสธเป็นครั้งที่สอง!

เช่นนี้เขาจะส่งภูเขาสมบัติออกไปได้อย่างไร?

………………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

ฉินเย่จือต้องรู้สึกโกรธแน่ ๆ ถ้ากู้เสี่ยวหวานไม่รับกริชนี้ไว้

ไหหม่า(海馬)