ตอนที่ 180-1 ข่มขู่
“บ่าวเองเจ้าค่ะ!”
ปี้เอ๋อร์กัดฟันคุกเข่าลง “เมื่อวานบ่าวเห็นคุณชายสามท่านน่ารัก จึงเอาเนื้อแดดเดียวให้คุณชายสามชิ้นหนึ่ง ขอเหล่าฮูหยินโปรดลงโทษด้วย!”
เฉียวเวยดึงนางให้ลุกขึ้น “ข้าเป็นคนทำ เหตุใดเจ้าถึงต้องรับผิดแทนข้าด้วย ใครทำคนนั้นรับ พวกท่านอยากลงโทษก็ลงโทษข้าเถอะ ไม่เกี่ยวกับผู้อื่น!”
นางเอ่ยด้วยความเด็ดเดี่ยว ดูไม่นึกกลัวสักนิด ทุกคนเดาไม่ถูกว่านางไม่กลัวกฎเกณฑ์บ้านตระกูลจีจริงๆ หรือยังไม่รู้ว่าบ้านตระกูลจีมีกฎเกณฑ์เช่นไรกันแน่
บรรยากาศพลันอึดอัดขึ้นเล็กน้อย
สีหน้าจีเหล่าฮูหยินดูซับซ้อน “เหตุใดเจ้าถึงอยากให้หลิวเกอร์กินเนื้อแดดเดียว”
เฉียวเวยเอ่ยด้วยความไม่รู้ว่า “เวลานั้นในมือข้ามีแต่เนื้อแดดเดียว ข้าไม่รู้ว่าเขากินไม่ได้ ที่หมู่บ้านข้าเด็กที่อายุเท่าหลิวเกอร์กินต้นหญ้า กินเปลือกไม้ กินเนื้อเย็นกันได้หมดแล้ว เมื่อปีที่แล้วข้าล้มป่วย ไม่ได้สติไปหลายวัน จิ่งอวิ๋นกับวั่งซูหาอะไรกินเองกันไปทั่ว หมั่นโถวที่เย็นชืด แครอท เนื้อติดมัน อะไรที่กินได้พวกเขาก็กินทั้งสิ้น พอกระหายน้ำก็เอาหิมะยัดเข้าปาก ก็ไม่เห็นว่าท้องไส้จะเป็นอะไร ข้าเลยคิดว่าเด็กทุกคนจะเป็นเช่นเดียวกัน”
เหล่าฮูหยินได้ยินว่าหลานของตนมีชีวิตที่ลำบากเช่นนี้ ในใจก็ปวดแปลบขึ้นมาทันที เด็กในบ้านตระกูลใหญ่มีคนใดบ้างไม่มีสาวใช้บ่าวไพร่คอยประคบประหงม อมอยู่ในปากก็กลัวละลาย ถืออยู่ในมือก็กลัวหล่น จะทำใจให้ได้รับความลำบากสักนิดได้อย่างไร แต่หลานตัวน้อยทั้งสองผู้แสนอาภัพของนาง ถึงกับไม่มีมารดาคอยดูแล ต้องวิ่งออกไปหาอะไรกินเองข้างนอก ซ้ำยังต้องกินน้ำหิมะที่เย็นยะเยือก…แค่นางคิดภาพว่าเด็กร่างน้อยสองคนต้องคุกเข่ากับพื้นกอบหิมะขึ้นมากิน ใจนางก็เจ็บปวดยิ่งนัก ซ้ำร้ายยังไม่ใช่เพียงวันเดียว แต่ยังหลายวันอีกด้วย แล้วพวกเขาหลับนอนกันอย่างไร ใครเป็นคนห่มผ้าห่มให้ ตกดึกจะสะดุ้งตื่นเพราะความหนาวหรือไม่ หากไม่มีอะไรให้กินก็ต้องปล่อยให้ท้องหิวใช่หรือไม่
เหล่าฮูหยินเอาเด็กทั้งสองเข้ามากอด รูปร่างของพวกเขาในเวลานี้ย่อมมองไม่ออกว่าเคยต้องทนกับความหิวโหยความหนาวเหน็บ แต่เหล่าฮูหยินก็ยังถามด้วยความสงสารว่า “ลำบากมามากสินะ”
เด็กน้อยมีหรือจะเข้าใจว่าอะไรเรียกว่าลำบาก วั่งซูเอียงศีรษะคิดแล้วตอบกว่า “ต้นหญ้าก็ขมมากอยู่เจ้าค่ะ” พี่เอ้อร์โก่วเคยเอาไปให้นางชิมที่สถานศึกษา ขมแทบตายทีเดียว!
ยังเคยกินต้นหญ้าเสียด้วย ในใจเหล่าฮูหยินมีแต่ความเจ็บปวด แทบอยากจะหักอายุขัยของตนมาคืนช่วงเวลาหลายปีนั้นให้กับหลานตัวน้อย
จิ่งอวิ๋นบอกว่า “ท่านย่าทวดท่านโกรธท่านแม่หรือ เหตุใดเขากินแล้วท้องไม่ดีถึงเป็นความผิดท่านแม่ข้าได้ ท่านย่าทวด ท่านกินเนื้อแดดเดียวก็ท้องไม่ดีเช่นกันหรือ หากทุกคนกินแล้วไม่เป็นอะไร มีเขาคนเดียวที่กินแล้วท้องไม่ดี นั่นไม่ใช่ว่าปัญหาอยู่ที่เขาคนเดียวหรอกหรือ”
หญิงรับใช้สูงวัยในอาภรณ์ที่น้ำตาลไหม้เอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “คุณชายน้อย ท่านอาจจะไม่รู้ว่าท้องหลิวเกอร์อ่อนแอกว่าคนทั่วไป เขากินอาหารเหมือนคนทั่วไปไม่ได้”
นี่คือกำลังกล่าวโทษเฉียวเวยสินะ
จีหมิงซิวหันไปมองอีกฝ่ายด้วยสีหน้าราบเรียบ “บุตรชายข้ากำลังพูดอยู่ ใช่เวลาที่เจ้าจะสอดปากตั้งแต่เมื่อไร” หญิงรับใช้สูงวัยพลันสะอึก
สตรีที่เป็นมารดาของหลิวเกอร์เอ่ยอย่างใจกว้างว่า “ไม่ได้หนักหนาอะไร พักผ่อนไม่กี่วันก็หายแล้ว”
เฉียวเวยคิดในใจว่า แม่เลี้ยงสาวผู้นี้ตั้งใจหรือไม่ได้ตั้งใจกันแน่ มามาที่แซ่ซุนผู้นั้นไม่อยู่ คงจะไปดูแลหลิวเกอร์อยู่กระมัง นางได้บอกแม่เลี้ยงสาวหรือไม่ว่าคนที่ให้หลิวเกอร์กินเนื้อแดดเดียวคือนางเอง
จีเหล่าฮูหยินพูดกับเฉียวเวยว่า “เรื่องนี้จะโทษเจ้าไม่ได้” ก่อนจะหันไปหาจีซั่งชิงกับหญิงสาว “ข้าบอกพวกเจ้าแต่แรกแล้วว่าเด็กจะเลี้ยงดูให้อ่อนแอนักไม่ได้ นั่นก็กินไม่ได้ นี่ก็กินไม่ได้ กลับยิ่งทำให้ร่างกายอ่อนแอ บอกว่าเขาเป็นคุณชายตระกูลจีของเรา เลี้ยงดูด้วยรังนกเอยโสมป่าเอย แต่กลับไม่เห็นแข็งแรงสักนิด! เจ้าดูจิ่งอวิ๋น…”
จีเหล่าฮูหยินพูดพลางสายตากวาดไปเห็นท่อนแขนเรียวเล็กของจิ่งอวิ๋น ที่พูดอยู่จึงชะงักไป หันไปจับศีรษะวั่งซู “น้องสาวเขากำยำเพียงใด!”
เฉียวเวย: ใช้คำว่ากำยำมาอธิบายเด็กหญิงคนหนึ่ง ไม่เป็นอะไรจริงๆ หรือ…
จีซั่งชิงค้อมตัวลงเล็กน้อย “ขอรับ ลูกจดจำไว้แล้ว”
สตรีนางนั้นก็ค้อมตัวเล็กน้อย “ลูกจะจดจำที่ท่านแม่สั่งสอน”
เมื่อเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น จึงทำให้บรรยากาศดูน่าอึดอัด
หรงมามายิ้มพลางพูดให้ทุกอย่างคลี่คลาย “มาๆๆ คารวะน้ำชา คารวะน้ำชา แม่สามียังไม่ได้ดื่มชาจากลูกสะใภ้เลย!”
เฉียวเวยเริ่มรู้สึกไม่อยากคุกเข่าขึ้นมาตะหงิดๆ จะคารวะแม่เลี้ยงสาวผู้นี้ที นางเกือบถูกเหล่าฮูหยินด่าว่าเสียแล้ว ถึงแม้แม่เลี้ยงสาวอาจจะไม่ได้ตั้งใจก็เถอะ แต่ขอโทษด้วย นางไม่พอใจแล้ว ในใจนางคิดไม่ดีเสียแล้ว นางเห็นใครก็เป็นปีศาจไปหมด แม่เลี้ยงสาวหน้าตาเรียบเฉยสบายๆ คล้ายไม่สนใจ แต่ในสายตานางกลับคล้ายว่า “ต่อให้เจ้าชนะข้า แต่เจ้าก็ยังต้องคุกเขาให้ข้าอยู่ดี” ความรู้สึกเช่นนี้ช่างไม่น่าอภิรมย์เอาเสียเลย!
หรงมามาเอาที่รองนั่งวางลงเรียบร้อยแล้ว ก็เอ่ยยิ้มๆ ว่า “ฮูหยินน้อย เชิญเถอะ”
“เชิญอะไร” จู่ๆ จีหมิงซิวก็เอ่ยปากขึ้น
หรงมามาอึ้งไป “ก็ ก็คารวะน้ำชาให้ฮูหยินอย่างไรเจ้าคะ”
จีหมิงซิวเอ่ยเรียบๆ ว่า “ท่านแม่ข้าไม่อยู่แล้ว เจ้าให้นางคารวะใครกัน นางแทนที่ท่านแม่ข้าได้หรือ แทนที่องค์หญิงแห่งต้าเหลียงได้หรือ”
ฐานะของภรรยาที่แต่งงานเข้ามาทีหลังอย่างไรก็เทียบกับภรรยาแรกไม่ได้ หากเป็นที่โปรดปราน ยามอยู่บ้านสามีจะได้รับการปฏิบัติเยี่ยงภรรยาคนแรก แม่เลี้ยงสาวผู้นี้เห็นได้ชัดว่าเป็นที่โปรดปรานมาก แต่ต่อให้เป็นที่โปรดปรานเพียงใด ก็ไม่อาจเอามาเอ่ยเทียบกับองค์หญิงแห่งแคว้นได้ นอกเสียจากว่าตัวนางก็เป็นองค์หญิงเช่นกัน
แต่นางใช่หรือ
นางไม่ใช่
หากเป็นตระกูลอื่น ย่อมไม่มีใครกล้าฉีกหน้าแม่เลี้ยงเช่นนี้
ถึงอย่างไรการที่นางได้นั่งอยู่ที่นี่ อันดับแรกคือต้องได้รับการยอมรับจากนายท่าน เมื่อแม้แต่นายท่านยังเห็นด้วยแล้ว คนเป็นบุตรยังจะพูดอะไรได้อีก
น่าเสียดายก็เพียงบุตรชายของเขาผู้นี้ ไม่ค่อยให้เกียรติผู้เป็นนายท่านสักเท่าไร
เฉียวเวยหันไปมองจีหมิงซิว รู้สึกเป็นห่วงใน “ความพยศ” ของเขาเล็กน้อย
แต่จีหมิงซิวกลับดูไม่เป็นกังวลเลยสักนิด: ท่านแม่ข้าคือองค์หญิง
เชื้อพระวงศ์รุ่นที่สองก็เอาแต่ใจเช่นนี้เอง!
จีซั่งชิงมองจีหมิงซิวด้วยสายตาดุดัน จีหมิงซิวปล่อยให้อีกฝ่ายมองโดยไม่มีหลบเลี่ยงสักนิด เมื่อสายตาปะทะกัน ในอากาศก็คล้ายมีบรรยากาศแปลกๆ ค่อยๆ กระจายตัวออกมา
พ่อลูกตระกูลจีไม่ลงรอยกัน ในเมืองหลวงไม่ถือเป็นความลับอะไรมานานแล้ว เดิมทีจีซั่งชิงเป็นขุนนางอยู่ในสำนักปกครองดีๆ ก็ถูกบุตรชายจัดการจนต้องลงจากตำแหน่ง แน่นอนว่าเรื่องนี้เป็นเพียงข่าวลือ แต่การที่มีคนพูดกันออกไปเช่นนี้ ก็อธิบายได้ด้วยตัวเองว่าพ่อลูกตระกูลจีมีสัมพันธ์ต่อกันที่ไม่ดีเอาเสียเลย
เมื่อเห็นว่าพ่อลูกสองคนใกล้จะทะเลาะกันเต็มที จีเหล่าฮูหยินจึงเอ่ยไกล่เกลี่ยว่า “เสี่ยวเวยมานี่ มาพบอารองกับอาสะใภ้ของเจ้า!”
สายตาของจีซั่งชิงพลันบึ้งตึง
หรงมามาพาเฉียวเวยเดินไปยังเก้าอี้ตัวแรกฝั่งซ้ายมือ แล้วแนะนำญาติผู้ใหญ่ในตระกูลจีให้นางรู้จักทีละคน
“นี่คือนายท่านรอง ฮูหยินรอง”
นายท่านรองจีเซิ่งเป็นบุรุษที่ดูสุภาพอย่างบัณฑิต ใบหน้ามีเมตตา ยิ้มแย้ม แค่ดูก็รู้ว่าคบหาได้ง่าย เขาเป็นบุตรที่เกิดจากอนุ มารดาผู้ให้กำเนิดเสียชีวิตไปแล้ว ฮูหยินของเขาแซ่หลี่ เป็นบุตรสาวสายหลักของตระกูลใหญ่ ในต้าเหลียง สายหลักกับสายรองต่างกันมากนัก แต่ต่อให้เป็นเช่นนั้น บุตรสายรองตระกูลจีก็ยังคงเป็นที่สนใจของตระกูลใหญ่ไม่น้อย
ฮูหยินรองดูเฉยชาอยู่เล็กน้อย แค่ยิ้มเพียงบางๆ
ทั้งสองให้ซองแดงกับเฉียวเวย
เฉียวเวยรับไปก่อนจะเอ่ยขอบคุณด้วยความเกรงใจ
หรงมามาพาเฉียวเวยเดินไปยังเก้าอี้ตัวแรกทางด้านขวา นางชี้ไปยังสตรีผู้งดงามให้อาภรณ์สีม่วงกับบุรุษคนหนึ่งในอาภรณ์ผ้าไหมสีน้ำตาล “นี่คือคุณหนูสี่ นี่คือท่านเขย”
สตรีที่งดงามผู้นี้ คิดดูแล้วคงเป็นจีซวง รูปโฉมของจีซวงด้อยกว่าจีหว่านอยู่เล็กน้อย แต่กลับงดงามน่าจับตาจับใจ
จีซวงดึงมือเฉียวเวยไปจับอย่างเป็นกันเอง “หลานสะใภ้คนดี ในที่สุดข้าก็รอจนได้เจอเจ้าเสียที! เจ้าไม่รู้หรอกว่าข้ารอให้เจ้าเด็กนี่แต่งงานมานานแค่ไหน รอจนลูกตาจะหลุดออกมาอยู่แล้ว! ตอนได้ยินท่านย่าเจ้าบอกว่าสตรีของเขาผู้นั้นมีกระทั่งบุตรแล้ว ข้าแทบอยากจะแย่งพวกเจ้ามาทั้งหมดเลยด้วยซ้ำ! เดิมทีท่านโหราจารย์กำหนดวันให้เจ้าที่เดือนสิบสอง ข้าทะเลาะกับพวกเขาแทบแย่! ข้าบอกว่าสี่คนพ่อแม่ลูกจะได้อยู่กันพร้อมหน้า พวกเจ้ายังจะไม่ให้อีกหรือ พวกเขาเลยเปลี่ยนฤกษ์ให้”
เฉียวเวยยิ้มแต่ปาก เป็นท่านที่ “ใจร้อน” เช่นนี้เองหรือ ข้าก็ว่าอยู่ว่าเหตุใดฤกษ์แต่งงานถึงได้เร็วเพียงนี้!
ท่านอาอะไรนี่ไม่น่ารักเอาเสียเลย!
จีซวงเป็นท่านอาสายหลักแท้ๆ ของจีหมิงซิว อันที่จริงเรื่องความสำคัญ เรือนรองไม่อาจเทียบได้ นางให้ซองแดงหนักๆ แก่เฉียวเวย ก่อนจะลอบยัดซองเล็กๆ ให้เฉียวเวยอีกซองหนึ่ง
อาเขยฉินปิงอวี่มีชาติกำเนิดไม่สูงนัก แต่กลับมีการศึกษาดี เขาเป็นอาจารย์ชั่วคราวอยู่ในหลงตี้มาสิบเอ็ดปี ไม่รู้เหตุใดถึงไม่ได้เข้าเป็นขุนนางในราชสำนัก หน้าตาเขาดูเป็นคนมีความรู้ ท่าทางนิสัยดี ทั้งยังคล้ายว่าจะ…ขี้อายอยู่เล็กน้อย
จีซวงเอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “ไม่ต้องสนใจ อาเขยเจ้าเป็นคนพูดไม่เก่ง! แต่เขาเป็นมิตรที่สุดแล้ว เจ้ามีเวลาอย่าลืมมานั่งเล่นที่จวนเหนือนะ!”
เฉียวเวยเอ่ยด้วยความเกรงใจว่า “ข้าไปแน่เจ้าค่ะ ขอบคุณท่านอา ขอบคุณท่านอาเขย”
หลังจากเฉียวเวยพบญาติผู้ใหญ่เสร็จ สาวใช้กับหญิงรับใช้อาวุโสก็เดินนำหญิงสาวที่รูปโฉมงดงามเข้ามาคารวะเฉียวเวย คนหนึ่งเป็นบุตรสาวของจีซวง นามจีหว่านอวี๋ อายุสิบสี่ปี อีกคนนั้นเป็นบุตรสาวของนายท่านรอง นามจีหรูเย่ว์ อายุสิบห้าปี
ฟังจากชื่อก็รู้แล้วว่าฐานะใครสูงต่ำอย่างไร
หว่านอวี๋เป็นบุตรสาวสายหลัก หรูเย่ว์เป็นบุตรสาวสายรอง
จีซวงยังตั้งครรภ์บุตรอีกคนหนึ่งอยู่ในท้อง ประมาณห้าเดือนได้แล้ว ท่านหมอบอกว่าเป็นบุตรชายเสียด้วย
หลังจากนั้น เหล่าฮูหยินก็ให้จิ่งอวิ๋นกับวั่งซูเรียกขานผู้ใหญ่ ถึงแม้จะได้พบกันตั้งแต่เมื่อวานแล้ว แต่เมื่อวานไม่มีซองแดง มาเรียกขานวันนี้มีซองแดงให้
เมื่อเรียกจนครบทุกคน ถุงเงินของเจ้าสองซาลาเปาน้อยก็ยัดจนแน่นเอี๊ยดไปหมด
บรรยากาศนับว่าผ่อนคลายลงไม่น้อย หลังจากนั้นจีซวงก็เป็นหัวหอกดึงเจ้าซาลาเปาน้อยทั้งสองไปหยอกล้อเต็มที่ ยั่วจนคนทั้งห้องหัวเราะลั่นกันไปหมด ช่วงเวลาในยามเช้าจึงผ่านไปเช่นนี้