ตอนที่ 475-2 เพียง... เจ้าเอาชนะจิตมารได้ (2)

ศิษย์พี่ของข้าจะมั่นคงเกินไปแล้ว

ตอนที่ 475 เพียง… เจ้าเอาชนะจิตมารได้ (2)

หลี่ฉางโซ่วรู้สึกว่า หากเขาไม่มาในวันนี้ โหย่วฉินเสวียนหย่าย่อมจะใช้จินตนาการของนางเองเพื่อ ฆ่าตัวตายจริงๆ!

โชคดีที่หลี่ฉางโซ่วหาทางออกได้อย่างรวดเร็ว และส่งต่อไปให้โหย่วฉินเสวียนหย่า

จากนั้น โหย่วฉินเสวียนหย่าก็หันกลับมาและกอด “ศิษย์พี่ฉางโซ่ว” และ “ศิษย์น้องหลิงเอ๋อร์” ในช่วงเวลาสำคัญนี้ นางก็โบยบินขึ้นสู่ท้องนภา …

ที่ด้านล่าง กิเลนดำขนาดใหญ่กลืนหน้าผา แล้วเงาดำนับไม่ถ้วนและ กิเลนก็สลายหายไปพร้อมๆ กัน

เพียงแค่นั้นหรือ?

หลี่ฉางโซ่วอยากให้มันเรียบง่ายเช่นกัน แต่เห็นได้ชัดว่ายังมีเรื่องราวยาวนานอยู่เบื้องหลัง

เขาเฝ้ามองดูอย่างอดทนและตระหนักได้ว่าละครจิตมารที่นำแสดงโดยโหย่วฉินเสวียนหย่ากำลังมีสีสัน น่าตื่นเต้นมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ

หลังจากเป็นอิสระ หลุดพ้นมาจากหน้าผาแล้ว โหย่วฉินเสวียนหย่าก็พา “ศิษย์พี่ฉางโซ่ว” และ “ศิษย์น้องหญิงน้อยหลิงเอ๋อร์” ไปยังเมืองมนุษย์ขนาดใหญ่ นั่นคือ เมืองหลวงของอาณาจักรโหย่วฉิน

มีงานเฉลิมฉลอง ผู้คนต้อนรับงานรื่นเริงเฉลิมฉลอง ต่างกำลังร้องเพลงเต้นรำ บรรดาองค์ชาย ชนชั้นสูงและเสนาบดีที่ต่างคิดแผนร้ายต่อกัน แต่มีสีหน้ามองไม่ชัดเจน และกษัตริย์ซึ่งประทับนั่งอยู่บนแท่นสูงซึ่งรายล้อมไปด้วยสาวงามที่น่าหลงใหล…

นั่นน่าจะเป็นความทรงจำในวัยเยาว์ของโหย่วฉินเสวียนหย่า

ไม่นานหลังจากนั้น ภาพเหตุการณ์ก็เปลี่ยนไป “ศิษย์พี่ฉางโซ่ว” และ “ศิษย์น้องหลิงเอ๋อร์” ได้แต่งงานกันในเมือง และจัดงานเลี้ยงงานแต่งงานที่ครึกครื้นรื่นเริงยิ่ง ก่อนและหลังงานเลี้ยงแต่งงานนั้น โหย่วฉินเสวียนหย่ากำลังแย้มยิ้มและอวยพร จากนั้นนางก็เฝ้าดูในขณะที่ “ศิษย์พี่ฉางโซ่ว” และ “ศิษย์น้องหลิงเอ๋อร์” เข้าไปในห้องหออันอบอุ่นพร้อมกับคำว่า ‘ความสุข’ บนนั้น…

หลี่ฉางโซ่วเกือบจะสัมผัสโหย่วฉินเสวียนหย่าเมื่อเห็นเช่นนั้น

ในจิตใต้สำนึกของศิษย์น้องหญิงจอมพิษตัวอันตราย หาได้มีเจตนาจะครอบครองข้าด้วยการบังคับฝืนใจไม่ นี่คือ…

หลี่ฉางโซ่วยังกล่าวพึมพำไม่ทันจบ เมื่อโครงเรื่องได้เปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน อาจกล่าวได้ว่าสถานการณ์เปลี่ยนไป!

จู่ๆ “ศิษย์พี่ฉางโซ่ว” ก็ผลักประตูห้องอบอุ่นและวิ่งไปหาโหย่วฉินเสวียนหย่าพร้อมกับให้คำมั่นว่าจะเป็นคู่บำเพ็ญเต๋าของนาง

ในขณะนั้น “ศิษย์น้องหลิงเอ๋อร์” ก็ปรากฏตัวขึ้นที่ริมหน้าต่างพร้อมเผยรอยยิ้มโล่งใจ นางพยักหน้าเบาๆ ไปให้โหย่วฉินเสวียนหย่า ดวงตาของนางเต็มไปด้วยพรปรารถนาดี

จากนั้น ท่ามกลางเสียงปรบมือโดยรอบ โหย่วฉินเสวียนหย่า และ “ศิษย์พี่ฉางโซ่ว” ก็กลายเป็นคู่บำเพ็ญเต๋า พวกเขาออกไปจากอาณาจักร และอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข ทุกวันพวกเขาจะตกปลา ย่างปลา และพายเรือในแม่น้ำ ทะเลสาบ และทะเล และพวกเขาก็ขี่เมฆไปทั่วท้องฟ้า

หลี่ฉางโซ่วถึงกับเงียบงันทันที

ในขณะนั้น ท้ายที่สุด หลี่ฉางโซ่วก็เข้าใจว่า จิตมารที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโหย่วฉินเสวียนหย่าก็คือ เขาเอง หลี่ฉางโซ่ว

แล้วเขาจะช่วยนางได้อย่างไร?

หากเป็นเซียนคนอื่นๆ มาที่นี่ บางที พวกเขาคงทำได้เพียงใช้กำลังบังคับ ดึงนางออกมาจากห้วงจิตมารนี้ ทว่าเมื่อเป็นหลี่ฉางโซ่ว… เขาขอมองดูชีวิตแสนสุข ซึ่งโหย่วฉินเสวียนหย่าจินตนาการอยู่ร่วมกับศิษย์พี่ฉางโซ่วก่อน

ทุกๆ วัน พวกเขาจะเดินทางและฝึกบำเพ็ญร่วมกันอย่างซ้ำซากจำเจ พวกเขาสองคนไม่มีการสัมผัสทางกายกันเลย ส่วนใหญ่พวกเขาจะอยู่ห่างกันมากกว่าหนึ่งฉื่อ พวกเขามีปฏิสัมพันธ์ที่บริสุทธิ์และมีรสชาติ ไม่น่าเบื่อ

หลี่ฉางโซ่วไม่รอช้าอีกต่อไป เพราะในท้ายที่สุดแล้ว ก็ยังมีเรื่องสำคัญอีกมากมายรอให้เขาจัดการภายนอก เขาจึงสังเกตทุกอย่างและเริ่มจัดการกับปัญหาทันที

วิธีนี้ง่ายมาก เขามุ่งความสนใจไปที่ “ศิษย์พี่ฉางโซ่ว” อีกครั้ง ขณะที่เขาไปท่องเที่ยวชมทิวทัศน์ กับโหย่วฉินเสวียนหย่า จู่ๆ เขาก็เอื้อมมือออกไปกอดโหย่วฉินเสวียนหย่า เขาเคลื่อนไหวได้ชำนาญยิ่งและเขาได้ขยาย “กรงเล็บของอันลู่ซาน[1]” ไปที่โหย่วฉินเสวียนหย่า…

“ศิษย์น้องหญิง ที่นี่ไม่มีผู้ใด และในเมื่อพวกเราต่างก็มีใจรักใคร่พอใจกัน เช่นนั้น ไยไม่สู้เราต่างทำตามประเพณีดั้งเดิมกันเล่า?”

โหย่วฉินเสวียนหย่าตื่นตกใจ จากนั้น นางก็หนีออกจากอ้อมกอดและกระโดดห่างออกไปหลายสิบฉื่อก่อนจะขมวดคิ้วและมองไปที่ “ศิษย์พี่ฉางโซ่ว”

“ศิษย์พี่… ตามประเพณีดั้งเดิมอันใดกัน?”

หลี่ฉางโซ่วยิ้มอย่างชั่วร้าย เขายกมือขึ้นแล้วเปิดปกเสื้อคลุมยาวของเขา แผ่กลิ่นอายชั่วร้ายออกมา

“พี่สาวน้องสาว เก็บลิ้นของเจ้าเอาไว้เถิด แล้วปล่อยให้ทำเอง” ใบหน้าของโหย่วฉินเสวียนหย่าขึ้นสีแดงก่ำ ดวงตาของนางพลันฉายแววสับสนขึ้นมา หลี่ฉางโซ่วจึงฉวยโอกาสนี้ ปล่อยตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ทั้งสามออกมา แล้วเร่งร่ายคาถาเวทสงบใจ เขาพยายามดำเนินการอย่างเต็มที่ในห้วงจิตมารนี้!

“ไม่ ท่านไม่ใช่ศิษย์พี่ฉางโซ่ว!”

โหย่วฉินเสวียนหย่าฟื้นคืนสติและรู้สึกตัวขึ้นมาทันที จากนั้นนางก็ดิ้นรนให้เป็นอิสระจากมือของ หลี่ฉางโซ่วและกระโดดขึ้นไปในอากาศ จากนั้น นางก็ถูกล้อมรอบด้วยแสงเซียนและเปล่งแสงสีทองออกมาจากร่าง!

นางร้องตะโกนอย่างมั่นใจว่า “ศิษย์พี่ฉางโซ่วสุภาพและอ่อนโยนยิ่ง เขาไม่มีวันทำเรื่องหยาบคายกับข้าเช่นนี้! เจ้าเป็นใครกัน?”

“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า!”

“ศิษย์พี่ฉางโซ่ว” หัวเราะเสียงดังลั่น แล้วร่างของเขาก็เริ่มขยายตัวและกลายเป็นมวลลมปราณสีดำที่น่ากลัว เผยให้เห็นร่างหลักของจิตมาร

บัดนั้น หลี่ฉางโซ่วก็หลุดพ้นจาก “ศิษย์พี่ฉางโซ่ว” ได้ทันเวลา ทว่าเขาก็ยังคงกังวลและเฝ้าสังเกตการณ์ต่อไป

ในขณะนั้น โหย่วฉินเสวียนหย่าดูมุ่งมั่นและโจมตีจิตมารอย่างเด็ดขาด ทั้งสองคนต่อสู้กันในศึกใหญ่ และในท้ายที่สุด ธรรมก็ย่อมเอาชนะอธรรมได้… เมื่อโหย่วฉินเสวียนหย่าตัดศีรษะของจิตมาร แล้ว ภาพลวงตาทั้งหมดก็พังทลายลง

ครู่ต่อมา ในเคหาสน์ถ้ำ โหย่วฉินเสวียนหย่าลืมตาขึ้นช้าๆ ใบหน้างดงามของนางแดงก่ำ ในเวลานั้น นางเป็นคนเดียวที่อยู่ในเคหาสน์ถ้ำ

ราวกับว่า นางเพิ่งผ่านความฝัน ในขณะนั้น นางยังคงหน้าแดงก่ำเพราะเหตุการณ์ในความฝัน หัวใจของนางยังคงมีกวางน้อยกระโดดไปมา[2]ในขณะที่นางยกมือขึ้นจับคอเสื้อ

“ศิษย์พี่ฉางโซ่ว จะไม่…”

เพี้ยะ!

ทันใดนั้น นางก็ตบตัวเองอย่างแรงและกล่าวดุด่าตัวเองเบาๆ

“โหย่วฉินเสวียนหย่า ไยเจ้าถึงอ่อนแอนัก เหตุใดเจ้าจึงยังมีความคิดที่จะให้ศิษย์น้องหลิงเอ๋อร์ยอมจำนนต่อเจ้า!?!”

หลี่ฉางโซ่วซึ่งซ่อนตัวอยู่ในกำแพงภูเขารู้สึกขบขันเมื่อได้ยินเช่นนั้น จากนั้น เขาก็ส่ายศีรษะก่อนจะใช้หลีกลี้ปฐพีซ่อนกาย แล้วออกจากยอดเขาพิชิตสวรรค์ไปอย่างเงียบๆ ทั้งยังแสร้งทำเป็นว่า เขาไม่เคยไปที่นั่น

ศิษย์น้องหญิงผู้นี้… ช่างมีชีวิตสมกับชื่อเสียงของนางที่เป็นจอมพิษตัวอันตรายจริงๆ

สรุปแล้ว สิ่งที่เอาชนะจิตมารของนางได้นั้น หาใช่จิตตานุภาพอันแรงกล้าหรือพลังแห่งเจตจำนงที่จักไม่ยินยอมต่อผู้ใดไม่ แต่เป็น… ความบริสุทธิ์ไร้เดียงสาและเขินอายของเด็กสาว

ทว่า…

“จบเพียงแค่นั้น?”

หลี่ฉางโซ่วก่นด่าสาปแช่งในใจ และแอบกลับไปที่หอโอสถ เขาซ่อนร่างหลักตามกฎข้อที่หกและเริ่มรอคอยอย่างเงียบๆ

หลี่ฉางโซ่วกำลังรอให้แม่ทัพตงมู่ไปยังที่พำนักของเทพแห่งท้องทะเลในศาลสวรรค์และให้เหล่าทหารสวรรค์เข้ารับตำแหน่งของพวกเขา

เขาใช้เวลาเพียงสองชั่วยามในเคหาสน์ถ้ำของโหย่วฉินเสวียนหย่า ในห้วงจิตมารนั้น เวลาได้เลื่อนไหลไปราวความฝัน

สัมผัสเซียนรับรู้ของเขาจับภาพโหย่วฉินเสวียนหย่า กำลังพูดคุยกับตัวเองในเคหาสน์ถ้ำของนางชั่วครู่ ก่อนที่นางจะเข้าสู่ความเงียบสงบอีกครั้ง ข้าควรจะสบายดีในเวลานี้ ใช่หรือไม่?

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ หลี่ฉางโซ่วก็ยังคงกังวล จากนั้น เขาก็ส่งเสี้ยวสัมผัสเซียนรับรู้ของเขาไปห่อหุ้มรอบข้อมือของนาง

นั่นคือ ทั้งหมดที่เขาทำได้

หลังจากนั้นเขาก็แผ่สัมผัสเซียนรับรู้ออกไปตรวจสอบสำนัก ในเวลานี้ สำนักตู้เซียนคึกคักไปด้วยกิจกรรมต่างๆ และมีการข้ามผ่านทัณฑ์สวรรค์เกิดขึ้นเป็นระยะๆ

พวกเขาได้ตัดสินใจแล้วว่า ศิษย์กลุ่มใดจะอยู่ต่อและศิษย์คนใดจะต้องจากไป

ในอีกไม่กี่เดือน สำนักตู้เซียนจะส่งกลุ่ม “เหล่าชั้นยอด” ไปยังตรีสหัสโลกธาตุและดินแดนเทวะทั้งห้าแห่งโลกบรรพกาล

ศิษย์ของสำนักตู้เซียนที่ประสบความสำเร็จในการเรียนรู้และกำลังจะออกไปเพื่อฝึกฝนต่อไป จะกระจายข่าวพิธีเปิดสำนักตู้เซียนให้กับเหล่าผู้คนในสถานที่ที่พวกเขาสามารถไปได้เพื่อดึงดูดเมล็ดพันธุ์เซียนไปยังสำนักตู้เซียน

นั่นเป็นวิธีที่สำนักเซียนส่วนใหญ่ใช้ในการรับศิษย์ มันไม่มีทางเลือก ทรัพยากรในสำนักเซียนนั้น มีจำกัด จึงไม่อาจจะรับศิษย์อย่างไม่รู้จบได้

หากมีศิษย์หนึ่งพันคนในชุดเดียวกัน ก็จะมีเพียงศิษย์กลุ่มเล็กๆ ที่โดดเด่นที่สุด ซึ่งจะเลือกอยู่บนยอดเขาหรือออกไปฝึกฝนภายนอกก็ได้ตามต้องการ ส่วนศิษย์คนอื่นจะทำได้เพียงออกจากสำนักและเผยแพร่มรดกเต๋าออกไป …

หลี่ฉางโซ่วรออีกสี่วันก่อนที่แม่ทัพตงมู่จะขี่เมฆไปยังที่พำนักของเทพแห่งท้องทะเล ทว่าเขาก็ได้ส่งกำลังพลกองทัพเรือสวรรค์ออกไปแล้วหนึ่งแสนนาย และกำลังรอให้หลี่ฉางโซ่วเข้าควบคุม

แม้หนึ่งแสนนายนี้ จะไม่ใช่จำนวนมาก แต่พวกเขาก็ได้รับการควบคุมจากหลี่ฉางโซ่วโดยตรง และความสำคัญของมันนั้น ก็ไม่ธรรมดา เมื่อหลี่ฉางโซ่วมาถึงแม่น้ำเทียนเหอ[3]พร้อมกับแม่ทัพตงมู่ เขาก็เห็นชายหนุ่มรูปงามยืนอยู่ที่ริมฝั่งแม่น้ำเทียนเหอ และเขาอดยิ้มออกมาไม่ได้

แม่ทัพตงมู่ยิ้มและกล่าวว่า “เทพแห่งท้องทะเล ดูสิ นั่นคือ รองผู้บัญชาการกองทัพเรือเทียนเหอ เปี้ยนจวง ข้าได้ยินจากศาลสวรรค์ว่า เปี้ยนจวงมีภูมิหลังในสำนักบำเพ็ญเต๋าหยิน จึงเหมาะที่สุดที่ท่านจะบัญชาการเขา”

หลี่ฉางโซ่วถึงกับเงียบงัน

ดูสิ นี่คือ พลังแห่งข่าวลือ

………………………………………………………………..

[1] หมายถึงตัณหาราคะ มาจากอันลู่ซานที่มีความสัมพันธ์กับสนมหยางกุ้ยเฟย และครั้งหนึ่งเคยใช้กรงเล็บของเขากับหน้าอกของสนมหยางกุ้ยเฟย จึงนำไปสู่ความหมายตัณหาราคะ

[2] ใจเต้นไม่เป็นส่ำ ใจสับสนกระวนกระวาย กระสับกระส่าย อยู่ไม่นิ่ง อยู่ไม่สุข

[3] แม่น้ำสวรรค์