ในวันนั้นอากาศแจ่มใส
แม้อยู่ในช่วงฤดูหนาว แต่กลับไม่มีลม แสงแดดอุ่นๆ สาดส่องช่วยบรรเทาความเหน็บหนาว
เจียงซื่อนั่งมองเงาสะท้อนของคนในกระจก
หญิงสาวในกระจกสดใสประหนึ่งดอกไห่ถังที่กำลังเบ่งบาน แลดูเหมือนว่าจะยิ่งบานสะพรั่งขึ้นเรื่อยๆ
แต่ทว่าอารมณ์ของนางในตอนนี้กลับหนักอึ้ง
พี่รองเสียชีวิตในสนามรบ ส่วนสามีก็ต้องออกเดินทางไกล เรื่องราวประดังประเดเข้าใส่ประหนึ่งหินขนาดใหญ่กดทับอยู่กลางอก รอยยิ้มจางหายไปชั่วขณะ
แต่เนื่องจากตอนนี้ แผนการของเสียนเฟยและพระชายาฉีอ๋องได้ปลุกเร้าจิตวิญญาณนักสู้ในตัวของนาง นางพยายามรวบรวมสติและปลุกใจตัวเองให้ลุกขึ้นเผชิญหน้ากับศัตรู
ในสนามรบมีคมดาบฉันใด ในราชสำนัก ในวังหลวง หรือแม้แต่ในเรือนหลังก็มีการแก่งแย่งเข่นฆ่าเพื่อผลประโยชน์ฉันนั้น
ความขลาดกลัวมิใช่คุณสมบัติของนาง!
เมื่อเห็นว่าอาเฉี่ยวกำลังนำต่างหูปะการังห้อยระย้ามาใส่ให้นาง เจียงซื่อก็รีบออกปากห้าม “ข้าไม่ใส่คู่นี้ เปลี่ยนเป็นต่างหูมุกก็แล้วกัน”
การเดินทางคราวนี้ นางไม่อยากให้มีสิ่งใดพะรุงพะรังที่อาจส่งผลต่อความคล่องตัว
อาเฉี่ยววางต่างหูปะการังกลับเข้าที่เดิมก่อนจะหยิบต่างหูมุกขนาดเท่าเม็ดข้าวมาใส่ที่หูของเจียงซื่อ
“นายหญิง รถม้าของจวนฉีอ๋องมาถึงแล้วเจ้าค่ะ” อาหมานแหวกม่านเร่งรี่เข้ามาพร้อมพ่นลมหายใจสีขาวออกทางจมูก
นางถูฝ่ามือเข้าด้วยกันพร้อมสายตาแห่งความตื่นเต้น เฝ้ารอให้เจียงซื่อตอบรับ
เจียงซื่อลุกขึ้นยืนพลางกล่าว “ไปดูอาฮวนก่อน”
ในขณะนั้นท้องฟ้าเพิ่งจะสว่างได้ไม่นาน อาฮวนยังคงหลับอยู่
เจียงซื่อเดินมาที่ห้องข้าง นางพิศมองบุตรสาวที่กำลังหลับพริ้มด้วยสายตาอ่อนโยน
แม่นมถอยไปยืนด้านข้างมิได้ส่งเสียงใด
มีแม่นมทั้งหมดสองคนสลับกันดูแลอาฮวน แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าพระชายาผู้ทรงสิริโฉม ไม่ว่าจะเป็นแม่นมคนไหนล้วนแล้วแต่ไม่กล้าหายใจเสียงดังทั้งนั้น
ความรักที่ท่านอ๋องมีต่อพระชายาเป็นที่ประจักษ์ของทุกคนในจวน
นางมองดูอาฮวนอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหันไปสั่งแม่นมแผ่วเบา “ดูแลเสี่ยวจวิ้นจู่ให้ดี”
“วางพระทัยได้เพคะ” แม่นมรีบตอบ
เจียงซื่อพยักหน้าแล้วเดินออกไป ขณะที่เดินไปถึงประตู นางหันหลังกลับมามองบุตรสาวอีกครั้งแล้วจึงรับเสื้อคลุมไร้แขนจากขนจิ้งจอกหิมะมาจากอาเฉี่ยวเดินออกไป
รถม้าจวนฉีอ๋องจอดรอท่าอยู่ที่หน้าประตูจวนเยี่ยนอ๋อง พระชายาฉีอ๋องที่นั่งอยู่บนรถแทบจะรอไม่ไหว นางเลิกม่านขึ้นดูบรรยากาศด้านนอก และเห็นหญิงสาวร่างบางกำลังเดินออกมาจากจวน ซึ่งก็คือเจียงซื่ออย่างไม่ต้องสงสัย
สาวรับใช้พยุงพระชายาฉีอ๋องลงจากรถม้า นางกล่าวทักทายเจียงซื่อ
“หม่อมฉันทำให้พี่สะใภ้สี่ต้องรอนานแล้วเพคะ”
พระชายาฉีอ๋องมองไปที่เจียงซื่ออย่างพินิจพิเคราะห์
นางเป็นสตรีโฉมงามอยู่แล้ว และเมื่อสวมเสื้อคลุมขนจิ้งจอกหิมะตัดกับเรือนผมดำขลับ รับไปกับริมฝีปากสีแดงสดยิ่งทำให้งดงามจับตาขึ้นไปอีก
สายตาของพระชายาฉีอ๋องไปหยุดนิ่งเนิ่นนานอยู่บนเสื้อคลุมไร้แขนจากขนจิ้งจอกหิมะนุ่มนิ่ม นางรู้สึกปวดใจ
นางก็เคยมีเสื้อคลุมขนจิ้งจอกหิมะชั้นดีอยู่ตัวหนึ่ง มันมาพร้อมกับสินเดิมในตอนที่นางออกเรือน แต่เพราะใส่จนเก่าแล้ว ไม่สามารถใส่ออกไปไหนมาไหนได้จึงถูกยัดไว้ที่ก้นหีบ ตั้งแต่นั้นมานางก็ไม่เคยซื้อตัวใหม่อีกเลย
และสุดท้ายเสื้อคลุมขนจิ้งจอกหิมะที่ก้นหีบตัวนั้นก็ถูกกำจัด โดยการที่นางสั่งให้บ่าวรับใช้นำมันไปขายแลกเงินสำหรับมาจับจ่ายใช้สอยในจวน
ยิ่งนางคิดก็ยิ่งรู้สึกถึงความไม่ยุติธรรม
เหตุไฉนหน้าตาสะสวยของพระชายาเยี่ยนอ๋องถึงทำให้นางได้รับความรักจากผู้เป็นสามีถึงเพียงนี้ ทั้งอาภรณ์ที่นางสวม หรือข้าวของที่นางใช้ล้วนแล้วแต่เป็นของดีทั้งสิ้น อีกทั้งตั้งแต่นางแต่งงานเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของราชวงศ์ นางยังไม่เคยเห็นพระชายาเยี่ยนอ๋องต้องรู้สึกคับข้องใจเลยสักครั้ง
แล้วเหตุใดนางที่ทุ่มเทแรงกายแรงใจเพื่อจวนอ๋องยังไม่ถึงสามปี แต่กลับรู้สึกแก่ตัวลงไปมาก
เจียงซื่อสังเกตเห็นสายตาของพระชายาฉีอ๋อง นางจึงคลี่ยิ้ม “ท่านพี่สะใภ้สี่มองอะไรอยู่หรือเพคะ หม่อมฉันแต่งกายไม่เหมาะสมหรือเปล่าเพคะ”
นางกล่าวพลางก้มสำรวจแผงขนจิ้งจอกหิมะที่พาดอยู่บริเวณอก และเอ่ยด้วยความขลาดอาย “หม่อมฉันบอกบ่าวรับใช้แล้วว่าแผงขนสัตว์เช่นนี้เหมาะกับสตรีสาวเยาว์วัย ควรใส่เป็นผ้าคลุมไหล่ขนจิ้งจอกหิมะเสียมากกว่า แต่เพราะบ่าวรับใช้ชมว่าใส่แล้วสวย จึงได้ขายหน้าท่านพี่สะใภ้สี่แล้ว”
อาหมานที่ยืนอยู่ด้านหลังรีบเอ่ย “ก็ผ้าคลุมไหล่ขนจิ้งจอกหิมะพวกนั้นไม่งามเท่าตัวนี้นี่เพคะ เหนียงเหนียงเชื่อในสายตาของบ่าวเถิดนะเพคะ”
เจียงซื่อฟังแล้วจึงหันไปส่งยิ้มให้พระชายาฉีอ๋องอย่างช่วยไม่ได้
ใบหน้าของพระชายาฉีอ๋องแข็งทื่อ ในใจของนางรวดร้าวหนักกว่าเก่า
พบหน้าพระชายาฉีอ๋องทีไร นางเป็นต้องถูกยุให้หัวเสียทุกครั้งไป เมื่อครู่นางเพิ่งจะคร่ำครวญในใจว่าตัวเองไม่มีเสื้อขนสัตว์เลยสักตัว แต่กลายเป็นว่าสตรีตรงหน้ามีมากจนเลือกไม่ถูกว่าควรใส่ตัวไหน
แข่งบุญแข่งวาสนาคงไม่ได้ ในเมื่อทำอย่างไรก็ไม่ชนะสะใภ้เจียง ก็ฆ่านางให้ตายก็สิ้นเรื่อง
หึๆ รอให้ผ่านวันนี้ไปก่อนเถิด สะใภ้เจียงก็จะได้กลายไปเป็นร่างศพแช่แข็ง ต่อให้นางมีเสื้อขนสัตว์มากมายจนถมร่างได้มิดก็ไร้ประโยชน์
ถึงแม้ตอนนี้สถานะการเงินของนางจะฝืดเคืองไปบ้าง แต่เมื่อท่านอ๋องได้นั่งอยู่บนบัลลังก์ และนางได้ขึ้นเป็นฮองเฮา นางก็มิต้องกังวลอีกแล้วว่าสมบัติล้ำค่าหายากจะขาดมือ
เมื่อคิดตกเช่นนั้น อารมณ์ของพระชายาฉีอ๋องก็กลับสู่สภาวะปกติ
เจียงซื่อแอบยิ้มหยัน
แม้ว่านางในตอนนี้จะไม่ได้ใส่ใจเรื่องวัตถุนอกกาย แต่ครั้งเมื่อนางยังเป็นเด็ก นางเข้าใจความรู้สึกนั้นเป็นอย่างดี
ในตอนนั้นนางมักจะไปหาพี่สาวที่มีศักดิ์เป็นลูกพี่ลูกน้อง นางกลัวว่าพี่สาวจะหัวเราะเยาะชุดของนาง ฉะนั้นนางจึงพิถีพิถันกับการแต่งกายเป็นพิเศษ
ในเมื่อพระชายาฉีอ๋องใช้สินเดิมไปกับการทำนุบำรุงจวนอ๋อง แม้ใจของนางจะกว้างเป็นมหาสมุทร แต่ยามที่ต้องขายอาภรณ์ราคาแพง ย่อมต้องมีความรู้สึกเสียดายแวบเข้ามาบ้าง และเมื่อได้เห็นเสื้อคลุมขนจิ้งจอกหิมะของเจียงซื่อ นางจึงมีอาการตาร้อนเป็นธรรมดา ฝ่ายเจียงซื่อก็ยินดีที่ได้เห็นอีกฝ่ายมีท่าทีเช่นนี้
อะไรนะ การโอ้อวดจะทำให้ของดูราคาถูกลงงั้นหรือ นางหาได้สนใจไม่ ขอแค่อีกฝ่ายรู้สึกอัดอั้นตันใจ นางก็อารมณ์ดีแล้ว
หากจะบอกว่าเจียงซื่อเกลียดคนที่วางแผนจะฆ่านางเข้ากระดูกดำก็คงไม่ผิดนัก
เมื่อจวนหลังหนึ่งต้องอาศัยสินเดิมของพระชายาเพื่อความอยู่รอด แล้วเงินพวกนั้นน่าจะถูกใช้ไปกับเรื่องอะไรบ้าง
ก็คงไม่พ้นเรื่องอาหาร เครื่องนุ่งห่ม และใช้สำหรับการรักษาความสัมพันธ์ ทั้งที่ค่าใช้จ่ายในส่วนนี้จะมิใช่สัดส่วนหลัก แต่ถึงกระนั้นก็ยังไม่เพียงพอ จากรูปการณ์แล้วคาดว่าเงินจำนวนมากคงทุ่มไปกับการเลี้ยงคนเสียมากกว่า
แม้จะเรียกว่าเป็น ‘การเลี้ยงคน’ แต่ก็อาจหมายถึง การเลี้ยงดูนายทหารผู้ช่วยในกองบัญชาการ การเลี้ยงดูปัญญาชนไว้สำหรับเป็นที่ปรึกษา การแอบติดสินบนข้าราชการไว้ใช้งาน หรือแม้กระทั่งการฝึกกองกำลังลับ ซึ่งการทำเช่นนี้เปรียบเสมือนโพรงถ้ำที่ไม่มีจุดสิ้นสุด ต่อให้มีทรัพย์สินเงินทองมากมายเพียงใดก็ไม่มีทางถมให้เต็มได้
หากจะสรุปแล้ว สภาวะอัตคัดขัดสนของจวนฉีอ๋องเกิดจากความหน้าใหญ่ใจโตของสองสามีภรรยาคู่นี้ เพราะมิฉะนั้นหลู่อ๋องที่ถูกลดยศเป็นเพียงจวิ้นอ๋องคงไม่มีทางได้ใช้ชีวิตเลิศหรูอย่างเช่นที่ผ่านมา
การจะปีนขึ้นไปอยู่ในจุดสูงสุดเป็นเหมือนดาบสองคมก็จริง แต่การเหยียบย่ำซากกระดูกของผู้บริสุทธิ์เพื่อไปถึงจุดหมายถือว่าสมควรตาย
“สายมากแล้ว น้องสะใภ้เจ็ด เราออกเดินทางกันเถอะ” พระชายาฉีอ๋องไม่อยากรั้งรออีกต่อไป นางจึงออกปากเร่ง
ทั้งสองขึ้นไปบนรถม้าของจวนตัวเอง
พระชายาฉีอ๋องมีสาวรับใช้ข้างกายคนหนึ่ง มีผอจื่ออีกสองคน ด้านนอกมีองครักษ์อีกสองนาย ภายในรถตกแต่งอย่างเรียบง่าย
เจียงซื่อมองภาพเบื้องหน้า แต่แล้วดวงตาของนางก็พลันแข็งทื่อ
เมื่อชาติที่แล้วตอนที่พระชายาฉีอ๋องชวนนางไปถวายธูปก็เป็นเช่นนี้
เพียงแต่มิใช่ฤดูกาลนี้ และเหตุผลในการไปถวายธูปก็แตกต่างออกไป แต่วิธีการพูดของนางยังคงเหมือนเดิมไม่มีผิดเพี้ยน “การไปถวายธูปเป็นเรื่องของจิตใจ ไม่จำเป็นต้องป่าวประกาศให้คนอื่นทราบ พาคนไปน้อยๆ ไม่เอิกเกริก จะได้รีบไปรีบกลับ”
แต่เมื่อมาคิดดีๆ แล้ว การพาคนไปน้อยๆ ก็สะดวกแก่การลงมือ
มุมปากของเจียงซื่อยกยิ้มหัวเราะเยาะกับความโง่เขลาของตัวเองพลางคิด ตอนนั้นข้าคงเป็นคนโง่คนหนึ่งที่ตามพระชายาฉีอ๋องไปตาย โดยไม่รู้เลยว่าหลังจากนั้นอาจิ่นจะต้องทุกข์ใจเพียงใด
รถม้าเคลื่อนตัวออกไป
นับว่ารถม้าคันนี้กว้างขวางยิ่งนัก เพราะนอกจากเจียงซื่อแล้ว ในรถม้ายังมีอาหมานด้วยอีกคน ส่วนผอจื่อและองครักษ์คอยเดินตามคุ้มกันอยู่ข้างรถ
อาหมานตื่นเต้นดีใจ นางเลิกม่านขึ้นดูทิวทัศน์ด้านนอกพร้อมกับหัวใจที่พร้อมจะโบยบินไปทุกเมื่อ
“อาหมาน...” เจียงซื่อขานเรียก
อาหมานรีบปล่อยม่านลงและหันมาถาม “นายหญิงมีสิ่งใดรับสั่งหรือเจ้าคะ”