ตอนที่ 614 ช่างเป็นภาระอันแสนหวาน
หลินเว่ยเว่ยดึงเจ้าหนูน้อยเข้ามากอด “เหตุใดน้องสี่ของบ้านเราถึงเอาใส่ใจผู้อื่นขนาดนี้ ! ข้ารักเจ้ามากเลย ! ”
เจ้าหนูน้อยดิ้นออกจากอ้อมแขนของพี่รองแล้วพูดด้วยสีหน้าแดงก่ำ “พี่รอง ข้าโตแล้ว ท่านจะเข้ามากอดแล้วกอดอีกเหมือนตอนเด็ก ๆ ไม่ได้แล้วนะ ! ”
“จริงสิ เจ้าหนูน้อยของพวกเราเป็นหนุ่มน้อยแล้ว รู้จักหาเงินให้พี่สาวใช้แล้วด้วย ! ต่อไปพี่รองคนนี้จะสนับสนุนเจ้าเอง ! ” หลินเว่ยเว่ยยังเข้าไปลูบใบหน้ารูปไข่ของเจ้าหนูน้อยอีกรอบ…นางอยากจะหอมแก้มด้วยซ้ำ !
เจ้าหนูน้อยพูดด้วยรอยยิ้ม “ต้นฤดูใบไม้ผลิปีหน้า ข้าจะเลี้ยงกระต่ายให้มากกว่าเดิมแล้วเอาเงินที่หามาได้ให้พี่รองใช้อีก วันหน้าข้าจะสอบเป็นจอหงวนและร้ายกาจกว่าพี่เขยรองด้วย ทำให้เขาไม่กล้ารังแกข้า ! ”
“คุยโวไปเถิดเจ้าน่ะ ! ” หลินจื่อเหยียนไม่คิดว่าเจ้าหนูน้อยจะเหนือกว่าพี่เขยรองได้…เจ้าตัวแสบแค่พูดไม่กี่คำก็ทำให้พี่รองมีความสุขได้แล้ว !
หลินเว่ยเว่ยพยักหน้าแล้วทำให้ดูเป็นเรื่องใหญ่โต “วันหน้าน้องชายทั้งสองทางบ้านมารดาของข้าจะเป็นขุนนาง ถ้าใครกล้ารังแกข้าก็จับมันมาโบยแล้วโยนเข้าคุกไปเลย ! ”
“ไอโหยว ! คึกคักกันเชียว ! ” หมินหวางเฟยและนางเฝิงเดินจูงมือกันเข้ามา หลังแม่ทัพหลินเห็นแบบนั้นแล้วก็วางเส้นไหมพรมลงและกวักมือเรียกบุตรชายคนโต ก่อนจะพากันเดินออกไป เจ้าหนูน้อยมองบิดาและพี่ชาย ก่อนจะหันมามองมารดาและพี่รองอีกครั้ง ท้ายที่สุดเขาก็อาศัยที่ตัวเองอายุยังน้อยขออยู่กินขนมต่ออย่างหน้าไม่อาย
หลินเว่ยเว่ยเชิญแม่สามีทั้งสองมานั่งที่เตียงเตา ส่วนตัวเองก็ออกไปยกขนมเข้ามาอีก 2 ถาด “หมู่เฟย แม่สามี ท่านแม่ ลองชิมสินค้าใหม่ที่ข้าจะวางขายในร้านเมล็ดคั่วเจ้าค่ะ…ถั่วลันเตาอบกรอบกับโมจิสอดไส้ (ลั่วหมี่ฉือ) ! ”
หมินหวางเฟยเหมือนกับเจียงโม่หานคือชอบกินขนมหวาน ก่อนอื่นนางหยิบโมจิไส้ถั่วขึ้นมา รสสัมผัสนุ่ม หอม หวาน อร่อยกำลังพอดี ถือว่าถูกปากนางสุด ๆ “สิ่งนี้เป็นขนมไม่ใช่หรอกหรือ ? เว่ยเอ๋อร์เตรียมจะเปิดร้านขนมหวานที่หนิงซีอีกหรือไม่ ? ”
หลินเว่ยเว่ยยิ้มพลางส่ายหน้า “ถึงแม้อำเภอหนิงซีจะใหญ่ แต่รายได้ของชาวบ้านยังไม่เท่าอำเภอเป่าชิงเลยเพคะ ลูกยังไม่มีแผนจะเปิดร้านขนมหวานตอนนี้ แค่จะขายขนมเล็ก ๆ น้อย ๆ ในมุมหนึ่งของร้านเมล็ดคั่วเท่านั้นเพคะ โมจิที่ทำจากแป้งข้าวเหนียวก็ยังมีไส้งาดำ ไส้ซานจาและไส้ถั่วแดงอีกด้วย โมจิย่อยยาก หมู่เฟยกเสวยได้อีกแค่ชิ้นเดียวเพคะ ! ”
พระหัตถ์ที่ยื่นออกไปของหมินหวางเฟยหยุดลงอย่างกะทันหัน นางหยิบไส้ถั่วแดงขึ้นมาแล้วกลอกดวงเนตรใส่อย่างแรง “ฟู่หวางของเจ้ายังไม่กล้าคุมแม่เลย แต่เจ้ากล้าคุมเข้มนัก ! ”
นางหวงกังวลว่าพระชายาจะโมโหหลินเว่ยเว่ย จึงรีบพูด “เว่ยเอ๋อร์ก็ทำไปเพราะพลานามัยของพระองค์ รอให้พระชายาหายดีแล้ว ถึงเวลานั้นอยากเสวยอะไรก็ได้หมด ไม่มีใครห้ามหรอกเพคะ”
“จะได้อย่างไรเจ้าคะ ! หมู่เฟยเสวยไปทั่วไม่ได้ ต้องทำให้สารอาหารมีความสมดุลเพคะ ! ” หลินเว่ยเว่ยไม่สนเรื่องพวกนี้หรอก ในสายตานางคือหมินหวางเฟยเป็นเหมือนเด็กคนหนึ่ง การควบคุมตัวเองแย่ยิ่งกว่าเจ้าหนูน้อย ถ้าตามพระทัยแล้ว ถึงแม้ร่างกายจะดีขนาดไหนก็พังเพราะน้ำมือของตนได้
นางเฝิงพูดด้วยรอยยิ้ม “เว่ยเอ๋อร์เป็นเด็กขี้กังวล เมื่อก่อนอยู่ฉือหลี่โกวก็คอยเป็นห่วงร่างกายของพี่สะใภ้หลิน พอถึงตำหนักหมินอ๋องก็ยังกังวลเรื่องพระวรกายของพระชายา แต่ถ้าไม่มีเว่ยเอ๋อร์คอยคุมพระชายา เรื่องพระพลานามัย จะฟื้นตัวเร็วได้ขนาดนี้หรือเพคะ ? ”
“ยังเป็นน้าเฝิงที่เข้าใจข้าและรักข้าที่สุด ! ” หลินเว่ยเว่ยโอบกอดนางเฝิง ทำตัวสนิทสนมอย่างกับอะไรดี หมินหวางเฟยและนางหวงจึงอารมณ์เสียขึ้นมาทันที
หมินหวางเฟยคิดว่าโมจิในพระหัตถ์ไม่อร่อยอีกต่อไป นางแค่นสุรเสียงดัง ฮึฮึ “บุตรสาวที่แต่งออกไปก็เหมือนน้ำที่สาดออกไปเช่นกัน ! เพิ่งกลายเป็นคนบ้านสกุลเจียงได้ไม่เท่าไรก็พูดเข้าข้างแม่สามีแล้ว ? เด็กไม่มีหัวใจ แม่กับแม่แท้ ๆ ไม่รักเจ้าหรือไร ? ”
“ดังนั้น ชาติก่อนลูกจะต้องไปช่วยชีวิตราษฎรทั้ง 9 แคว้นไว้แน่นอน ชาตินี้ถึงได้มีมารดาที่รักลูกถึง 3 คน ! หมู่เฟยช่วยรักลูกอีกหน่อย ร่วมมือกับลูกอีกนิด รีบทำให้พระวรกายกลับมาเหมือนคนปกติและให้ลูกได้เพลิดเพลินกับความอบอุ่นและความรักของมารดาไปอีกนาน ๆ เพคะ ! ” ถ้าพูดถึงเรื่องความปากหวานย่อมไม่มีใครสู้หลินเว่ยเว่ยได้
ในขณะที่หลินเว่ยเว่ยกำลังเพลิดเพลินกับขนมและสนทนากับ ‘มารดา’ ทั้งสามอยู่บนเตียงเตา ฮ่องเต้หยวนชิงที่อยู่ในเมืองหลวงก็ยื่นฎีกาจากอำเภอหนิงซีให้องค์รัชทายาททอดพระเนตร “เจียงโม่หานเพิ่งไปอำเภอหนิงซีได้แค่ครึ่งปีก็สร้างผลงานมากมายขนาดนี้แล้ว รัชทายาท เจ้าคิดอย่างไร ? ”
หลังอ่านฎีกาของเจียงโม่หานจบแล้ว องค์รัชทายาทก็ตรัสด้วยรอยยิ้ม “ยินดีกับฟู่หวงที่ได้โชคก้อนโตพ่ะย่ะค่ะ ! ”
ในสายพระเนตรขององค์รัชทายาทไม่ว่าจะเป็นเรื่องแผ้วถางที่ดินหรือซ่อมคลองในอำเภอหนิงซีก็เป็นเรื่องดีของแผ่นดิน อีกอย่างคือการซ่อมคลองในอำเภอหนิงซีไม่ได้ใช้เงินจากคลังอำเภอสักอีแปะเดียว ขุนนางดี ๆ เช่นนี้ หากมีเพิ่มอีกหลายคนหน่อย จะยังต้องกังวลว่าต้าเซี่ยไม่เจริญรุ่งเรืองอีกหรือ ?
“โชคก้อนโตอะไรกัน ! เจิ้นให้เจ้าดูจำนวนฎีกาที่เขาส่งมา ! ! ” ฮ่องเต้หยวนชิงจิบชาผลไม้เพื่อปกปิดความตื่นเต้นที่อยู่ในหทัย ถางที่ดินปีแรกก็ได้ผลผลิตข้าวโพด 500 ชั่งต่อหมู่แล้ว ซ้ำยังปลูกอยู่บนพื้นที่ดินทรายแห้งแล้งอีกด้วย ถ้าเปลี่ยนเป็นดินที่อุดมสมบูรณ์ ปริมาณจะไม่ยิ่งสูงกว่าเดิมหรือ ? ถ้าขยายออกไปแล้ว ภาคตะวันตกเฉียงเหนือและภาคเหนือที่เผชิญกับปัญหาความอดอยากทุกปีก็ไม่ต้องกังวลเรื่องปากท้องอีกใช่หรือไม่ ?
ฎีกาชุดนี้ ช่างชูกรมคลังได้อ่านแล้วยังอดขมวดคิ้วไม่ได้…จอหงวนยังเยาว์วัยก็ต้องมีความทะเยอทะยานในการสร้างผลงานอยู่บ้าง แต่รายงานปริมาณผลผลิตเท็จมาเช่นนี้ก็ต้องรู้จักคิดบ้าง…นี่มันจะเกินจริงไปหน่อย !
องค์รัชทายาทเงียบไปสักพัก ก่อนจะตรัสด้วยสุรเสียงอ่อนโยน “ทูลฟู่หวง เอ๋อร์เฉินคิดว่านายอำเภอเจียงไม่จำเป็นต้องรายงานปริมาณผลผลิตเท็จพ่ะย่ะค่ะ ! อีกอย่างคือในฎีกาก็เขียนไว้อย่างชัดเจนว่าองค์หญิงเว่ยเว่ยเป็นคนแผ้วถางที่เพาะปลูก นางโกหกเพื่อให้ผลผลิตสูงแล้วจะได้ผลประโยชน์อะไรพ่ะย่ะค่ะ ? ”
ผลประโยชน์อะไร ? แน่นอนว่าสร้างผลงานแทนสามีไงเล่า ! เรื่องนี้เจียงโม่หานอาจทำไม่ได้ แต่ด้วยความเลือดร้อนของสกุลจ้าวก็ไม่แน่ !
องค์ชายเจ็ดพลิกฎีกาไปมา ก่อนจะตรัสอย่างไม่ใส่พระทัย “ผลผลิตเป็นอย่างไรกันแน่ แค่ส่งคนไปสืบก็รู้แล้วไม่ใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ ? ฟู่หวง เอ๋อร์เฉินยินดีแบ่งเบาภาระนี้ให้พระองค์พ่ะย่ะค่ะ ! ”
“เจ้า ? อยากวิ่งออกไปให้ไวที่สุดกระมัง ! ในราชสำนักมีปัญหามากมายขนาดนี้ ไม่เห็นเจ้าจะเอามาใส่ใจ ? ” ดวงเนตรคมกริบของฮ่องเต้หยวนชิงเชือดเฉือนองค์ชายเจ็ด แต่ในหทัยยังพอฝากความหวังได้อยู่ “เอาเถิด ! รอให้ถึงฤดูใบไม้ผลิแล้วเจ้าค่อยเดินทางไปตะวันตกเฉียงเหนือ ตั้งแต่หว่านเมล็ดถึงตอนเก็บเกี่ยวต้องจับตาดูให้ดี หากได้ปริมาณนี้จริง ๆ…ก็เป็นโชคของต้าเซี่ย ! ”
พระขนงขององค์ชายเจ็ดเริ่มขมวดเข้าหากัน…ยังต้องรอถึงปีหน้า ? เอาเถิด ได้ออกไปก็ดีกว่าอุดอู้อยู่ในเมืองหลวง ไม่ต้องเผชิญหน้ากับพวกชอบหยั่งเชิงและคอยหาพรรคพวกทั้งในที่ลับและที่แจ้งเหล่านั้น ! อุตส่าห์ทำตัวเป็นองค์ชายเจ้าสำราญถึงขนาดนี้แล้ว ยังมีคนคอยสนับสนุนให้แย่งชิงบัลลังก์อยู่นั่น น่ารำคาญจะตาย !
ณ ที่ว่าการอำเภอหนิงซี ในห้องหนังสือของเจียงโม่หานมีหลินเว่ยเว่ยครองมุมหนึ่งของโต๊ะหนังสือเอาไว้ นางใช้พู่กันขนห่านเขียนและวาดภาพในสมุดส่วนตัว เจียงโม่หานที่ทำงานเสร็จแล้วก็เห็นนางกัดด้ามพู่กันพลางครุ่นคิดอะไรบางอย่างเหมือนเจอปัญหาใหญ่มา จึงถามด้วยรอยยิ้มว่า “ทำไมหรือ ? มีปัญหาก็เล่ามาให้ข้าฟังเพื่อจะได้ช่วยเจ้าคิดหาทางแก้ไข”
หลินเว่ยเว่ยวางพู่กันในมือลง แล้วเงยหน้ามองเขา “บัณฑิตน้อย เจ้าทำงานของตัวเองเสร็จแล้วหรือ ? ”