ห่าศรรอบหนึ่ง กลุ่มสิบกว่าคนก็พ่ายแพ้ย่อยยับแล้ว แต่เพราะม้าพาเคลื่อนไปจึงยังมีหลายคนพุ่งมาถึงหน้าร่างพวกคุณหนูจวิน
ระยะใกล้ศรย่อมไม่สะดวกแล้ว
ต่อให้เหลือเพียงไม่กี่คนก็ไม่แน่ว่าจะสู้ไม่ได้
บุรุษหลายคนที่พุ่งเข้ามาชูดาบยาวในมือขึ้น
จะสู้กันแล้ว
บุรุษที่กำหอกยาวได้สติกลับมาจากความตื่นตะลึง ชักเท้าก็พุ่งมาด้านนี้ ส่วนบุรุษสามคนที่คุ้มครองรถม้าก็หยุดตั้งนานแล้ว เวลานี้ควบม้าเลี้ยวกลับมาเช่นกันก
ผู้อื่นช่วยเหลือ พวกเขาย่อมไม่อาจวิ่งหนีไปไม่ดูไม่แลเช่นนี้ได้จริงๆ
ทว่าพวกเขาไม่กี่คนเพิ่งก้าวเท้าก็เห็นคนที่ถือคันศรเหล่านั้นพลันควบม้าถอยหลัง บุรุษหลายคนที่เหลือซึ่งอยู่ด้านหลังก้าวขึ้นมาข้างหน้า ในมือพวกเขาชูหอกยาวอยู่แล้ว
“สังหาร”
ควบคู่กับเสียงตวาดพร้อมเพรียง หอกยาวก็แทงตรงเข้าใส่เหล่าบุรุษที่พุ่งมา
บุรุษที่พุ่งรี่เข้ามาไม่ทันป้องกัน เสียงพรวดดังขึ้นทีหนึ่งถูกแทงทะลุลำคอ ไม่ทันร้องสักคำก็ล้มคว่ำกับพื้น ดาบยาวในมือล้วนยังไม่ทันฟันลงมา
“เหลือคนรอดไว้ด้วย”
บุรุษที่กำหอกยาวตะโกนเสียงดัง แต่สายไปแล้ว
โลหะปะทะกัน รวดเร็วและโหดร้าย บุรุษหลายคนที่พุ่งมาพริบตาก็ถูกแทงคว่ำกับพื้น แต่ละหอกๆ ล้วนจบชีวิต
สถานการณ์ที่เดิมอึกทึกพริบตาเดียวเงียบลง หลงเหลือเพียงเสียงกรีดร้องของอาชา
เ**้ยมเหลือเกิน
บุรุษหลายคนมองคณะของคุณหนูจวิน รู้สึกเพียงในลำคอแห้งผาก
“ทหารดี” คนหนึ่งในนั้นหลุดปากพึมพำ
คนเหล่านี้คือใคร?
มีชาวบ้านที่ไหนแข็งแกร่งปานนี้ ยังพกคันศรไว้ติดกาย ลงมือปุบก็มุ่งหมายเอาชีวิตคน?
พวกเขามองคนคณะนี้อย่างตะลึง เด็กสาวด้านนั้นก็มองมาทางบุรุษที่กำหอกยาวอยู่ด้วย
“ในเมื่อเป็นโจรเป้าหมายย่อมเป็นปล้นฆ่า รู้เป้าหมายแล้วยังเก็บคนรอดไว้ทำอะไร?” นางเอ่ยขึ้น
นี่คือกำลังตอบคำที่เขาตะโกนออกไปเมื่อครู่
บุรุษรีบเรียกสติกลับมา
“ขอรับ” เขาเอ่ย “คุณหนูพูดถูกแล้ว”
นี่คือประโยคแรกที่นางเอ่ยกับพวกเขา ตั้งแต่ปรากฏตัวจนถึงตอนนี้นางเพียงเอ่ยถามฝั่งนี้สองประโยคเท่านั้น
“พวกเจ้ากำลังทำอันใด?”
“ปล้นหรือ? พวกเจ้าเป็นโจรหรือ?”
และคำพูดนี้ก็ถามโจรกลุ่มนั้น
หลังจากนั้นก็สั่งลงมือฆ่าคน ก่อนหน้าลงมือยังให้เด็กสาวคนนั้นเล่นยิงศรด้วย
ไม่ผิด ที่ยิงโจรคนนั้นตายรวมถึงที่ยิงโจรผู้เป็นหัวหน้า สำหรับเด็กสาวคนนี้แล้วก็คือการเล่นดุจเดียวกับล่าสัตว์
เล่นพอแล้ว ผู้อื่นถึงเริ่มฆ่าล้างบาง
นี่ไม่รู้ควรพรรณนาอารมณ์ของตนออกมาอย่างไรจริงๆ
“พวกท่านเป็นใคร?” บุรุษที่กำหอกยาวเอ่ยถาม
“ชาวนา” คุณหนูจวินเอ่ย พูดจบก็ยิ้มแล้ว
หรือนางควรบอกว่าเป็นทหารด้วย?
บุรุษหลายคนได้ยินคำพูดนี้ของนางพลันสีหน้าตะลึงจากนั้นเห็นรอยยิ้มของนางก็เข้าใจ
ชาวนา เดี๋ยวนี้ชาวนาร้ายกาจปานนี้หมดแล้วรึ? คำพูดนี้น่าขำเกินไปจริงๆ
กระทั่งตัวนางเองพูดคำโกหกคำนี้ยังรู้สึกว่าน่าขำเลย
เขาจะพูดอะไร คณะของคุณหนูจวินก็เก็บคันศรหอกยาว หันหัวม้าจะไปแล้ว
นี่คือจะไปแล้ว?
“คุณหนูโปรดรอก่อน”
เสียงสตรีอ่อนโยนเสียงหนึ่งดังขึ้น
คุณหนูจวินได้ยินเสียงก็มองไป เห็นรถม้าคันนั้นเปิดออก สตรีคนหนึ่งเดินลงมา
นางอายุสี่สิบกว่าปี ใบหน้าซื่อตรงอยู่บ้าง ผนวกกับคิ้วยาวที่ชี้ขึ้นน้อยๆ ทำให้นางแลดูเคร่งขรึมอยู่นิดๆ แม้สวมใส่เสื้อนวมสีหม่นแต่ก็ปิดบังท่าทางน่าเกรงขามไม่อยู่ ไม่คล้ายชาวบ้านธรรมดา
หน้าตาของสตรีผู้นี้คล้ายเคยเห็นที่ไหนมาก่อน
ความคิดนี้แล่นผ่านในใจคุณหนูจวินอย่างไรที่มา คิดดูให้ละเอียดกลับคิดไม่ออก
หากเคยเห็นก็คงเป็นยามยังเล็กแน่ หลังติดตามอาจารย์ความทรงจำยิ่งดีขึ้นทุกวัน หากเคยเห็นจริงๆ ต้องคิดออกแน่นอน
เมื่อเห็นนางลงจากรถ บุรุษทั้งสี่คนก็รีบล้อมเข้าไปสีหน้ากังวล บุรุษที่อายุน้อยที่สุดคนหนึ่งในนั้นยื่นแขนออกมา
สตรีผู้นั้นวางมือลงบนแขนเขาอย่างเป็นธรรมชาติยิ่งนัก เดินหนึ่งก้าวมาข้างหน้าอย่างไม่ไวนัก
“ขอบคุณผู้มีพระคุณที่ช่วยเหลือ” นางคลายมือแล้วคำนับให้คุณหนูจวิน
“ไม่ต้องเกรงใจ โจรก่อเภทภัย ใครๆ เห็นย่อมต้องทำเช่นนี้” คุณหนูจวินเอ่ย
ไม่หรอกกระมัง?
ใครๆ ที่ไหนมีความสามารถเช่นนี้
บุรุษสี่คนมองนางด้วยสีหน้าปั้นยาก นอกจากนี้เห็นนางเพียงคำนับกลับบนม้า ไม่มีทีท่าจะพูดมาก
“คุณหนูคุณธรรมสูงเทียมฟ้า” นางพยักหน้าเอ่ย “ทรัพย์สินเงินทองของพวกเราหายไประหว่างหลบหนี ไร้หนทางตอบแทนน้ำใจ ละอายแล้ว”
คุณหนูจวินพลันยิ้ม
“น้ำใจของนายหญิงข้ารับไว้แล้ว” นางเอ่ย คำนับอีกครั้ง “ขอตัว”
พูดจบก็หันหัวม้า กลุ่มคนก็เปลี่ยนทางตามนางอย่างพร้อมเพรียงพรึบพรับ
“คุณหนู” นางเอ่ยเรียกอีกครั้ง จับแขนของชายหนุ่มก้าวไปข้างหน้าหลายก้าว
คุณหนูจวินหยุดหันกลับไปมองนาง
ยังต้องการเอ่ยขอบคุณอีกหรือ? สตรีคนนี้ดูแล้วออกจะเด็ดขาด ในใจหยุมหยิมเช่นนี้หรือ?
“ไม่ทราบว่าจ้างวานคุณหนูอารักขาพวกเราเดินทางเที่ยวหนึ่ง ต้องการเงินเท่าไร?” สตรีมองนางแล้วเอ่ยถาม
ฮะ
คิ้วของคุณหนูจวินเลิกขึ้นเล็กน้อย ในดวงตาประหลาดใจอยู่บ้าง
สตรีคนนี้เด็ดขาดยิ่งจริงๆ
แล้วก็กล้าคิดจริงๆ
“คุณหนูความสามารถปานนี้ดึงดูดคนยิ่งนักจริงๆ” สตรีคล้ายมองความคิดของนางออก ยื่นมือชี้พวกผู้ชายข้างกายคุณหนูจวิน รวมถึงเด็กสาวที่ปิดหน้าคนนั้นด้วย
ไม่ว่าเอ่ยขอบคุณหรือที่เอ่ยจ้างวานพวกเขาเมื่อครู่ สีหน้าพวกเขาล้วนราบเรียบไร้คลื่น คล้ายฟังไม่เข้าใจไม่สนใจสักนิด
พวกเขาย่อมไม่ใช่ไม่สนใจ แต่คำพูดเหล่านี้ล้วนไม่ใช่เรื่องที่พวกเขาต้องสนใจ สิ่งที่พวกเขาสนใจมีเพียงคำสั่งของคุณหนูท่านนี้เท่านั้น
ฆ่าคนหรือช่วยคน ลงมือรวมถึงหยุดมือ
เชื่อฟังอย่างสมบูรณ์แบบเช่นนี้ ความคิดที่รวมเป็นหนึ่งเช่นนี้ เทียบกับความสามารถในการสังหารของพวกเขาน่ากลัวยิ่งกว่า
“ข้าต้องการไปสถานที่แห่งหนึ่ง ตลอดทางพบการปล้นฆ่าหลายครั้ง” นางเอ่ยต่อ “ข้าได้รับบาดเจ็บแล้วและคนของข้าก็เหลือเพียงเท่านี้”
ได้ยินนางเอ่ยถึงตรงนี้ สีหน้าของบุรุษสี่คนก็ทั้งอับอายทั้งโศกเศร้า
“เป็นพวกเราไร้ประโยชน์” บุรุษที่เป็นหัวหน้าเอ่ยเสียงเบา ก้มหน้าส่งเสียงสะอื้น
นางยกมือไปทางเขา
“เป็นโจรโหดร้ายเกินไป นี่ไม่ใช่ความผิดของพวกเรา ไม่ต้องดูแคลนตนเองเกินไป” นางเอ่ยแล้วมองไปทางคุณหนูจวินอีกครั้ง “แน่นอนข้าทราบว่าเรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องของพวกเรา ไม่เกี่ยวข้องกับคุณหนู เพียงแต่มีวาสนาได้พบ ประหนึ่งความหวังสายหนึ่ง ดังนั้นจึงลองเอ่ยปากขอร้องดู”
น่าสนใจ
ชี้ชัดว่าตลอดทางมาพบการปล้นฆ่าหลายครั้ง นอกจากนี้ต่อไปยังต้องพบอีก ถ้าอย่างนั้นย่อมไม่มีทางเป็นพวกเขาโชคร้ายพบโจรผู้ร้ายอยู่เสมอ แต่การปล้นฆ่านี้มุ่งมาหาพวกเขา
คุณหนูจวินพลันคิดถึงจูจั้นครานั้นที่หรู่หนานขึ้นมา
“ไม่สู้เอาเช่นนี้เถอะ พวกเจ้าออกเงิน เชิญข้าคุ้มครองพวกเจ้ากลับบ้าน” เขาเลิกคิ้วเอ่ยตอนเห็นผู้ดูแลเการ่ำไห้เข้ามา ขณะที่พวกเขายังไม่ทันเอ่ยว่าจะกลับไป ยิ่งยังไม่เอ่ยถึงสถานการณ์ที่เผชิญอยู่
ไม่รู้ว่าตอนนั้นเขาคิดอย่างไรถึงเป็นฝ่ายสอดเท้าเข้ามา คงเพื่อเงินจริงๆ กระมัง
เรียบง่ายชัดเจนเด็ดขาดฉับไว
มุมปากคุณหนูจวินโค้งเล็กน้อย มองสตรีผู้นี้
“ท่านมีค่าเป็นเงินเท่าไรเล่า?” นางเอ่ยถาม