บทที่ 655 เมล็ดพันธุ์แห่งความสงสัย

องค์หญิงอันเยว่เข้าไปในท้องพระโรง ฮ่องเต้ประทับนั่งอยู่บนบัลลังก์ทรงเหนื่อยล้ามาก แต่ก็ยังมององค์หญิงอันเยว่ด้วยสีหน้าอ่อนโยน

“เป็นอะไรไป? สกุลหลูทำไม่ดีกับเจ้าหรือ?” แม้นางจะไม่ใช่พระขนิษฐาแท้ๆ ของฮ่องเต้ และไม่ได้ทรงสนิทสนมกับนางมากนัก แต่ก็ใช่จะห่างเหินกันเกินไป ในช่วงวันเทศกาล ฮ่องเต้ยังทรงระลึกถึงองค์หญิงอันเยว่ผู้นี้และทรงพระราชทานข้าวของบางอย่างให้นางเสมอ

“เสด็จพี่ ได้ทรงโปรดช่วยเสวี่ยนเอ๋อร์ด้วยเพคะ” องค์หญิงอันเยว่ร้องทุกข์ นางคุกเข่าเล่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นให้เขาฟัง

“เสด็จพี่ เสวี่ยนเอ๋อร์ทำเรื่องแบบนั้นเพราะเขาโกรธ เลยจะคิดอยากจะสั่งสอนทาสเท่านั้น ใครเลยจะคิดว่าสกุลอู่จะร้องเรียนเรื่องนี้กับทางการจริงๆ ซ้ำยังถูกจำคุกตั้งปีครึ่ง เขาจะทนได้อย่างไร ร่างกายเสวี่ยนเอ๋อร์เองก็อ่อนแอถึงเพียงนั้น”

“ทาสคนนั้นยังไม่สิ้นใจตายนะเพคะ ยุติธรรมแล้วหรือที่เสวี่ยนเอ๋อร์จะต้องได้รับโทษถึงเพียงนี้ ชีวิตของเสวี่ยนเอ๋อร์บุตรชายข้าไม่สำคัญเท่าทาสคนนั้นเลยหรือ?”

“เสวี่ยนเอ๋อร์..ถึงกับเลือดท่วมไปทั้งตัว เขาโดนบุตรสาวของสกุลอู่ทุบตีแล้วยังต้องโดนโบยลงโทษอีกยี่สิบไม้ หม่อมฉันวิงวอนขอความเมตตาจากฝ่าบาท ช่วยเสวี่ยนเอ๋อร์ด้วยเพคะ”

องค์หญิงอันเยว่นัยน์ตาแดงก่ำตลอดเวลาที่กราบทูล นางอดไม่ได้ที่จะพูดถึงถังหลี่ในแง่ร้าย

“หม่อมฉันคิดว่าฮูหยินอู่ไม่ได้ทวงคืนความยุติธรรมให้ทาสจริงๆ แต่นางใช้โอกาสนี้พุ่งเป้ามาที่สกุลหลู หม่อมฉันไม่รู้ว่าสกุลหลูไปทำอะไรให้นางโกรธเคืองกัน”

“ฮูหยินอู่เป็นบุตรสาวของแม่ทัพกู้ เป็นน้องสาวของผู้พิพากษาศาลต้าหลี่ ซ้ำยังเป็นฮูหยินของเจ้ากรมอาญา แม้ว่าหม่อมฉันจะมีสถานะเป็นองค์หญิงแต่กลับไร้ความหมายเมื่ออยู่ต่อหน้านาง” ฮ่องเต้ได้ฟังองค์หญิงอันเยว่พูดทันใดนั้นพระองค์ตรัสขึ้นว่า

“คดีนี้ได้รับการตัดสินโดยผู้พิพากษาศาลต้าหลี่หรือ?”

“เป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงของศาลต้าหลี่เพคะ….แต่อย่างไรเสียเขาก็ต้องฟังคำสั่งของผู้พิพากษาศาลต้าหลี่มิใช่หรือ?” องค์หญิงอันเยว่ย้อนถาม

“ข้าจะส่งคนไปตรวจสอบเพื่อดูว่าคดีนี้เป็นไปตามกฎหมายของต้าโจวหรือไม่”

แทนที่พระองค์จะทรงกังวลกับหลานชายที่ไม่เคยได้พบหน้า แต่ฝ่าบาทกลับข้องพระทัยในการใช้อำนาจของผู้พิพากษาศาลต้าหลี่เสียมากกว่า

ฝ่าบาททรงชังในเรื่องการเล่นพรรคเล่นพวกเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวเป็นที่สุด โดยเฉพาะตระกูลกู้ที่ทรงอำนาจและสกุลอู่…

องค์หญิงอันเยว่ต้องการที่จะพูดต่อแต่ฮ่องเต้ทรงห้ามนางเอาไว้

“อันเยว่ ทุกอย่างต้องเป็นไปตามกฎหมายของต้าโจว ไม่มีการเล่นพรรคเล่นพวก แม้แต่ผู้ที่เป็นราชนิกุลเองก็เช่นกัน”

อันเยว่ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากถอยกลับไป ฮ่องเต้ส่งคนไปตรวจสอบเรื่องนี้

วันรุ่งขึ้นหลังจากเสร็จราชกิจตอนช่วงเช้า คนที่ส่งไปสืบก็กลับมาถวายรายงาน นายท่านหลูเกอเองก็มาถึงแล้วเช่นกัน ฮ่องเต้ทรงไม่ปล่อยผ่าน พระองค์ให้คนสืบข่าวถวายรายงานเรื่องนี้ต่อหน้าหลูเกอ

คดีของหลูเสวี่ยนนั้นได้รับการตัดสินภายใต้กฎหมายของต้าโจวอย่างแท้จริง ไม่มีการเอียงเอนใดๆ เพื่อแก้แค้นต่อหน้าสาธารณะอย่างที่องค์หญิงอันเยว่เข้าใจ สีพระพักตร์ของฮ่องเต้โจวดีขึ้น เมื่อผู้สืบข่าวล่าถอยออกไป หลูเกอรู้ดีว่าตอนนี้เขาควรจะแสดงจุดยืนของตน

“ภายใต้การควบคุมดูแลของใต้เท้ากู้ ศาลต้าหลี่ได้ตัดสินคดีเป็นไปอย่างบริสุทธิ์ยุติธรรมแล้ว ส่วนเรื่องของหลูเสวี่ยนเป็นความผิดของตระกูลหลูที่ไม่ได้อบรมสั่งสอนเขาให้ดี ตอนนี้เขาได้รับโทษที่สมควรได้รับแล้วพะย่ะค่ะ”

ฮ่องเต้ทรงพอพระทัยกับความคิดของหลูเกอมาก

“เมื่อวานอันเยว่มาหาข้าบอกว่าฮูหยินอู่ใช้อำนาจหนุนหลังมากมายทำให้นางไม่กล้าทำอะไร” ฮ่องเต้ทรงตรัสขึ้นมา ดวงตาของหลูเกอฉายแววบางอย่างเขาเอ่ยทูลอย่างมีลับลมคมใน

“สกุลอู่ไม่เพียงแต่ไม่มีใครกล้ารุกรานซ้ำยังมีคนอีกมากมายต้องการผูกมิตรแสวงไมตรีกับพวกเขาด้วยพะย่ะค่ะ”ภาพลักษณ์ของหลูเกอเป็นคนดี ทำให้คำพูดของเขาค่อนข้างมีน้ำหนักน่าเชื่อถือ

เรื่องต้องห้ามและเป็นที่กังวลพระทัยมากที่สุดของฮ่องเต้โจวคือการก่อกบฏ สกุลอู่และสกุลกู้เจริญรุ่งเรืองมากก็จริง แต่ก็อยู่ในจุดสูงสุดที่เหน็บหนาวมากเช่นกัน หากขึ้นสูงมากไปกว่านี้ พวกเขาอาจจะต้องพังทลายลงมา โดนทุบเป็นชิ้นๆ เข้าสักวันเป็นแน่ ทั้งสองตระกูลจึงไม่หวาดหวั่นหากมีผู้ใดต้องการเหยียบย่ำเขา แต่เขาย่อมหวาดกลัวเมื่อได้รับการสรรเสริญเยินยอมากเกินไป

เมื่อฮ่องเต้โจวทรงไต่ถามด้วยความวิตกกังวล นั่นย่อมแสดงว่าในพระทัยของฝ่าบาทได้มีเมล็ดพันธ์แห่งความกลัวอยู่ในส่วนลึกของพระทัยแล้ว อาศัยเพียงคำพูดเล็กน้อยของหลูเกอที่รินรดลงไปเท่านั้น ตอนนี้ก็ได้แต่รอวันที่จะแตกหน่อโผล่ขึ้นมาบนพื้นดิน

……

แม้ว่าองค์หญิงอันเยว่จะวิงวอนขอร้องต่อฮ่องเต้อย่างไร ทว่าโทษของหลูเสวี่ยนก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลง นางไม่มีทางเลือกนอกจากใช้เงินจำนวนมากเพื่อทำให้ลูกชายมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นในคุก

เมื่อซานเป่าเล่าให้หวังหยูฟังว่า หลูเสวี่ยนถูกตัดสินให้จำคุกหนึ่งปีครึ่ง เด็กหนุ่มประหลาดใจ

“ท่านแม่ไปร้องเรียนที่ศาลต้าหลี่ เขาสมควรแล้วที่จะได้รับโทษทัณฑ์เช่นนั้น

“ในความคิดของข้า โทษนี้ช่างเล็กน้อย ทั้งๆ ที่เจ้าบาดเจ็บมากถึงเพียงนี้ แต่เขาถูกจำคุกเพียงหนึ่งปีครึ่งเท่านั้น เขาสมควรโดนโบยสักร้อยแปดสิบไม้ ติดคุกไปอีกสักห้าหกปีถึงจะสาสม!” ซานเป่าตะโกน

ตอนนี้ซานเป่าได้ศึกษากฎหมายของต้าโจวว่าด้วยเรื่องของความแตกต่างของพลเมืองในระดับสาม หก และเก้าอย่างถ่องแท้ หากเรื่องนี้ถูกสลับเปลี่ยนเป็นหวังหยูที่มีสถานะเป็นทาสได้กระทำการอุกอาจกับหลู่เสวี่ยนตามกฎหมายต้าโจวแล้วหลู่เสวี่ยนจะโดนประหารชีวิตทันที

ท่านแม่พูดกับนางว่า เป็นเรื่องยากที่จะเปลี่ยนแปลงในยุคสมัยนี้ ทำให้ซานเป่ารู้ว่ามีหลายสิ่งหลายอย่างที่แม้กระทั่งมารดาของนางก็ไม่มีอำนาจที่จะทำได้

หวังหยูประหลาดใจเมื่อรับรู้เรื่องที่หลูเสวี่ยนถูกลงโทษเพราะทำร้ายร่างกายเขา นี่เป็นเรื่องที่เขาไม่กล้าคิดถึงมาก่อน ชีวิตของเขาที่เหมือนมดตัวหนึ่ง จะมีคนโดนลงโทษเพราะเหยียบมดได้อย่างไร?

เรื่องนี้ทำให้เขาได้ตระหนักรู้ว่าตนเป็นมนุษย์เช่นเดียวกับผู้อื่น

เจ้านายและฮูหยินเป็นคนที่เข้ามาปกป้องและทวงคืนให้กับหวังหยู ดวงตากลมโตของหวังหยูมองซานเป่า

“เจ้านายและฮูหยิน พวกท่านใจดีกับข้ามาก”

ตอนนั้นเป็นเวลาที่พระอาทิตย์กำลังจะตกพอดี หวังหยูนั่งอยู่ในสนามหญ้า ทำให้แสงแดดส่องลงมาที่ผมของเขาเป็นประกายสว่างเจิดจ้า ดวงตาฉ่ำน้ำที่เด็กหนุ่มมองไปยังซานเป่าราวกับสุนัขตัวใหญ่ นางคิดในใจว่าเขาน่ารักมากจนอดไม่ได้ที่จะยื่นมือไปลูบศีรษะของเขา

แต่แล้วซานเป่ากลับฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าหวังหยูเป็นผู้ชายคงไม่เหมาะที่นางจะลูบศีรษะเขาเช่นนี้ ในขณะที่นางกำลังจะดึงมือกลับ ซานเป่ากลับรู้สึกว่าหวังหยูเอาศีรษะของตนเองถูไถเข้ากับฝ่ามือของซานเป่า เขาเงยหน้าขึ้นแล้วยิ้มให้อย่างไร้เดียงสา

วันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว

ใบไม้เหลืองเริ่มร่วงหล่นลงตามพื้น อากาศค่อนข้างหนาวเย็นมากขึ้น บ่งบอกถึงว่าใกล้ช่วงฤดูใบไม้ร่วงแล้ว ฤดูกาลนี้มีวันสำคัญของสกุลอู่อยู่ นั่นคือวันเกิดของเด็กแฝดทั้งคู่ ถังเป่าและมู่เป่าเกิดเมื่อฤดูใบไม้ร่วงของปีที่แล้ว ตอนนี้เขามีอายุได้ครบขวบพอดี

แน่นอนว่าต้องจัดงานวันเกิดที่ดีให้พวกเขา งานเลี้ยงวันเกิดครบรอบขวบปีไม่จำเป็นต้องเป็นงานเลี้ยงใหญ่โตอะไร มีแค่เพียงคนคุ้นเคยเท่านั้นที่จะได้รับเชิญ ทุกอย่างได้จัดเตรียมอย่างพิถีพิถันโดยถังหลี่เอง

พริบตาเดียวก็ถึงหนึ่งวันก่อนวันเกิด

ณ กรมอาญา

เว่ยฉิงเรียกผู้ใต้บังคับบัญชาที่มีความสามารถเข้าไปในห้อง

“พรุ่งนี้ข้าจะหยุดงาน”

เว่ยฉิงประกาศ

“ขอรับ หากมีเรื่องเร่งด่วนเกิดขึ้นข้าจะส่งคนไปบอกข่าวที่จวนอู่โหวเองขอรับใต้เท้า” พวกเขาพูดด้วยรอยยิ้ม

“ถ้าไม่มีเรื่องร้อนใจ พวกเจ้าไม่ต้องมาหาข้า”

เว่ยฉิงว่า ใต้เท้าอู่ปฏิบัติราชการมาด้วยความซื่อสัตย์ตลอด มีเพียงสิ่งเดียวที่สำคัญเหนืออื่นใด นั่นคือภรรยาของเขา เมื่อเห็นสีหน้าอ่อนโยนของใต้เท้าอู่ พวกเขาก็เข้าใจในทันที

“ใต้เท้าต้องอยู่กับฮูหยิน พวกข้าเข้าใจขอรับ”

“พรุ่งนี้เป็นวันเกิดของลูกแฝดชายหญิงของข้า”

“ขอแสดงความยินดีด้วยขอรับ”

“เป็นเรื่องดียิ่ง”

“ใต้เท้าอยู่จวนกับฮูหยินและนายน้อยเถิดขอรับ ต่อให้ฟ้าถล่มทลายลงมา พวกข้าจะแบกรับเอาไว้เอง”

พวกเขาพูดอย่างความครื้นเครง เว่ยฉิงออกจากกรมอาญาไปท่ามกลางความยินดีของทุกคน