เล่ม 1 ตอนที่ 161-2 เสี่ยวไป๋โอ้อวด โบยตีชายโฉด

หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก

ตอนที่ 161-2 เสี่ยวไป๋โอ้อวด โบยตีชายโฉด

ทุกคนแทบจะตาถลนออกมา สุนัขสีขาวตัวเล็กนี้…เป็นศิษย์ของนางอย่างนั้นหรือ

“มันคือพังพอนหิมะ” ศิษย์พี่หญิงรองเอ่ย

“ก็แค่ลูกพังพอนเท่านั้น” ศิษย์น้องแปดท่าทางไม่ยี่หร่ะ

สวี่ฮูหยินยิ้ม “แม่นางเฉียว หากเจ้าไม่อยากประชัน แค่บอกออกมาก็ได้ เจ้าโขกศีรษะยอมรับผิดกับบุตรสาวของข้า เรื่องนี้ก็จะแล้วกันไป ซู่ซินจงไม่ทำให้เจ้าต้องลำบากแน่”

เฉียวเวยเลิกคิ้ว “ท่านให้ลูกศิษย์ท่านออกมาประชันแทนได้ ข้าก็ให้ศิษย์ของข้าออกมาประชันแทนได้เหมือนกัน หรือท่านคิดว่าศิษย์ของข้าผู้นี้เก่งกาจเกินไป จนศิษย์ซู่ซินจงทั้งหลายของท่านจะเสียเปรียบ”

สวี่ฮูหยินแค่นหัวเราะ “ก็แค่พังพอนแคระตัวหนึ่ง ข้ากลัวว่าคมกระบี่ไร้ตาจนทำร้ายสัตว์เลี้ยงของเจ้า แล้วเจ้าจะมาเสียใจทีหลังน่ะสิ”

เฉียวเวยเอ่ยว่า “เช่นนั้นก็ขอเชิญนายท่านลู่มาเป็นพยานก็แล้วกัน บนเวทีจะไม่มีการเช่นฆ่า ทุกคนต้องปลอดภัย ใครตกเวทีก่อน แพ้”

นายท่านหกหันไปมองสวี่ฮูหยิน “ฮูหยิงเจ้าสำลักเห็งว่าอย่างไร”

“เช่นนั้นก็เอาอย่างที่แม่นางเฉียวว่าก็แล้วกัน” สวี่ฮูหยินสั่งศิษย์น้องแปดเรียบๆ “ไม่ว่าอย่างไรก็เป็นสัตว์เลี้ยงของแม่นางเฉียว เจ้าออมมือหน่อย แค่ให้ตกเวทีก็พอ ไม่จำเป็นต้องเข่นฆ่าสังหาร”

ศิษย์น้องแปดประสานหมัด “ขอรับ ฮูหยิน!”

เสี่ยวไป๋นอนแผ่ตัวโตอยู่บนตักของเฉียวเวย เฉียวเวยลูบหนังท้องเป็นประกายของมันพลางบอกว่า “ลงมือไม่ต้องปรานีนะ เข้าใจหรือไม่ รีบเริ่มรีบจบ”

เสี่ยวไป๋กระโดดลงพื้น นวดหัวไหล่เล็กน้อย

ศิษย์น้องแปดวาดลวดลายกำลังภายใน ทะยานขึ้นไปดั่งวิหก ก่อนจะลงยืนบนเวทีอย่างสง่าและสวยงาม

เสี่ยวไป๋ปีนขึ้นเวทีไปอย่างเชื่องช้า เวทีจะสูงไปไหนเนี่ย ปีน! ปีน! ปีนขึ้นไปๆๆ!

“ฮ่าๆ…” ด้านล่างเวทีพลันมีเสียงหัวเราะดังก้อง

ศิษย์น้องแปดเดินมาหิ้วเสี่ยวไป๋ขึ้นมาแล้วโยนลงบนเวที

ข้างเวทีประลองมีกลองตั้งอยู่ สวี่ฮูหยินหันไปทำสัญญาณมือให้ศิษย์น้องเจ็ดที่ถือไม้กลองอยู่

ศิษย์น้องเจ็ดตีกลองเสียงดังก้อง

ศิษย์น้องแปดหยิบปลอกกระบี่ขึ้นมา แล้วฟาดใส่เสี่ยวไป๋อย่างหนักหน่วง!

ถึงอย่างไรเขาก็ฟังที่อาจารย์หญิงบอก เขาไม่อยากรังแกคนตัวเล็กกว่า จึงไม่ได้ชักกระบี่ออกมา ใช้เพียงปลอกกระบี่เท่านั้น

แต่ต่อให้เป็นเช่นนั้น เขาก็ยังมั่นใจยิ่งนักว่าตนสามารถกดดันจนเจ้าตัวปุกปุยนี่ตกเวทีไปได้

ปลอกกระบี่ของเขาเงื้อลงกลางหัวเสี่ยวไป๋ ดูใกล้จะฟาดถูกเสี่ยวไป๋เต็มที แต่แล้วจู่ๆ ประกายสีขาวก็แวบหายไปจากปลายกระบี่ของเขา เขาเลยเสียสมาธิ แค่ชั่วเวลาที่เขาเสียสมาธิไป แผงอกของเขาก็ถูกข่วนจนได้แผล รอยกรงเล็บยาวเหยียดกรีดลากลงมา เลือดกระเซ็นออกมาเป็นเม็ดๆ เขาตั้งตัวไม่ทันสักนิดว่าเกิดอะไรขึ้น ก็เจ็บจนตัวกระตุก ก่อนจะตกลงจากเวทีไป

ด้านล่างเวทีพลันเงียบเป็นเป่าสาก

เสี่ยวไป๋นั่งอย่างสงบเสงี่ยมอยู่บนเวที

ศิษย์ของซู่ซินจงแทบไม่อยากเชื่อสายตาตนเอง คนเฉลียวฉลาดอย่างศิษย์น้องแปดถึงขั้นหลบกระบวนท่าแรกของพังพอนตัวนี้ไปไม่ได้ เขาถึงขั้นยังไม่ทันได้ชักกระบี่ออกจากฝักด้วยซ้ำ ก็ถูกเล่นงานจนตกเวทีเสียแล้ว

ตอนที่ศิษย์น้องทั้งหลายเข้าไปล้อมดูอาการนั้น ศิษย์น้องแปดสลบไปแล้ว ไม่รู้ว่าสลบไปเพราะเจ็บหรือสลบไปเพราะล้มกันแน่

ศิษย์พี่หญิงรองริษยาจนตาแดงก่ำ พละกำลังของสตรีนางนั้นมหาศาลก็แล้วไปเถอะ แต่เหตุใดแม้แต่พังพอนที่เลี้ยงเอาไว้อย่างกล้าหาญเช่นนี้

ศิษย์พี่หญิงห้าเอ่ยด้วยความโกรธเกรี้ยวว่า “ยกนี้ไม่นับ! ศิษย์น้องของข้ายังไม่ทันชักกระบี่ด้วยซ้ำ! ศิษย์น้องข้าออมมือให้เขา!”

เฉียวเวยมองอีกฝ่ายอย่างนึกขัน “พูดราวกับเสี่ยวไป๋ของข้ามีอาวุธอย่างนั้นแหละ”

ศิษย์พี่หญิงห้าเอ่ยอะไรไม่ออก

สวี่ฮูหยินบีบถ้วยชาขณะเอ่ยว่า “ยกนี้ แม่นางเฉียวชนะแล้ว ชนะสองในสาม แม่นางเฉียวไม่ว่าอะไรกระมัง”

เฉียวเวยยกถ้วยชาขึ้นช้าๆ แล้วดื่มอึกหนึ่ง “ได้สิ

ศิษย์พี่หญิงห้ายืดตัวตรงก้าวออกมา “ยกนี้ ข้าจะจัดการหมาของเจ้าเอง!”

เสี่ยวไป๋โกรธจนขนพอง เจ้าสิหมา! เป็นหมากันทั้งบ้านนั่นแหละ!

ศิษย์พี่หญิงห้าทะยานขึ้นบนเวที วิชาตัวเบาของนางเหนือกว่าศิษย์น้องห้า ตัวเบาราวกับนกนางแอ่น ชั่วขณะที่ลงยืน ชายกระโปรงพลันปลิวไสว ประหนึ่งเทพเซียนลงมาจากสวรรค์

ศิษย์น้องเจ็ดรัวกลองดังสนั่นอีกครั้ง

ศิษย์พี่หญิงห้าชักกระบี่ออกมา วงดาบอันดุดันฟาดฟันไปทางเสี่ยวไป๋ เสี่ยวไป๋งอตัวกระโดด หลบหลีกการโจมตีนี้ไปได้

ศิษย์พี่หญิงห้ากลับปฏิกิริยาว่องไว ชั่วขณะที่เสี่ยวไป๋กระโดดขึ้น นางวิเคราะห์เส้นทางหนีของมันออก จึงแทบจะหันองศาดาบตามไปแทบจะพร้อมกัน นี่ไม่ใช่การประลองยุทธ์แล้ว นางอยากฆ่าเสี่ยวไป๋ชัดๆ

เสี่ยวไป๋ก็รับรู้ได้ถึงไอสังหารจากคู่ต่อสู้ สายตาเปลี่ยนเป็นดุดัน อุ้งเท้าหลังพลันกางออก ตัวของมันโจนทะยานออกไปราวกับสายฟ้า!

ปลายดาบฟาดลงตรงจุดที่เสี่ยวไป๋เคยอยู่ พื้นกระดานแตกเป็นรอยยาว แค่คิดก็รู้ว่าหากฟาดถูกตัวเสี่ยวไป๋ เสี่ยวไป๋คงได้เละเป็นโจ๊กแน่

เสี่ยวไป๋พริ้วตัวไปทางศิษย์พี่หญิงห้า แล้วจับเข้าที่คออีกฝ่าย ศิษย์พี่หญิงห้าร้องลั่นด้วยความเจ็บปวด เสี่ยวไป๋ยกกรงเล็บคมกริบขึ้นอีกครั้ง ซ้ายทีขวาที ศิษย์พี่หญิงห้าถูกไล่ข่วนจนดูราวกับคนอ่อนด้อย นางถอยหลังติดๆ กัน ก่อนจะตกเวทีไป!

เสี่ยวไป๋อยู่บนตัวของนาง เดิมทีควรจะหล่นลงไปพร้อมกัน แต่เสี่ยวไป๋ปฏิกิริยาว่องไว เท้าจิ๋วเหยียบลงบนหน้าอกนาง แล้วใช้เป็นแรงส่งกระโดดกลับขึ้นเวทีไป

ศิษย์ซู่ซินจงพากันอึ้งสนิท

แม้แต่สวี่ฮูหยินยังมีเหงื่อเย็นๆ ซึมออกมา

เฉียวเวยยิ้มเล็กน้อย “ต้องให้ชนะสามในห้าหรือไม่ ฮูหยินเจ้าสำนัก”

สวี่ฮูหยินมีหรือจะคิดว่าผลจะออกมาเป็นเช่นนี้ หากรู้ว่าพังพอนแคระตัวนั้นเก่งกาจเพียงนี้ นางคงไม่วางท่าเป็นฮูหยินเจ้าสำนัก คงลงไปต่อสู้เองแล้ว นางไม่เชื่อว่าด้วยความสามารถของนาง จะเอาชนะสตรีจากตระกูลธรรมดาไม่ได้ แต่เวลานี้จะพูดอะไรก็ไม่มีประโยชน์อีก เด็กสาวผู้นี้ชนะติดต่อกันสองยก รอบข้างยังมีศิษย์จากสมาคมกระบี่ล้อมดูเป็นพยานอีก นางแม้แต่จะตอบโต้ยังทำไม่ได้!

นายท่านหกแอบยกหัวแม่มือให้เฉียวเวย

เฉียวเวยลอบกระหยิ่มในใจ เดิมทีคิดว่าจะต้องสู้กันจนเลือดตกยางออกสักยกเสียอีก นางยังเตรียมมาพร้อมจะเจ็บตัวแล้วเสียด้วย ใครจะรู้ว่านายท่านหกจะยื่นไม้เข้ามาขวาง ช่างขวางได้วิเศษยิ่งนัก ทันเวลายิ่งนัก!

ในขณะที่ทั้งสองกำลังนึกยินดีกันอยู่นั้น ผู้ดูแลฉิวที่อยู่ข้างๆ จู่ๆ ก็ชี้ไปทางฝั่งตรงข้ามแล้วร้องลั่นขึ้นมา “ระวัง…”

เฉียวเวยมองตามสายตานางไป กลับเห็นเป็นศิษย์พี่หญิงรองที่ไม่รู้อ้อมมาด้านหลังเวทีตั้งแต่เมื่อไร มือข้างที่บาดเจ็บถือธนูอยู่คันหนึ่ง นางง้างธนูออกจนสุด เล็งตรงไปทางเสี่ยวไป๋ที่อยู่บนเวที แล้วยิงเสียงดังฟุบออกไปทันที!

เสี่ยวไป๋ถูกยิงธนูใส่จนบาดเจ็บ

สายตาเฉียวเวยพลันบึ้งตึง กระชากคันธนูจากศิษย์คนหนึ่งที่อยู่ข้างๆ มาเล็งไปทางศิษย์พี่หญิงรอง แล้วปล่อยลูกธนูออกไปอย่างดุดัน!

ลูกธนูเล่นเอาศิษย์พี่หญิงรองตัวกระเด็นไปทันที ธนูดอกนั้นพุ่งทะลุหัวไหล่ของนาง แล้วพาเอาตัวนางไปปักค้างอยู่บนต้นไป๋ฮว่าที่อยู่ด้านหลัง!

“ศิษย์พี่หญิงรอง!”

“ศิษย์น้องหญิงรอง!”

ศิษย์ซู่ซินจงทั้งหลายพากันหน้าถอดสี!

“นี่เจ้าทำอะไรน่ะ” สวี่ฮูหยินโกรธจัด

เฉียวเวยเอาคันธนูตบลงบนโต๊ะ “ข้าทำอะไร คำถามนี้ควรเป็นข้าถามถึงจะถูก! พอสู้ไม่ชนะก็จะลอบทำร้ายกัน นี่คือสำนักชื่อดังที่พวกท่านเรียกขานกันอย่างนั้นหรือ! ทางที่ดีท่านควรไหว้พระขอพรให้เสี่ยวไป๋ของข้าไม่เป็นอะไร ไม่อย่างนั้นข้าจะให้ศิษย์ของท่านชดใช้ด้วยชีวิต!

กล่าวจบ เฉียวเวยก็วิ่งขึ้นไปบนเวที นางอุ้มเสี่ยวไป๋ขึ้นมา เจ้าตัวน้อยนี้ตั้งแต่ติดตามนางมา นี่เป็นครั้งแรกที่ถูกคนทำทำให้บาดเจ็บ ศิษย์พี่หญิงรองที่น่ารังเกียจผู้นั้นคงคิดจะยิงเสี่ยวไป๋ให้ตาย น่าเสียดายที่ยิงพลาดไป จึงเพียงเฉี่ยวไหล่เสี่ยวไป๋ไปเท่านั้น

แขนมันมีเลือดไหลออกมา

เสี่ยวไป๋ถูไถตัวอยู่กับอกของเฉียวเวย

ตัวน้อยเจ็บเหลือเกิน

เฉียวเวยลูบแขนมัน

เสี่ยวไป๋ซาบซึ้งยิ่งนัก

เฉียวเวยหยิบขวดใบหนึ่งออกมา ดึงจุกที่ปิดอยู่ออก กลิ่นยาอ่อนๆ ก็ลอยออกมา

เสี่ยวไป๋ยิ่งซาบซึ้งเข้าไปใหญ่ แทบจะร้องไห้ออกมาอยู่รอมร่อ เสี่ยวเวยช่างดีเหลือเกิน ยังเอายามาให้ตัวน้อยด้วย

เฉียวเวยเทยาเม็ดออกมาจนหมด ฝาขวดจ่อไปที่เลือดของเสี่ยวไป๋ “อย่าให้เสียเปล่า เอากลับไปรักษาอาการบาดเจ็บของหมิงซิว”

เสี่ยวไป๋…

พอจัดการอาการ “บาดเจ็บ” ของเสี่ยวไป๋เรียบร้อยแล้ว เฉียวเวยอุ้มเสี่ยวไป๋เดินลงจากเวที อีกด้านหนึ่งศิษย์พี่หญิงรองกับศิษย์น้องหญิงห้า ศิษย์น้องแปดล้วนถูกยกออกไปรักษาบาดแผล สวี่ฮูหยินกับศิษย์ซู่ซินจงทุกคนหน้าซีดขาว

ถูกต้อง พวกเขาเริ่มหวาดกลัวสตรีนางนี้แล้ว

คนคนหนึ่งต้องมีพละกำลังเท่าไรกันแน่ถึงจะสามารถยิงธนูใส่ยอดฝีมือจนตัวกระเด็นไปถึงต้นไม้ได้ ซ้ำยังปักแน่นอยู่อย่างนั้นอีกด้วย

ดูแล้วนางไม่เหมือนคนที่เคยฝึกวรยุทธ์มา ถึงขั้นอาจจะไม่มีแม้แต่กำลังภายในด้วยซ้ำ แต่เหตุใดถึง ทำอย่างไรถึง… ไม่น่าอัศจรรย์หรือ

แน่นอนว่าการที่พวกเขาหวาดกลัวนางเช่นนี้ไม่ใช่เพราะพละกำลังช้างสารของนางทั้งหมด และไม่ใช่เพราะนางเลี้ยงพังพอนที่เก่งกาจเอาไว้ แต่เป็นเพราะพวกเขาได้รู้ว่า ที่แท้นางเป็นคนบ้า!

มีเพียงคนบ้าเท่านั้นที่กล้าส่งเทียบประชันให้ซู่ซินจง!

มีเพียงคนบ้าเท่านั้นที่กล้ายิงคนเป็นๆ ไปติดต้นไม้!

มีเพียงคนบ้าเท่านั้นที่กล้าเผชิญหน้ากับยอดฝีมือจำนวนมากเช่นนี้โดยที่สีหน้าไม่เปลี่ยนเลยสักนิด

นางถึงขั้นไม่รู้จักความกลัว

ล้วนกล่าวกันว่าคนแข็งกลัวคนดุ คนดุกลัวคนไม่กลัวตาย

ยังไม่เคยมีใครไม่กลัวตายเช่นนี้ต่อหน้าซู่ซินจงมาก่อน!

หากเป็นชาวบ้านธรรมดาทั่วไป พวกเขาคงบดขยี้จนตายไปแล้ว แต่สตรีนางนี้กลับเป็นนางที่บดขยี้พวกเขาจนตาย

สายตาดุดันเช่นนั้นขณะที่นางยิงธนูเข้าใส่ศิษย์พี่หญิงรอง ไม่เหมือนคนเป็นมนุษย์เอาเสียเลย

อาจารย์โกรธขึ้นมาทียังไม่น่ากลัวเท่านางเลย

นางดูเหมือนไม่มีความหวาดหวั่นเลยสักนิด ไม่เคยคิดถึงผลที่จะตามมา แม้แต่ชีวิตยังสามารถโยนออกมาได้

ไม่เหมือนกับพวกเขา พวกเขามีสิ่งที่ต้องคำนึงถึงมากมายเกินไป แน่นอนว่าเดิมทีพวกเขาคิดที่จะเล่นงานเฉียวเวยถึงตาย แต่ประเด็นสำคัญก็คือ จะเล่นงานให้ตายได้หรือไม่ หากถึงตายได้ คนของสมาคมกระบี่จะว่าอย่างไร หรือเพื่อป้องกันไม่ให้ข่าวนี้แพร่ออกไป พวกเขาต้องบดขยี้ศิษย์สมาคมกระบี่ผู้นี้ให้ตายตกไปพร้อมกัน? เมื่อตายแล้ว สมาคมกระบี่จะตามสืบเรื่องนี้หรือไม่ หากสืบมาถึงตัวพวกเขา แล้วจะจัดการแก้แค้นพวกเขาหรือไม่ ความสามารถของสมาคมกระบี่ไม่ได้เป็นรองซู่ซินจง หากตามล้างแค้นกันขึ้นมาจริงๆ พวกเขาจะรับไหวหรือไม่…

เมื่อความคิดทั้งหมดนี้แวบเข้ามาในหัว ความมั่นใจของพวกเขาก็มีไม่เพียงพอแล้ว

เฉียวเวยเดินเข้าไปหาทุกคนด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

ทุกคนอดถอยกันไปก้าวหนึ่งไม่ได้

มีเพียงสวี่ฮูหยินที่ยืนอยู่กับที่เท่านั้น ที่ดูจะสงบนิ่งที่สุด

เฉียวเวยยกมุมปากขึ้นอย่างเย็นยะเยือก รอยยิ้มของนางมีแววสบายๆ ออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจ “เมื่อยินดีเดิมพันก็ต้องยอมรับความพ่ายแพ้ ฮูหยินเจ้าสำนัก”

ศิษย์น้องเจ็ดเอ่ยปากบอกว่า “เมื่อครู่เจ้าบอกว่าชนะสามในห้า…”

เฉียวเวยสะบัดสายตาคมกล้าไปทางคนพูด “พวกเจ้าลอบทำร้ายเสี่ยวไป๋ของข้า ยังจะมีหน้าบอกให้ข้าชนะสามในห้าอีกหรือ เหตุใดพวกเจ้าถึงได้หน้าไม่อายเช่นนี้ ข้าบอกพวกเจ้าตามตรง เดิมทีข้าไม่สนใจซู่ซินจงของพวกเจ้าสักเท่าไร เพียงแค่คิดจะระบายความโกรธให้ตัวเองสักหน่อยเท่านั้น แต่เวลานี้ พวกเจ้าทำข้าโกรธจริงๆ แล้ว! ซู่ซินจง ต้องเป็นของข้า!”

สวี่ฮูหยินพลันซวนเซ ตัวโงนเงนยืนเกือบไม่อยู่

“ช้าก่อน”

สวี่หย่งชิงไม่รู้มาปรากฏตัวอยู่แถวนั้นตั้งแต่เมื่อไร ตัวเขาดูมีอำนาจบารมีอย่างรุนแรงแผ่ออกมา กดดันผู้คนจนแทบหายใจไม่ออก นายท่านหกอ่านคนมานับไม่ถ้วน แต่กลับไม่เคยพบใครที่แค่ปรากฏตัวก็ทำให้เขาเหงื่อแตกเช่นนี้มาก่อน

สายตาของสวี่หย่งชิงกวาดผ่านนายท่านหกไป ก่อนจะเดินไปหาเฉียวเวยโดยไม่มีหยุดนิ่งสักนิด

ข้างกายเขามีศิษย์คนสนิทอย่างศิษย์พี่ห้าตามมาด้วย คาดว่าข่าวเรื่องการประลองยุทธ์คงจะรั่วไหลมาจากศิษย์พี่ห้านี่เอง

เฉียวเวยหันกลับไปเงียบๆ นางถูกรัศมีของเขาพาให้ใจสั่นสะท้านไปหมด “ท่านเป็นใครอีกเล่า”

สวี่หย่งชิงสวมเสื้อผ้าทั่วไป ไม่แปลกที่เฉียวเวยจะดูไม่ออก เขาตอบว่า “ข้าคือเจ้าสำนักซู่ซินจง แซ่สวี่”

“อ้อ เจ้าสำนักสวี่” มิน่าเล่ารัศมีถึงได้รุนแรงเช่นนี้ เฉียวเวยเอ่ยด้วยสีหน้าปกติว่า “ฮูหยินของท่านแพ้เดิมพันข้าด้วยซู่ซินจง เกรงว่านี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่ข้าจะเรียกท่านว่าเจ้าสำนักสวี่แล้ว”

สวี่หย่งชิงเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึมว่า “ภรรยากระทำการไร้สาระ จะถือเป็นจริงเป็นจังได้อย่างไร”

เฉียวเวยยิ้มเย็น “ดังนั้นท่านคิดจะไม่ยอมรับใช่หรือไม่ อันที่จริงก็ดีเหมือนกัน ข้าจะออกไปให้คนข้างนอกลองวิจารณ์กันดูสักหน่อย ให้ทุกคนได้เห็นว่าพวกท่านซู่ซินจงรังแกสตรีอ่อนแอคนหนึ่งอย่างข้าอย่างไร หนำซ้ำพอเดิมพันแพ้แล้วยังไม่ยอมชำระบัญชีอีกด้วย!”

สวี่หย่งชิงเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “คนที่เจ้าท้าทายคือซู่ซินจง ข้าต่างหากที่เป็นเจ้าสำนักซู่ซินจง

เฉียวเวยหัวเราะออกมาทีหนึ่ง “เช่นนั้นใต้เท้าเจ้าสำนัก ในเมื่อท่านไม่ยอมรับการประลองครั้งนี้ เหตุใดถึงไม่ทัดทานตั้งแต่แรก ข้าไม่เชื่อว่าท่านจะเพิ่งรู้ข่าวเอาเวลานี้ ท่านซ่อนอยู่ในมุมมืดไม่ออกมาปรากฏตัว ไม่ใช่เพราะคิดอยากให้สำนักของท่านให้บทเรียนแก่ข้างั้นหรือ พอเห็นว่าจะสั่งสอนข้าไม่ได้ผล ถึงได้วิ่งโร่ออกมาแสดงความเห็น ท่านคิดว่าทำเช่นนี้จะโน้มน้าวคนได้หรือ”

สวี่หย่งชิงขมวดคิ้ว “ข้าเพิ่งจัดการงานในมือแล้วถึงได้มาจริงๆ สำหรับเรื่องภรรยากับบุตรสาวรวมถึงศิษย์ทุกคนนั้น ข้าต้องขอโทษเจ้าด้วย พวกเขาใจร้อนกันเกินไป แต่พวกเขาไม่อาจตัดสินใจใดๆ แทนข้าได้ ซู่ซินจงเป็นของใคร ข้าต่างหากที่มีสิทธิ์ตัดสินใจ”

เฉียวเวยเอ่ยเสียงเย็นว่า “ท่านคิดจะชักดาบ! ข้าเข้าใจแล้วว่าเหตุใดพวกท่านซู่ซินจงที่มีประวัติมายาวนานเป็นร้อยปีกลับเอาชนะสมาคมกระบี่ที่เพิ่งเกิดขึ้นใหม่ไม่ได้ ก็เพราะมีเจ้าสำนักที่พูดไม่เป็นคำพูดเช่นท่านนี่เอง!”

ศิษย์พี่ห้าชักกระบี่ออกมา “ห้ามดูหมิ่นอาจารย์ข้า!”

สวี่หย่งชิงกดมือที่จะชักกระบี่ออกมาของลูกศิษย์ตนเอาไว้ “แม่นางน้อย ข้าขอบอกเจ้าไว้อย่างหนึ่ง เมื่อถึงคราวต้องยอมก็ควรยอมเสีย การมีเรื่องกับซู่ซินจง ไม่เป็นผลดีอะไรต่อเจ้า”

เฉียวเวยเอ่ยอย่างไม่เกรงกลัวว่า “ข้าก็ขอบอกท่านไว้อย่าง ว่าอย่าได้รังแกคนอ่อนแอ!”

สวี่หย่งชิงหันไปมองศิษย์สมาคมกระบี่ที่อยู่ด้านข้าง แล้วสูดหายใจเข้าลึกๆ มือที่อยู่ใต้เสื้อแขนกว้างกำเป็นหมัด “หากเจ้าสามารถหนีจากกระบวนท่าข้าได้สามท่า ตำแหน่งเจ้าสำนักข้าจะมอบให้เจ้า”

“อาจารย์!” ทุกคนพากันร้องลั่น

ขนตาของเฉียวเวยสั่นไหวเล็กน้อย อีตาคนนี้แค่ดูก็รู้ว่าเป็นยอดฝีมือไม่แพ้ยิ่นอ๋อง สลัดพวกลูกศิษย์เหล่านั้นหลายคนเกินไป อย่าว่าแต่สามกระบวนท่าเลย เกรงว่าตนแค่กระบวนท่าเดียวก็ยังหนีออกมาไม่ได้ “ท่านทำเช่นนี้ได้อย่างไร ภรรยาท่านเอาชนะข้าไม่ได้ ท่านก็จะมาเป็นกำลังเสริมให้นางอย่างนั้นหรือ ข้าจะสู้กับนาง!”

สวี่หย่งชิงเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึมว่า “สู้กับนางเป็นเพียงความแค้นส่วนตัวของพวกเจ้าเท่านั้น ไม่เกี่ยวโยงถึงซู่ซินจง หากคิดอยากได้ซู่ซินจง ก็ต้องสู้กับข้า สามกระบวนท่าตัดสินแพ้ชนะ”

นี่จะรังแกนางชัดๆ! นางจะเอาชนะเจ้าสำนักได้อย่างไร!

อย่าว่าแต่สามกระบวนท่าเลย กระบานท่าเดียวนางยังจะเอาตัวไม่รอด หากถึงสามกระยวนท่า นางคงได้ไปพบท่านยมบาลแล้ว

“เมื่อเป็นเช่นนั้น ให้ศิษย์มาขอเรียนรู้วิชาจากอาจารย์ก็แล้วกัน”

จีหมิงซิวเดินเรื่อยๆ ออกมาจากสวนดอกไม้ บรรยากาศพลันเงียบสนิท

เฉียวเวยหันไปมองคนที่เดินมาอึ้งๆ เขาส่งสายตาที่ทำให้เฉียวเวยสบายใจไปให้นาง ก่อนจะหยุดยืนลงข้างกายเฉียวเวย “จะว่าไปแล้วก็เป็นเรื่องของสตรีทั้งสิ้น ในเมื่ออาจารย์จะออกหน้าแทนอาจารย์หญิง เช่นนั้นก็โปรดอนุญาตให้ศิษย์รับกระบวนท่าแทนคู่หมั้นของศิษย์ก็แล้วกัน”

ทุกคนพากันตกใจ ศิษย์พี่สี่พูดอะไรกันนี่ แม่ครัวนางนี้เป็นคู่หมั้นของเขา

สวี่หย่งชิงขมวดคิ้ว “เจ้าจะสู้กับข้า?”

จีหมิงซิวเอ่ยด้วยสีหน้าราบเรียบ “หมิงซิวมิกล้า ไม่ว่าจะอยู่ในเวลาใด หมิงซิวไม่มีวันใช้วิชาที่อาจารย์สั่งสอนมาต่อสู้กับอาจารย์แน่นอน ข้าจะรับหมัดทั้งสามของอาจารย์ หากหลังจากผ่านสามหมัดนี้ไปแล้ว ข้ายังสามารถยืนอยู่บนเวทีได้ ก็ให้ถือว่าแม่นางเฉียวเป็นฝ่ายชนะ อาจารย์เห็นว่าอย่างไร”

สายตาของสวี่หย่งชิงสั่นไหวเล็กน้อย “เจ้ายังบาดเจ็บอยู่ รับไม่ไหวแน่”

จีหมิงซิวเอ่ยว่า “เชิญอาจารย์ร่ายกระบวนท่าได้เลย”