ตอนที่ 308 เรื่องเร่งด่วนสามประการ

อลวนรักหมอหญิงชิงลั่ว

ตอนที่ 308 เรื่องเร่งด่วนสามประการ
ตอนที่ 308 เรื่องเร่งด่วนสามประการ

อวี้ชิงลั่วยืนรออยู่หน้าประตูเรือนรับรองครู่ใหญ่แล้ว เมื่อเห็นว่ายังไม่มีใครเดินออกมาจึงแอบรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย

โม่เสียนก็ขมวดคิ้วตามไปด้วย จ้องมองทหารองครักษ์สองสามคนที่ยืนเฝ้าประตู พร้อมกับลดเสียงเอ่ยถามอวี้ชิงลั่วว่า “แม่นางอวี้ รัชทายาทแห่งอาณาจักรหลิวอวิ๋นนี้…คงมิใช่ไม่ยอมรับว่าติดหนี้บุญคุณหรอกนะขอรับ”

“ตอนที่อยู่โรงหมอซิ่งเซิงพวกเขาเคลื่อนไหวเอิกเกริกขนาดนั้น หากไม่ยอมรับว่าติดหนี้บุญคุณ คนที่ต้องเสียหน้าก็คือพวกเขาเอง ไม่มีทางไม่ยอมรับหรอก”

โม่เสียนคิด ๆ ดูแล้วก็ว่าใช่ อย่างน้อย ๆ รัชทายาทของอาณาจักรหลิวอวิ๋นก็ขึ้นชื่อว่าเป็นคนฉลาด แม่นางอวี้เป็นถึงหมอปีศาจ หากไม่สำนึกบุญคุณครั้งนี้ คนที่ต้องเสื่อมเสียชื่อเสียงก็คืออาณาจักรหลิวอวิ๋น คาดว่าคงเป็นเพราะวางมาดในฐานะของรัชทายาท จึงปล่อยให้พวกเขารออยู่ที่นี่อีกครู่หนึ่งกระมัง

เมื่อโม่เสียนคิดเช่นนี้ ภายในใจจึงเริ่มมั่นใจ เขายืดตัวตรงเล็กน้อย ก่อนจะใช้สายตาประดุจคบเพลิงจ้องมองไปยังประตูใหญ่ของเรือนรับรอง

เพียงอึดใจก็พบบุรุษที่ดูสุภาพอ่อนโยนเดินตรงมาทางนี้ ด้านหลังของเขายังมีฉีจ้านที่เขาเกือบจะลงมือฆ่าเพราะทำตัวยุ่งวุ่นวายอยู่ในโรงหมอซิ่งเซิงในตอนนั้น

โม่เสียนหดศีรษะต่ำลงเล็กน้อย กระซิบเตือนว่า “แม่นางอวี้ พวกเขามากันแล้ว”

อวี้ชิงลั่วกำลังยืนหันหลังให้ประตูใหญ่ของเรือนรับรอง โดยจ้องมองร่างเล็ก ๆ ของหนานหนานที่กำลังเดินไปเดินมาทำท่าจะออกมาจากตรอกด้วยสายตาตักเตือน ครั้นได้ยินเสียงเบา ๆ ดังขึ้นข้างหู นางจึงเก็บสีหน้าโดยเร็ว ก่อนจะหมุนกายกลับมาด้วยสีหน้าเรียบเฉย

ทหารองครักษ์ที่ยืนเฝ้าอยู่สองฝั่งเห็นว่าฉีหานเว่ยเดินออกมา จึงรีบก้มศีรษะด้วยความเคารพนอบน้อม “คารวะองค์รัชทายาท”

ฉีหานเว่ยไม่ส่งเสียงตอบ ขาทั้งสองข้างยังคงยืนอยู่บนขั้นบันได ก่อนจะเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยและกวาดตาสำรวจสตรีที่ยืนอยู่ตรงหน้าอย่างละเอียด

ตอนที่เขาเป็นลมหมดสติไป หลังจากถูกช่วยชีวิตไว้เขากลับเห็นแค่แผ่นหลังของนางเท่านั้น ตอนนี้เพิ่งจะได้เห็นหน้าเต็ม ๆ ของนาง เขาได้ยินฉีจ้านพูดว่า แม่นางที่ช่วยชีวิตเขาไว้อายุยังน้อย พฤติกรรมดูเฉียบขาด ทว่ากลับดูบอบบางแตกต่างจากนิสัยอย่างสิ้นเชิง

ตอนนี้เมื่อได้เห็นก็ตรงกับที่บรรยายไว้มากจริง ๆ แค่เห็นดวงตาสุกสกาวคู่นั้นของนาง ก็รู้สึกได้ว่านิสัยของแม่นางผู้นี้แตกต่างจากสตรีของตระกูลธรรมดา แค่เห็นก็ทำให้คนรู้สึกโปรดปรานแล้ว

อวี้ชิงลั่วไม่พูดและมิได้มีท่าทีว่าจะทำความเคารพเขา เพียงแต่กระตุกมุมปากช้า ๆ และกล่าวเคล้ารอยยิ้มว่า “รัชทายาทฉี”

ฉีหานเว่ยชะงัก ก่อนจะแย้มยิ้มพร้อมโน้มตัวเล็กน้อย “เชิญแม่นางเข้ามาก่อน”

อวี้ชิงลั่วเดินเข้าประตูแบบสบาย ๆ มิได้แสดงท่าทีนอบน้อมต่อฉีหานเว่ยแม้แต่น้อย ฉีจ้านมิได้แยแส เพราะครั้งก่อนเขาพอจะเห็นความคิดของอวี้ชิงลั่วแล้ว

ทว่าฉีลิ่งที่เดินตามอยู่ข้าง ๆ กลับขมวดคิ้ว เหลือบตามองนางอย่างเย็นชา สายตาก็ดูขรึมลงด้วย

“เราได้ยินมาว่า ครั้งก่อนตอนที่อยู่ในโรงหมอซิ่งเซิง หากมิใช่เพราะการช่วยเหลือของแม่นาง เกรงว่าเราคงโชคร้ายไปแล้ว” ฉีหานเว่ยเดินประกบข้าง ระหว่างที่พูดก็หันมามองนาง “เดิมทีเรายังคิดอยู่ว่าหลังจากนี้หากมีโอกาส ต้องขอบคุณต่อหน้าให้ได้ ตอนนี้โอกาสนี้ได้มาถึงแล้ว วันนี้เราได้เจอแม่นางอีกครั้ง นับว่ามีวาสนาต่อกัน”

อวี้ชิงลั่วยิ้ม หันกวาดสำรวจเรือนรับรองที่อยู่ตรงหน้าเล็กน้อย ก่อนจะตอบกลับอย่างเนิบช้า “ข้าเองก็คิดไม่ถึงเช่นกันว่าจะได้เจอหน้ารัชทายาทเร็วขนาดนี้” รัชทายาทของอาณาจักรหลิวอวิ๋นและอุปราชของอาณาจักรจิงเหลยช่างแตกต่างกันจริง ๆ คนหนึ่งอ่อนโยนมีมารยาท ส่วนอีกคนหัวรุนแรงหยิ่งผยอง ช่างต่างกันคนละขั้ว

“แม่นางมาถึงที่นี่ในวันนี้ ไม่ทราบว่ามีอะไรให้เราช่วยเหลือหรือไม่?”

ฉีลิ่งที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ได้ยินถึงกับเม้มปากอย่างห้ามไม่อยู่ เหตุใดรัชทายาทถึงได้ทำตัวเกรงใจแม่นางที่ไม่รู้จักมารยาทถึงขั้นนี้? ก็แค่ผู้มีบุญคุณที่เคยช่วยชีวิต ตอนนี้นางรู้สถานะของรัชทายาทแล้ว จึงวิ่งมาถึงที่นี่เพื่อขอผลประโยชน์ ให้เงินหรือผลประโยชน์ไปสักหน่อยก็สิ้นเรื่องแล้ว

“รัชทายาทฉี ข้าจำได้ว่าคราก่อนยังมีเด็กคนหนึ่งที่มาพร้อมกับรัชทายาทด้วย ไม่ทราบว่าครั้งนี้เขาได้มาที่อาณาจักรเฟิงชางหรือไม่?” การย่างก้าวของอวี้ชิงลั่วช้าลง เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ

ฉีหานเว่ยแอบประหลาดใจ เดิมทีเขาคิดว่าแม่นางมาที่นี่ด้วยความรีบร้อนขนาดนี้ คงต้องพูดถึงความต้องการเป็นสิ่งแรก คิดไม่ถึงเลยว่านางกลับอยากเจอองค์ชายสิบสาม

ความคิดของฉีหานเว่ยถึงกับสับสน ไม่รู้ว่าแม่นางอวี้คิดอะไรอยู่ ทว่าก็ตอบกลับไปด้วยรอยยิ้มว่า “แม่นางพูดถึงเจ้าสิบสามรึ? เขามาที่นี่ด้วย แม่นางอยากพบหน้าเขารึ?”

พอดีเลย เดิมทีเขาเองก็อยากพานางไปดูทางฝั่งเจ้าสิบสามด้วย ไม่คิดเลยว่านางจะเป็นคนกล่าวออกมาด้วยตนเอง

อวี้ชิงลั่วพยักหน้า “ในเมื่อได้เจอหน้าแล้ว ข้าก็อยากจะจับชีพจรเพื่อตรวจร่างกายเขาอีกสักครั้ง รัชทายาทฉีคงไม่ปฏิเสธ”

เมื่อครู่นางได้ยินโม่เสียนพูดว่า รัชทายาทและองค์ชายสิบสามของอาณาจักรหลิวอวิ๋นเป็นพี่น้องแท้ ๆ ที่เป็นบุตรของฮองเฮา ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาจึงดีเยี่ยม เช่นนั้นตอนที่องค์ชายสิบสามประพฤติมิชอบก็คงได้รับการหนุนหลังจากรัชทายาท

ครั้งก่อนรัชทายาทและเด็กอายุสิบกว่าขวบถูกนางช่วยชีวิตไว้ทั้งคู่ คนที่ทำให้รัชทายาทประหม่าและใกล้ชิดกันจนติดโรคติดต่อ ก็คงมีแค่องค์ชายสิบสามฉีหานเทียนแล้ว

อวี้เป่าเอ๋อร์ถูกฉีหานเทียนจับตัวไป

“แม่นางพูดอะไรเช่นนั้น เรือนของเจ้าสิบสามอยู่ข้างหน้า เราจะพาท่านไปตอนนี้เลย” ฉีหานเว่ยเลิกคิ้วขึ้น จากนั้นจึงหันไปส่งสายตาให้ฉีจ้าน

ภายในห้องของฉีหานเทียนยังมีคนอีกสองคน แม้ว่าเดิมทีเขาจะอยากให้อวี้ชิงลั่วไปตรวจดูว่าเป่าเอ๋อร์อะไรนั่นสติฟั่นเฟือนจริงหรือไม่ ทว่าจะปล่อยให้นางเห็นสถานการณ์ที่มีคนถูกมัดมิได้ ตอนนี้อวี้เจี้ยนต๋าก็กำลังคุกเข่าอยู่บนพื้น ถึงอย่างไรที่นี่ก็คืออาณาจักรเฟิงชาง หากถูกแพร่งพรายออกไปคงดูไม่ดีแน่

ฉีจ้านถอยหลังออกไปสองก้าวอย่างเงียบ ๆ จนกระทั่งนายท่านทั้งสองที่อยู่ตรงหน้าเดินออกไปไกลแล้ว เขาจึงหมุนตัวเดินไปยังทางเดินเล็ก ๆ

ใครจะไปคิดว่าเพิ่งก้าวเดินเพียงไม่กี่ก้าว จู่ ๆ ด้านหลังก็มีเสียงฝีเท้าเบา ๆ ดังขึ้น ฉีจ้านชะงัก ครั้นหันกลับมามองก็พบว่าโม่เสียนกำลังมองมาที่ตนเองด้วยหน้าตากึ่งยิ้มกึ่งบึ้งตึง

“เหอะ องครักษ์โม่ไม่ตามนายหญิงของเจ้ารึ?”

โม่เสียนเป็นกังวลว่าฉีจ้านจะนำเรื่องไปรายงาน ถึงเวลานั้นอาจพาตัวอวี้เป่าเอ๋อร์ไปซ่อนอีกที่หนึ่ง ดังนั้นเขาจึงต้อง…ตามมา

“เมื่อครู่รออยู่ข้างนอกพักหนึ่งแล้ว บังเอิญเกิดเรื่องเร่งด่วนสามประการ[1]ขึ้น แต่นายหญิงเป็นแม่นาง เรื่องเช่นนี้คงทำได้แค่ถอยออกมาและคุยกับองครักษ์ฉีแล้ว” โม่เสียนพูดด้วยสีหน้าตึงเครียด “ข้าเห็นองครักษ์ฉีเองก็ถอยออกมาเช่นกัน จึงคิดว่าอาจเป็นเช่นเดียวกับข้า ก็ไปด้วยกันเลยเถิด”

“…” ใครจะไปเหมือนกับเจ้า ท่าทางของเขาดูรีบร้อนเสียที่ไหนกัน? “องครักษ์โม่พูดล้อเล่นแล้ว ข้าจะไปสั่งคนในห้องครัวให้ทำอาหารไว้สักหน่อย ถึงอย่างไรแม่นางก็เป็นคนที่เคยช่วยรัชทายาทและองค์ชายสิบสามไว้ มิอาจดูแคลนได้ สถานที่ที่องครักษ์โม่อยากไป ตรงไปทางนี้แล้วเลี้ยวซ้าย เดินแค่สองก้าวก็ถึงแล้ว”

โม่เสียนมองไปตามนิ้วมือของอีกฝ่าย ขมวดคิ้วมุ่น “องครักษ์ฉีนำทางให้ข้าหน่อยเถิด ข้าไม่ชินกับสถานที่แห่งนี้ คนที่พักอาศัยก็เป็นผู้สูงศักดิ์ทั้งนั้น หากข้าสร้างความขุ่นเคืองให้ใคร ต่อให้เป็นนายหญิงของข้าก็มิอาจช่วยข้าได้”

……………………………………………………………………………………………………

[1] มนุษย์เรามีความเร่งด่วนสามประการ (人有三急) หมายถึง ต้องปัสสาวะ ต้องถ่ายอุจจาระ ต้องผายลม หรือใช้พูดรวม ๆ ว่าอยากเข้าห้องน้ำ

สารจากผู้แปล

คิดจะมาผักชีโรยหน้าล่ะสิ โม่เสียนรู้โม่เสียนเห็น

ไหหม่า(海馬)