บทที่ 611 ความหวังท่ามกลางความสิ้นหวัง

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ

บทที่ 611 ความหวังท่ามกลางความสิ้นหวัง

หานเจวี๋ยสำแดงโทสะเทพอนธการอีกครั้ง ป้องกันไม่ให้จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์อันธการหนีรอดไปได้

หลังจากทำซ้ำอยู่หลายครั้ง จนเกาะลอยฟ้าสลายเป็นเถ้าธุลี ห้วงมิติมืดมิดเต็มไปด้วยพลังเวทมหาศาลคุกรุ่นของหานเจวี๋ย

เหล่าอริยะตะลึงตาค้าง แม้แต่จอมอริยะเสวียนตูก็เบิกตากว้างเช่นกัน

จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์อันธการตายแล้วหรือ

เป็นไปได้อย่างไร!

ซ้ำยังถูกสังหารด้วยพลังอันแข็งแกร่ง ไม่มีแรงต่อต้านอย่างสมบูรณ์อีกด้วย!

หานเจวี๋ยใช้แบบจำลองการทดสอบตรวจดูบริเวณโดยรอบ จนแน่ใจแล้วว่าจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์อันธการไม่อยู่แล้วจริง จากนั้นเขาก็เรียกจอค่าความสัมพันธ์ออกมา ไม่พบรูปประจำตัวของจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์อันธการแล้ว เขาพรูลมหายใจออกมา

เขาหันไปมองเหล่าอริยะ เอ่ยว่า “ควรช่วยเหลือสิ่งมีชีวิตมรรคาสวรรค์ได้แล้ว!”

เหล่าอริยะได้สติกลับมา พากันสำแดงพลังวิเศษ จับพิกัดของคุกนรกอันธการ

เมื่อจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์อันธการดับสูญ ภาพเสมือนที่ฉายในคุกนรกอันธการก็เลือนหายไปด้วย เหล่าเชลยตกตะลึง พวกเขามองเห็นไม่ชัด ไม่ทราบเลยว่าเกิดอะไรขึ้น

หานทั่วและอี๋เทียนสบตากันแวบหนึ่ง ดวงตาเต็มไปด้วยความฉงน

ศึกแห่งอริยะ สิ่งมีชีวิตสามัญล้วนมองเห็นไม่ชัดเจน

และในเวลานี้เอง ลำแสงสีดำสายแล้วสายเล่าพุ่งลงมาจากฟ้า ร่วงลงบนร่างของเชลยทุกคนในคุกนรกอันธการ

หานทั่วถูกลำแสงสีดำเข้าห่อหุ้ม ขยับเขยื้อนไม่ได้

พลังแห่งความมืดในร่างเขาเริ่มพลุ่งพล่าน เข้าสู่ชีพจรเขา แทรกซึมสู่วิญญาณของเขา

“เกิดอะไรขึ้น”

หานทั่วตื่นตระหนก หวาดผวาอย่างยิ่ง

เมื่อเผชิญหน้ากับพลังนี้ เขารู้สึกว่าร่างกายเขาไม่อยู่ในการควบคุมของตนอีกต่อไป

อี๋เทียนก็ตื่นกลัวเช่นเดียวกัน เขารับรู้ได้ชัดเจนว่าตนกำลังจะเปลี่ยนสภาพไป แต่ไม่ทราบว่าจะเป็นไปในทางดีหรือร้าย

ตูม…

คุกนรกอันธการเริ่มพังทลาย พื้นคุกแตกแยก เชลยทั้งหมดร่วงหล่นลงไป ตกอยู่ท่ามกลางความมืดมิดอันไร้ที่สิ้นสุด

อีกด้านหนึ่ง

เทพสูงสุดหนานจี๋จับตัวจักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายไว้ในทันใด เอ่ยด้วยรอยยิ้มดูแคลน “ไม่คิดเลยว่าเจ้าจะมาพึ่งพิงจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์อันธการ หาที่ตาย!”

จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายโกรธเกรี้ยวสุดขีด มองเทพสูงสุดหนานจี๋ด้วยความโกรธแค้น ทว่าไม่ได้โต้เถียง

“ไว้ชีวิตเขา”

เสียงหนึ่งแว่วขึ้น จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายได้ยินก็เบิกตากว้าง

นี่คือเสียงของหานเจวี๋ย!

เขาหันไปมอง เห็นว่าอริยะลึกลับที่มีแสงเทพส่องพร่างพราวอยู่ทั่วร่างคนนั้นกำลังจ้องมองพวกเขาอยู่

ดวงตาสองคู่สบประสานกัน จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายมองไม่เห็นสีหน้าของหานเจวี๋ย ในใจรู้สึกซับซ้อนอย่างยิ่ง

ต้นกล้าที่เขาเคยปกป้องดูแลเติบใหญ่กลายเป็นพฤกษาสูงจรดฟ้า ซ้ำยังยืนอยู่ฝั่งอริยะที่เป็นศัตรูของเขา จิตใจเขาจึงว้าวุ่นยิ่งนัก

เทพสูงสุดหนานจี๋ขมวดคิ้ว ขณะที่กำลังจะอ้าปากพูด หานเจวี๋ยเอ่ยขึ้นมาว่า “ไว้หน้าข้าสักครั้ง”

เทพสูงสุดหนานจี๋ได้ฟังสีหน้าก็แปรเปลี่ยนในทันที เผยรอยยิ้มออกมาในชั่วพริบตา

“ได้ ในเมื่อสหายเต๋าหานออกปากมา ข้าจะไม่ไว้หน้าได้อย่างไร”

เขาปล่อยมือออก หันหลังเดินออกไป ไปค้นหาคุกนรกอันธการร่วมกับเหล่าอริยะที่เหลือ

จักรพรรดิสวรรค์มองหานเจวี๋ยอยู่ไกลๆ เงียบงันไม่เอ่ยวาจา

หานเจวี๋ยเอ่ยขึ้นมา “ข้าปกป้องท่านได้ ท่านยินดีจะเข้าร่วมหรือไม่”

จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายส่ายหน้า “ไม่จำเป็น เรากลายเป็นศัตรูคู่อาฆาตกับมรรคาสวรรค์แล้ว วันหน้า เมื่ออันธการเปิดศึกกับมรรคาสวรรค์ เราก็จะไว้ชีวิตเจ้าเช่นกัน”

พอพูดจบ จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายก็หันหลังจากไป

หานเจวี๋ยขมวดคิ้ว

คำพูดนี้ของจักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายกระตุ้นจิตสังหารของเขาขึ้นมาตามสัญชาตญาณ

เขายังต้องพึ่งพามรรคาสวรรค์เป็นปราการขวางศัตรูผู้แข็งแกร่งอยู่ ย่อมไม่ต้องการให้จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายเป็นศัตรูกับมรรคาสวรรค์

จิตสังหารนี้ถูกเขายับยั้งไว้ เขาลงมือกับจักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายไม่ได้

เขาก็หันหลังให้เช่นกัน

คนสองคนที่ในวันวานมีสายสัมพันธ์ดั่งพ่อลูกกลับหันหลังเดินคนละทาง

ในอดีตเมื่อนานมาแล้ว จักรพรรดิสวรรค์ก็เคยปกป้องหานเจวี๋ยอย่างเต็มกำลังเช่นกัน ทำตามคำขอร้องทุกอย่างของหานเจวี๋ย

หานเจวี๋ยก็ไม่ได้เอาเปรียบจักรพรรดิสวรรค์ หากมิใช่เพราะเขาเข้าไปแทรกแซงชะตากรรมหลายต่อหลายครั้ง จักรพรรดิสวรรค์คงสิ้นชีพในมหาเคราะห์ครั้งก่อนไปนานแล้ว

หานเจวี๋ยหันหลังกลับ ในใจนั้นตระหนักดี

อริยะแล้วอย่างไร

นี่ก็คือชะตากรรม!

หานเจวี๋ยสามารถจับจักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายเข้าคุกสวรรค์อนธการได้ แต่ทำเช่นนั้นแล้วจะมีประโยชน์อะไร

อย่างมากจักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายก็สยบเชื่อฟังเขา ทว่าไม่อาจขจัดความเคียดแค้นชิงชังที่เขามีต่อมรรคาสวรรค์ได้

หานเจวี๋ยทอดถอนใจอยู่ภายในใจ ไม่คิดมากอีก เขาเข้าฝันจักรพรรดิเซียนกลับชาติมาเกิดทันที ให้จักรพรรดิเซียนกลับชาติมาเกิดสำแดงวิชาอัญเชิญเทพเรียกหาเขาไว้ตลอด เพื่อให้เขาพร้อมหลบหนีได้ตลอดเวลา

การเข้าฝันดำเนินไปรวดเร็วยิ่ง เมื่อหานเจวี๋ยสั่งการเสร็จก็สิ้นสุดแดนความฝันทันที จักรพรรดิเซียนกลับชาติมาเกิดยังไม่ทันได้ซักถามด้วยซ้ำ

ในเวลาต่อมา จักรพรรดิเซียนกลับชาติมาเกิดปฏิบัติตามคำสั่งของหานเจวี๋ย ร่ายวิชาอัญเชิญเทพไว้ตลอดเวลา

คลื่นวนสีดำปรากฏขึ้นด้านหลังหานเจวี๋ย ติดตามเขาไปตลอด

หลังจากเหล่าอริยะได้เห็นก็นึกแปลกใจ

พวกเขาไม่กล้าถามมาก ถึงขั้นที่ไม่กล้าใช้จิตศักดิ์สิทธิ์ตรวจสอบด้วยซ้ำ เกรงว่าจะล่วงเกินหานเจวี๋ยเข้า

ภาพที่หานเจวี๋ยสังหารจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์อันธการอย่างทรงพลังยังคงติดตาอยู่ ประทับในความทรงจำ ในใจของพวกเขาก็หวาดหวั่นยิ่งนักเช่นกัน

หานเจวี๋ยสามารถสังหารจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์อันธการได้ เช่นนั้นก็ย่อมสังหารพวกเขาได้อย่างไม่เหนือบ่ากว่าแรงเลย

พวกเขารวมพลังกันก็ยังไม่แข็งแกร่งเท่าจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์อันธการด้วยซ้ำ

….

ในส่วนลึกของความมืดมิด

จิตรับรู้ของหานทั่วค่อยๆ แจ่มชัดขึ้น เขาสัมผัสได้ว่าตนยังคงร่วงหล่นลงไปอย่างต่อเนื่อง ราวกับตกสู่หุบเหวลึก

‘เกิดอะไรขึ้น…ข้ากำลังจะตายหรือ’

หานเจวี๋ยคิดอย่างสับสนมึนงง

“ข้าสามารถช่วยเจ้าได้ ขอเพียงเจ้ายอมให้ข้าเข้าครอบครองร่างกายของเจ้า!”

เสียงของคนชุดขาวลึกลับก่อนหน้านี้แว่วขึ้นมาอีกครั้ง

“หากเป็นเช่นนี้ต่อไป เจ้าจะถูกพลังแห่งความมืดของจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์อันธการกัดกิน เจ้าจะกลายเป็นสิ่งอัปมงคลในแดนต้องห้ามอันธการ!”

“ตอนนี้เจ้าเหลือตัวเลือกเพียงอย่างเดียวเท่านั้น!”

หานทั่วได้ยินเสียงรบเร้าของอีกฝ่าย ทว่าไม่คิดจะตอบกลับ

เขานึกย้อนถึงชีวิตในชาตินี้ของตน

บางครั้งสดใส บางครั้งหม่นหมอง บางครั้งทุกข์ทรมาน และเคยโลดโผนเต็มที่

บางทีเขาคงสมควรจะปิดฉากลงตรงนี้แล้ว

ความเสียใจเพียงอย่างเดียวคือเขายังไม่ได้คืนชีพให้ท่านพ่อท่านแม่และภรรยาของตน

ผ่านพ้นมาหนึ่งแสนปี หากหานทั่วต้องการตามหาวิญญาณของพวกเขาย่อมกลายเป็นเรื่องเพ้อฝัน

‘บางทีจุดจบต่างหากที่ทำให้หลุดพ้นได้’

หานทั่วคิดอย่างขมขื่น

ในเวลานี้เอง ลำแสงสายหนึ่งส่องทะลุความมืดมิด ส่องกระทบลงบนร่างหานทั่ว

ประกายแสงสะท้อนเข้าสู่ดวงตาหานทั่ว จุดประกายความหวังในใจเขา

เขามองเห็นมือข้างหนึ่งกำลังยื่นเข้ามาหาเขา

‘นั่นคือ…’

ม่านตาของหานทั่วค่อยๆ เบิกขยาย แสดงสีหน้าราวกับไม่อยากจะเชื่อ

ที่โผล่ตามมือข้างนั้นมาคือเงาร่างหนึ่ง เป็นเงาร่างอันเลือนรางที่อยู่ในความทรงจำของเขา

ท่านพ่อ!

ใบหน้าที่เคยพร่าเลือนอยู่ในส่วนลึกของความทรงจำพลันแจ่มชัดขึ้นมา

หานทั่วตื้นตันสุดขีด อยากเอ่ยวาจา ทว่าไม่สามารถขยับปากได้

หานเจวี๋ยมีสีหน้าเรียบเฉย ดูดตัวเขาเข้าสู่แขนเสื้อ

คุกนรกอันธการพังทลาย บังเกิดแรงสั่นสะเทือนของห้วงมิติอย่างรุนแรง เหล่าอริยะสัมผัสถึงแรงสั่นสะเทือนของห้วงมิติถึงได้หาคุกนรกอันธการพบ

หลังจากช่วยเหลือสิ่งมีชีวิตมรรคาสวรรค์ออกมาได้ เหล่าอริยะต่างก็มารวมตัวกัน

หานเจวี๋ยกลับกระโจนเข้าสู่คลื่นวนสีดำของวิชาอัญเชิญเทพ เลือนหายไป

“สหายเต๋าหานล่ะ” เทพสูงสุดหนานจี๋ถามด้วยความแปลกใจ

ฉิวซีไหลตอบ “สหายเต๋าหานล่วงหน้าไปก่อนแล้ว พวกเราก็ไปกันเถอะ เลี่ยงไม่ให้ตัวตนที่อยู่เบื้องหลังจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์อันธการมาหาเรื่องพวกเรา!”

“ได้!”

เหล่าอริยะต่างหลบหนีไปทันที

ก่อนจากไปหานเจวี๋ยได้ถ่ายทอดเสียงหาฉิวซีไหลและเทพสูงสุดอู๋ฝ่า ให้พวกเขารีบแยกย้ายหลบหนี

เหล่าอริยะเร่งเดินทางข้ามห้วงมิติ ความวิตกกังวลในใจของพวกเขาไม่น้อยไปกว่าหานเจวี๋ยเลย กังวลเช่นกันว่าจะถูกผู้ทรงพลังลึกลับสังหาร

ระหว่างที่เดินทางข้ามมิติ ฝูซีเทียนเอ่ยด้วยความสะท้อนใจว่า “ไม่คิดเลยว่าสหายเต๋าหานจะแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ เกรงว่าคงพิสูจน์เสรีไปแล้ว”

ดวงตาของเหล่าอริยะฉายแววซับซ้อน

พวกเขาเฝ้ามองหานเจวี๋ยแข็งแกร่งขึ้นไปทีละขั้นๆ นำหน้าตนไปทีละน้อย ค่อยๆ ทิ้งห่างตนไป

ความสะท้อนใจนี้ยากจะบรรยายออกมาได้

จอมอริยะเสวียนตูเอ่ยว่า “ต้องเป็นอริยะเสรีแล้วอย่างแน่นอน เห็นทีว่าสหายเต๋าหานจะมีภูมิหลังอันยิ่งใหญ่ พวกเราไม่อาจมองทะลุได้”

เขาไม่เชื่อว่าหานเจวี๋ยจะฝึกบำเพ็ญจนผงาดขึ้นมาด้วยตัวคนเดียว

เดิมทีคนผู้นี้ต้องเป็นผู้ทรงพลังอยู่แล้วเป็นแน่!

………………………………………………………………