บทที่ 608 ความคิดของอริยะ ออกเดินทาง

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ

บทที่ 608 ความคิดของอริยะ ออกเดินทาง

แดนเซียนพิภพ อาณาเขตเต๋าแห่งที่สอง

เมื่อหานเจวี๋ยคุยกับจอมอริยะเสวียนตูเสร็จก็เคลื่อนย้ายมาที่นี่ เขาโบกมือปลดปล่อยองครักษ์อาณาเขตเต๋าคนใหม่ออกมา

ผลงานคัดลอกจากหลี่มู่อี

“นับจากนี้ไป เจ้ามีนามว่าต่งจั๋ว”

หานเจวี๋ยเอ่ยงึมงำ ต่งจั๋วคุกเข่าขอบคุณที่หานเจวี๋ยมอบนามให้ จากนั้นจึงถอยออกไป

จากนั้น หานเจวี๋ยก็สอดส่องดูหยางตู๋ที่อยู่ในแดนเซียนพิภพ

หยางตู๋บรรลุระดับเซียน ยามนี้มีสิบสองจอมเทพใต้สังกัดจักรพรรดิเซียนวัฏจักรหนุนหลังอยู่ น่าจะไม่มีเรื่องใดเกิดขึ้น

เขาเริ่มเฟ้นหาตัวเลือกที่เหมาะสมคนอื่นๆ

ศิลาก่อวิญญาณยังคงนับว่าหายากยิ่ง กว่าจะรวบรวมศิลาก่อวิญญาณได้ครบสามพันก้อนไม่รู้ว่าต้องรอไปอีกนานแค่ไหน ตอนนี้เขาต้องรอคอยถึงหนึ่งแสนปีกว่าจะได้รับตัวเลือกจากระบบสักครั้ง ส่วนเรื่องการทะลวงขั้น อย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาหลายหมื่นปีถึงจะมีสักหน ถึงขั้นที่อาจจะนานกว่านั้น

ในการเฟ้นหาตัวเลือกเทพมาร หานเจวี๋ยพิจารณาถี่ถ้วนยิ่งนัก

เขาสอดส่ายสายตาไปตามแม่น้ำโชคชะตาของแดนเซียนพิภพ สำรวจทั้งอดีตปัจจุบันและอนาคต

การสอดส่องดวงชะตาของคนผู้หนึ่ง ทำให้มองเห็นถึงพฤติกรรมและลักษณะนิสัยส่วนบุคคล

ยี่สิบเจ็ดปีต่อมา

หานเจวี๋ยคัดเลือกตัวเลือกเทพมารมาได้ห้าราย ถ่ายทอดวิชาชุบร่างวัฏจักรดาราให้แต่ละคนไป จากนั้นก็ไม่ให้ความสนใจอีก

เงื่อนไขแรกในการเป็นตัวเลือกเทพมารคือเอาชีวิตรอดมาให้ได้ก่อน!

หากว่าขนาดชีวิตของตัวเองยังเอาไม่รอด แล้วจะเอาอะไรมาเป็นเทพมารฟ้าบุพกาลได้

หานเจวี๋ยต้องการให้พวกเขามีจิตใจแน่วแน่มั่นคงและเติบใหญ่เต็มที่ก่อนที่จะกลายเป็นเทพมารฟ้าบุพกาล มีวิถีทางในแบบของตัวเอง

เมื่อหานเจวี๋ยกลับถึงที่เขตเซียนร้อยคีรี เขาสอดส่องดูหานอวี้ต่อ

นับตั้งแต่หลี่เต้าคงฆ่าล้างบางครั้งใหญ่ครานั้น เขาเทพปู้โจวถูกเผ่าปีศาจทำให้แปดเปื้อนจนกลายเป็นสถานที่ชั่วร้าย สิ่งมีชีวิตมาสักการะฝากตัวน้อยลง ทั้งเขาเทพเงียบสงัดยิ่ง

หานอวี้มีตบะระดับเซียนทองไท่อี่แล้ว กำลังฝึกบำเพ็ญอยู่ในมุมหนึ่งของเขาเทพปู้โจว

จู่ๆ ความสนใจที่หานเจวี๋ยมีต่อเขาก็ลดฮวบลง

ใบหน้านี้มองมากๆ เข้าก็รู้สึกเอียน

ถึงอย่างไรเขาก็หาที่พึ่งได้แล้ว วันหน้าก็ปล่อยไปตามธรรมชาติเถอะ

หานเจวี๋ยคิดเงียบๆ

ในอดีตเขาคิดจะใช้หานอวี้กระตุ้นหานทั่ว แต่หลังจากไปเยือนส่วนลึกของเขตฟ้าบุพกาลมา เขาเข้าใจแล้วว่าท้องฟ้านอกเขตมรรคาสวรรค์สูงส่งมากนัก คู่ต่อสู้ของหานทั่วย่อมจะปรากฏขึ้นตามธรรมชาติ ไม่จำเป็นต้องมาจากการชุบเลี้ยงของเขา

หานเจวี๋ยสอดส่องดูเผ่าสวรรค์

เผ่าสวรรค์เป็นเป้าหมายหลักที่สำนักซ่อนเร้นให้การสนับสนุนอยู่ หานเจวี๋ยย่อมให้ความสนใจ

ระยะนี้ดวงชะตาของเผ่าสวรรค์ค่อนข้างผิดปกติ ถูกมรรคาสวรรค์ต่อต้านอยู่รางๆ

หานเจวี๋ยนับนิ้วทำนาย จากนั้นก็เงียบไป

ที่แท้ถึงแม้เผ่าสวรรค์จะเป็นตัวแทนแห่งเทพเซียน แต่ก็ไม่เคยทำหน้าที่ของเทพเซียนเลย จี้เซียนเสินยุ่งอยู่กับการออกศึก ขยายอำนาจของเผ่าสวรรค์ ทว่าลืมใส่ใจสรรพสิ่งที่อยู่ใต้การปกครองของเผ่าสวรรค์

ยามที่สรรพสิ่งเผชิญหน้ากับเภทภัยทุกข์ยาก ร้องไห้อ้อนวอนเผ่าสวรรค์ แต่ไม่ได้รับการตอบกลับเลย แค่สิ่งมีชีวิตแค่หลักพันหลักหมื่นยังพอว่า แต่เมื่อถึงเวลาที่จำนวนนี้ทบทวีขึ้นเป็นเท่าตัว ปวงประชาตกทุกข์ได้ยาก สรรพสิ่งใช้ชีวิตยากแค้น เช่นนั้นก็จะสั่นคลอนดวงชะตาของเผ่าสวรรค์

ถึงแม้ยามนี้แดนเซียนจะรุ่งเรือง แต่กลับขาดสิ่งสำคัญอย่างหนึ่งไป

กฎเกณฑ์!

กฎสวรรค์!

ก่อนที่มรรคาสวรรค์จะเริ่มต้นใหม่ ปวงสวรรค์หมื่นโลกาให้ความสำคัญกับปวงชน แบ่งแยกกันด้วยบุญบาป ก่อกรรมหนักหนา ก็ลงไปรับผลกรรมในยมโลก สั่งสมบุญกุศลมาช้านานก็ได้ขึ้นสวรรค์เป็นเซียน

นอกจากจะไม่มีกฎเกณฑ์ที่ระบุไว้อย่างชัดเจนแล้ว ภายในเผ่าสวรรค์ก็มีข้อบกพร่องเลวร้ายอยู่บ้างเช่นกัน แม้กระทั่งในกลุ่มศิษย์ของสำนักซ่อนเร้นก็มีคนก่อกรรมทำเข็ญขึ้นอีกด้วย เรื่องนี้เป็นปัญหาที่ไม่มีทางกำจัดให้หมดสิ้นได้

หานเจวี๋ยเพียงมองดูเท่านั้น ไม่คิดสอดมือยุ่ง

โลกโลกีย์ผันผวน สรรพสิ่งหลากหลาย อริยะไม่อาจควบคุมดูแลทุกชีวิตได้

หานเจวี๋ยต้องการมองแค่ภาพรวมเท่านั้น หากว่าเผ่าสวรรค์ที่เขาเกื้อหนุนกลายเป็นกลุ่มชั่วร้าย เช่นนั้นเขาค่อยกำราบปรับความประพฤติ หากว่าปรับไม่ได้ เช่นนั้นก็ทำลายล้างเสีย แล้วค่อยเกื้อหนุนกลุ่มขึ้นมาใหม่

วินาทีนี้ จู่ๆ หานเจวี๋ยก็เข้าใจความรู้สึกของบรรดาอริยะในอดีตเหล่านั้นขึ้นมา

สำนักนิกายแห่งอริยะล่มสลายลงในหลายๆ ยุคสมัย แล้วรวมตัวขึ้นใหม่อีกครั้ง หรือว่าเกี่ยวข้องกับเรื่องที่หานเจวี๋ยคิด

หานเจวี๋ยส่ายหน้าหลุดยิ้มออกมา ไม่คิดมากต่อไปอีก เริ่มฝึกบำเพ็ญต่อ

ถึงแม้จะกลายเป็นอริยะเสรีแล้ว แต่ก็ไม่อาจโอหังลำพองจนลืมฝึกบำเพ็ญไป

ต่อให้คุณสมบัติจะยอดเยี่ยมแค่ไหนก็ต้องมานะบำเพ็ญ อย่าปล่อยเวลาไปเสียเปล่า

….

เวลาผ่านไปปีแล้วปีเล่า

พริบตาเดียวก็ผ่านไปอีกเจ็ดร้อยปี

จู่ๆ จอมอริยะเสวียนตูก็ขอเข้าฝันหานเจวี๋ย ขัดจังหวะการฝึกบำเพ็ญของเขา

ในวันเดียวกันนั้น หานเจวี๋ยเดินทางไปยังชั้นฟ้าที่สามสิบสาม โดยไม่ทำให้คนอื่นๆ ในสำนักซ่อนเร้นรู้ตัว

ภายในตำหนักเอกภพ

เมื่อหานเจวี๋ยมาถึง อริยะรายอื่นคอยท่าอยู่นานแล้ว

เทพสูงสุดอู๋ฝ่าสีหน้าเรียบเฉย ฉิวซีไหล เทพสูงหนานจี๋ เจ้านิกายเทียนเจวี๋ย ฝูซีเทียน และมหาจักรพรรดิเซียวต่างพยักหน้าทักทายหานเจวี๋ยเล็กน้อย

จอมอริยะเสวียนตูลุกขึ้นมา เปิดปากเอ่ย “ทางแดนเทพหวนปัจฉิมเริ่มเคลื่อนไหวแล้ว พวกเราควรออกเดินทางสักที จำเป็นต้องยุติศึกนี้ลงโดยเร็ว ป้องกันไม่ให้เกิดความเปลี่ยนแปลงกะทันหัน”

เหล่าอริยชนพยักหน้ารับ ทยอยเลือนหายไปจากตำหนักเอกภพ

พวกเขามาโผล่ที่แดนต้องห้ามอันธการ ข้ามมิติมาอย่างรวดเร็ว

ในแดนต้องห้ามอันธการไม่สามารถซ่อนเร้นกลิ่นอายของอริยะได้ หานเจวี๋ยปะปนอยู่ในกลุ่มอริยะ ไม่ได้นำขบวน แต่ก็ไม่ได้รั้งท้าย

ทันใดนั้นฉิวซีไหลพลันเอ่ยขึ้นว่า “บรรพชนพุทธเบิกนภาลูกน้องของข้าถูกจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์อันธการจับตัวไป ไม่ทราบเช่นกันว่ายังมีชีวิตอยู่หรือไม่”

พอเขาเปิดประเด็นขึ้นมา อริยะที่เหลือก็พากันเล่าบ้าง

อริยะทั้งหมดล้วนมีลูกน้องที่ถูกจับตัวไป นับว่าจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์อันธการล่วงเกินพวกเขาถ้วนหน้าเลยทีเดียว

เทพสูงหนานจี๋มองไปที่หานเจวี๋ย ถามว่า “สหายเต๋าหาน เจ้าบอกพวกเรามาตามตรงเถอะ เจ้ามีความมั่นใจอยู่กี่ส่วน”

เหล่าอริยชนต่างหันมามอง

ก่อนหน้านี้พวกเขาเคยร่วมมือกันต่อกรกับจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์อันธการ ทว่าสู้อีกฝ่ายไม่ได้เลย ปฏิบัติการในครั้งนี้ตัวแปรที่สำคัญที่สุดก็คือหานเจวี๋ย

ระดับความเร็วที่หานเจวี๋ยสังหารหลี่มู่อีรวดเร็วกว่าที่จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์อันธการเอาชนะหลี่มู่อีได้

แน่นอน เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับลำดับก่อนหลังด้วย หลี่มู่อีถูกจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์อันธการโจมตีอย่างหนักก่อน หานเจวี๋ยถึงได้สบโอกาส

ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม หานเจวี๋ยคืออริยะที่แข็งแกร่งที่สุดในแดนเซียน

หานเจวี๋ยตอบว่า “ข้ายังไม่เคยเผชิญหน้ากับจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์อันธการมาก่อน จะให้คำยืนยันได้อย่างไร”

ฉิวซีไหลฟังความหมายแฝงในวาจาของหานเจวี๋ยออก จึงเปิดปากกล่าวว่า “อย่ากดดันสหายเต๋าหานเลย พอถึงเวลาสู้กันขึ้นมาจริงๆ พวกเราต้องแสร้งทำเป็นไม่สนใจเขา เช่นนี้จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์อันธการจะได้ถูกโจมตีและปลิดชีพโดยไม่ทันรู้ตัว”

จอมอริยะเสวียนตูเอ่ยว่า “การต่อสู้ครั้งนี้ ข้าจะใช้พลังของระดับอริยะเสรี มีโอกาสชนะมากกว่าครั้งก่อน”

เหล่าอริยชนได้ฟังก็เผยรอยยิ้มออกมา

จอมอริยะเสวียนตูกล่าวมาเช่นนี้ พวกเขาก็มีความมั่นใจยิ่งขึ้น

จากนั้นพวกเขาเริ่มพูดคุยถึงเรื่องราวในแดนเซียน

….

คุกนรกอันธการ

หานทั่วและอี๋เทียนพิงซบกัน มองเชลยหน้าใหม่ที่ตะโกนโวยวายอยู่ไม่ไกลนัก ใบหน้าของพวกเขาเจือรอยยิ้มเยาะหยัน

อี๋เทียนเอ่ยยิ้มๆ “จู่ๆ ก็นึกถึงสายตาที่ผู้อื่นใช้มองพวกเราตอนเพิ่งเข้ามาใหม่ๆ ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้”

หานทั่วเอ่ยด้วยความสะท้อนใจ “เจ้าอย่าพูดเลยดีกว่า บัดซบ ข้าใกล้จะเคยชินไปเสียแล้ว”

หลายปีมานี้ พวกเขาฟังเทศนาธรรมจากจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์อันธการอยู่บ่อยครั้ง ตบะเพิ่มพูนขึ้นอย่างรวดเร็ว อี๋เทียนพร้อมจะพิสูจน์เซียนทองต้าหลัวได้ทุกเมื่อ

“เห็นทีว่าพวกเราล้วนต้องตกอยู่ใต้บังคับบัญชาของจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์อันธการเสียแล้ว แต่ก็ไม่เลวเลย ถึงอย่างไรจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์อันธการก็ร้ายกาจว่าเหล่าอริยะ” อี๋เทียนพูดจาติดตลก

หานทั่วพยักหน้ารับ กาลเวลาลบล้างได้ทุกสิ่ง หลังจากเหล่าเชลยปรับตัวเข้ากับพลังแห่งความมืดได้ก็เริ่มแข็งแกร่งขึ้นมา ทัศนคติของพวกเขาก็เปลี่ยนแปลงไปด้วยเช่นกัน

มิน่าเล่าเชยเก่าๆ เหล่านั้นถึงไม่แยแสพวกเขาเลย

“เจ้าจะละทิ้งมรรคาสวรรค์หรือ”

เสียงหนึ่งพลันแว่วขึ้นในสมองของหานทั่ว ทำให้เขาตกใจจนหน้าเปลี่ยนสี

เสียงนี้มิใช่ของภูตพยาบาท แต่เป็นคนชุดขาวที่พวกเขาพบในแดนเทพหวนปัจฉิมก่อนหน้านี้

หานทั่วเหลียวซ้ายแลขวา คิดจะจับสัมผัสหาตัวตนของอีกฝ่าย แต่กลับไม่พบเลย

“อย่าหาเลย ข้าอยู่ในร่างเจ้า”

ชายชุดขาวเอ่ยขึ้นมาอีกครั้ง หานทั่วได้ฟังก็เงียบไป

เกิดอะไรขึ้น

หานทั่วถามในใจ “เจ้าต้องการอะไร”

ชายชุดขาวกล่าวว่า “ข้าต้องการสังหารจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์อันธการ! เข้าแทนที่เขา! เจ้ายินดีช่วยข้าหรือไม่”

………………………………………………………………