ตอนที่ 479 เทพแห่งท้องทะเล ท่านขาด

ศิษย์พี่ของข้าจะมั่นคงเกินไปแล้ว

ตอนที่ 479 เทพแห่งท้องทะเล ท่านขาดศิษย์หญิงหรือไม่? (1)

เมื่อออกจากหอสมบัติหลิงเซียวแล้ว ในระหว่างทางกลับไปยังที่พำนักของเทพแห่งท้องทะเล หลี่ฉางโซ่วก็หรี่ตาและแย้มยิ้ม

เขารู้สึกว่าการใช้ตำแหน่งหน้าที่ของเขาเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวนั้น นับว่าไม่เลวเลย…

ไม่ นั่นไม่ถูกต้อง ทั้งเรื่องส่วนรวมและเรื่องส่วนตัวล้วนเป็นประโยชน์ทั้งนั้น จะเรียกว่าใช้อำนาจในทางมิชอบเพื่อประโยชน์ส่วนตนได้อย่างไรเล่า?

ในขณะนั้น หลี่ฉางโซ่วรู้สึกสบายอย่างยิ่งเมื่อมองไปที่แผนภาพอุทกศาสตร์ต้าอวี่ ซึ่งเปล่งแสงสีทองอยู่ในแขนเสื้อของเขา

ซึ่งนั่นย่อมช่วยให้เขาได้บุญมหาศาล!

ในอีกสักพักหนึ่ง สมบัตินั้นจะต้องได้รับการปรับแต่งเล็กน้อยเพื่อให้กลายเป็นสมบัติวิญญาณบุญโฮ่วเทียนชั้นยอดที่สามารถโจมตีและป้องกันได้!

ตามที่หลี่ฉางโซ่วคาดการณ์เอาไว้ หากเขาสำรวจแม่น้ำและทะเลสาบเสร็จ เต๋าสวรรค์จะยังคงให้ผลบุญกับเขา และบางที สมบัติชิ้นนี้ ยังอาจพัฒนาได้อีก! ดังนั้น เพียงเมื่อเขาเพิ่งออกมาจากหอสมบัติหลิงเซียวแล้ว ในตอนนี้ หลี่ฉางโซ่วจึงรู้สึกประทับใจเล็กน้อยเมื่อเห็นสายตาสื่ออารมณ์ขององค์เง็กเซียน …

เขารู้สึกอายเล็กน้อย

แผนปราบมังกรสิบสองปีได้เปิดใช้งานอย่างสมบูรณ์เต็มที่ หลี่ฉางโซ่วได้เตรียมการเอาไว้แล้ว ต่อไปนี้เขาจะไม่ทำทุกอย่างด้วยตัวเอง

หลังจากเยี่ยมชมสำนักบำเพ็ญเต๋าฉาน และสำนักบำเพ็ญเต๋าเจี๋ยแล้ว เขาก็จะไปทักทายราชามังกรทะเลบูรพาที่วังมังกร จากนั้นเขาก็จะเดินทางท่องไปทั่วดินแดนเทวะทักษิณและรอให้งานเลี้ยงผลท้อเซียนเริ่มขึ้น

ไม่ว่าแผนนี้จะมีประสิทธิภาพมากที่สุดหรือไม่นั้น ความจริงแล้ว มันก็ยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่

แต่สำหรับหลี่ฉางโซ่วแล้ว นั่นเป็นแผนการที่มั่นคงที่สุด ทั้งยังเป็นแผนการที่เขาดำเนินการได้โดยไม่กระทบล่วงเกินทั้งสองฝ่าย…

เมื่อกลับมายังที่พำนักของเทพแห่งท้องทะเลแล้ว หลี่ฉางโซ่วก็วางกระบี่สังหารปีศาจของจักรพรรดิสวรรค์เอาไว้ในตำแหน่งที่โดดเด่นสะดุดตามากที่สุดในห้องโถงใหญ่และทำการโค้งคารวะเต๋าให้

จากนั้น เขาก็เลื่อนเก้าอี้โยกและนั่งอาบแสงแดดแห่งศาลสวรรค์ขณะรอแม่ทัพตงมู่มาส่งมอบผลท้อเซียนให้

มีแม่ทัพสวรรค์ผู้หนึ่งนำน้ำชามาและเทพธิดาแห่งสระหยกก็นำถาดผลไม้ที่พระแม่หวังหมู่ทรงประทาน มามอบให้ หลี่ฉางโซ่วเพลิดเพลินกับมันอย่างสบายๆ … แม้ตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์จะมีรสชาติในการดื่มกินขาดหายไปเล็กน้อย แต่เขาก็ยังต้องจัดการ

หากเขาไม่มีตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์มากมาย ชีวิตของเขาในศาลสวรรค์ย่อมจะไร้กังวล แสนสบาย และน่าเบื่ออย่างยิ่ง

เมื่อพูดถึงพระแม่หวังหมู่แล้ว หลี่ฉางโซ่วก็ยังไม่เคยเห็นรูปลักษณ์ที่แท้จริงของเทียนโฮ่ว[1]เลย นับตั้งแต่เขาขึ้นสู่สวรรค์

ความจริงแล้ว หลี่ฉางโซ่วจงใจหลีกเลี่ยงพระแม่หวังหมู่ จึงไม่ได้ไปเยี่ยมนาง

หลีกเลี่ยงความสงสัย?

ไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้น

หลี่ฉางโซ่วไม่ได้ถือดีจนคิดว่าตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ของเขาที่อยู่ในรูปของชายแก่หง่อมนี้จะถูกผู้อื่นเข้าใจผิด โดยปกติแล้ว เขาไม่ได้มีปฏิสัมพันธ์กับเซียนสตรีด้วยซ้ำ อย่างมากที่สุด เขาก็จะล้อเล่นสนุกๆ กับเหล่าแม่ทัพสวรรค์เท่านั้น

หลี่ฉางโซ่วจะไม่ไปพบพระแม่หวังหมู่เพราะเขากังวลว่าองค์เง็กเซียนและพระแม่หวังหมู่จะมีความขัดแย้งต่อกันในเรื่องอำนาจแห่งศาลสวรรค์

พระแม่หวังหมู่ก็คล้ายกับองค์เง็กเซียน ในตอนนั้น บรรพชนเต๋าได้ปล่อยให้ทั้งสองคนจัดการศาลสวรรค์

ในนามแล้ว พระราชอำนาจของพระแม่หวังหมู่นั้น ไม่ได้ด้อยไปกว่าองค์เง็กเซียนเลย

ตอนนี้ หลี่ฉางโซ่วไม่เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างองค์เง็กเซียนและพระแม่หวังหมู่ ทว่าอำนาจของศาลสวรรค์ถูกรวบรวมเอาไว้ในมือขององค์เง็กเซียนในขณะที่พระแม่หวังหมู่ทรงบำเพ็ญเพียรอยู่ในสระหยกเท่านั้น

ดังนั้นจึงมีความเสี่ยงที่จะถูกองค์เง็กเซียนเข้าใจผิดได้หากเขาจะไปเยี่ยมเยือนพระแม่หวังหมู่ก่อน แต่เขาจะไม่สูญเสียอะไรหากไม่ได้ไปเยี่ยมพระแม่หวังหมู่

เมื่อเปรียบเทียบทั้งสองอย่างแล้ว มันย่อมจะง่ายกว่าที่จะใช้วิธีจัดการง่ายๆ แล้วคำว่า ‘มั่นคง’ ก็มาจากแก่นหลักของเขา

เมื่อความคิดเหล่านี้ผุดขึ้นมาในใจ หลี่ฉางโซ่วก็หัวเราะเบาๆ จากนั้น ตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ชราหลับตา ทำสมาธิตรงนั้น ท่ามกลางเสียงลม เสียงกระซิบกระซาบอยู่นอกกำแพง เสียงฝีเท้าที่เป็นระเบียบของเหล่าทหารสวรรค์ที่เดินตรวจตรา และเสียงหัวเราะนุ่มนวลเบาๆ ของเทพธิดาบนภูเขาอมตะแห่งหนึ่งที่อยู่ห่างไกล

ในขณะนั้น เขาได้ยินเสียงดังเข้ามาในหู แต่มันไม่ได้อยู่ในใจเขา[2]

เหตุผลแท้จริงที่เขาไปสำนักบำเพ็ญเต๋าฉาน และสำนักบำเพ็ญเต๋าเจี๋ยเพื่อพบกับผู้รับผิดชอบดูแลกิจการในสำนักนั้น ความจริงแล้ว ก็เพื่อพบกับกวงเฉิงจื่อและนักพรตเต๋าตั๋วเป่า

มันง่ายที่จะพบผู้คนจากสำนักบำเพ็ญเต๋าเจี๋ย แต่รองเจ้าสำนักหรานเติ้งแห่งสำนักบำเพ็ญเต๋าฉานนั้น รับมือได้ยากกว่า เขาจึงต้องเตรียมการล่วงหน้าเพื่อป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายสร้างเรื่องยุ่งยากให้เขา

หลี่ฉางโซ่วเคยได้ยินจากแม่ทัพตงมู่ว่า ก่อนหน้านี้มีแขกไม่มากนักที่งานเลี้ยงผลท้อเซียน จึงมีผลท้อเซียนหลงเหลืออยู่ในคลังสมบัติของสระหยกเป็นจำนวนมาก ซึ่งจะกลายเป็นพลังวิญญาณแล้วสลายไปหลังจากผ่านไปหนึ่งพันปี เป็นผลให้เกิดการสูญเปล่าอย่างร้ายแรง

ดังนั้น ศาลสวรรค์จึงไม่ควรตระหนี่กับการส่งของขวัญไปยังสำนักบำเพ็ญเต๋าฉานและสำนักบำเพ็ญเต๋าเจี๋ย

แล้วข้าจะบอกพระองค์อย่างไรดีนะ ว่าข้าก็อยากกินผลท้อเช่นกัน

แม้ผลท้อเซียนจะไม่มีประโยชน์กับเขามากนัก แต่ท่านอาจารย์ ศิษย์น้องหญิง อาจารย์อา ท่านท่านปรมาจารย์ใหญ่ และภรรยาในอนาคตของเขาจะได้รับประโยชน์จากการกินพวกมันอย่างแน่นอน

หลังจากที่ศิษย์น้องหญิงของเขาทะยานขึ้นและออกมาจากการปิดด่าน ก็จะเป็นเวลาเหมาะสมทีเดียวที่จะให้นางรับผลท้อเซียนเพื่อเป็นการเฉลิมฉลอง

ขณะที่คิดถึงเรื่องนี้ หลี่ฉางโซ่วก็ทำงานหลายอย่าง เขาเพ่งจิตส่วนหนึ่งไว้ยังที่ที่พำนักของเทพแห่งท้องทะเลในศาลสวรรค์ในขณะที่คืนจิตส่วนใหญ่กลับไปที่ร่างหลักของเขา

สัมผัสเซียนรับรู้ของเขาตรวจสอบส่วนต่างๆ ของสำนักอย่างละเอียดถี่ถ้วน หลังจากแน่ใจแล้วว่าทุกอย่างเป็นปกติดีและไม่มีจิตมารใดๆ เขาจึงถอนสายตาออกมา

ในขณะนั้น ก็มีร่างงดงามลอยออกมาจากยอดเขาพิชิตสวรรค์และมุ่งหน้าไปยังยอดเขาหยกน้อย

นางเหยียบเมฆมาท่ามกลางแสงอาทิตย์ส่องกระทบก้อนเมฆจนทำให้เมฆขาวของนางดูเป็นเมฆสีรุ้ง นางอยู่ในชุดกระโปรงสีฟ้าเย็นที่ดูสวยสง่างาม นางไม่ได้หวีจอนผมตรงขมับ แต่มัดไปกับเส้นผมยาวของนางให้เป็นหางม้าธรรมดาๆ เท่านั้น ใบหน้าดุจหยกของนางดูทั้งเย็นชาและงดงามในเวลาเดียวกัน จนทำให้อดจะสงสัยไม่ได้ว่านางจะมีหน้าตาเป็นอย่างไรในยามแย้มยิ้ม

“นั่นศิษย์น้องหญิงจอมพิษตัวอันตราย นางไม่ได้เข้าปิดด่านหรือ?”

หลี่ฉางโซ่วงุนงงเช่นกัน

เขาเพิ่งช่วยนางจัดการจิตมารของนาง และบัดนี้ ก็น่าจะถึงเวลาที่นางจะตรัสรู้ได้ แล้วนางจะออกมาด้วยเหตุใดกัน?

หรือว่า นางยังรู้สึกหดหู่และทุกข์ใจอยู่?

“ช่างเถิด ข้าจะช่วยเจ้าให้ถึงที่สุดเอง ไหนๆ ก็วางหลุมหลอกทั้งทีแล้ว เช่นนั้น ก็หลอกไปให้ถึงแดนประจิม[3]”

หลี่ฉางโซ่วถอนหายใจเบาๆ และคิดจะออกไปข้างนอก เขายืนอยู่นอกหอโอสถและปิดค่ายกลต่างๆ พลางรอคอยให้โหย่วฉินเสวียนหย่าบินมาอยู่เงียบๆ

โหย่วฉินเสวียนหย่า ซึ่งเดิมทีกำลังจะมุ่งหน้าไปยังห้องเล่นไพ่เดินหมาก ครั้นเมื่อสังเกตเห็นร่างของหลี่ฉางโซ่ว นางก็หันเมฆที่อยู่ใต้ฝ่าเท้ากลับกะทันหันแล้วร่อนลงไปที่หอโอสถทันที…

เมื่อนางกระโดดลงมาจากก้อนเมฆขาว ชายกระโปรงของนางก็พลิ้วกระพือขึ้นเล็กน้อยจนเห็นเรียวเท้าดุจหยกของนางนั้น ซึ่งดูไร้ที่ติ และดูมีเสน่ห์เย้ายวนใจนัก

“ศิษย์พี่ฉางโซ่ว”

โหย่วฉินเสวียนหย่าประสานมือแล้วโค้งคารวะให้ นางเม้มริมฝีปากบางๆ เล็กน้อยและเผยรอยยิ้มบางออกมา ดวงตาของนางสุกใสกระจ่างยิ่งกว่าท้องฟ้ายามราตรี ที่ดารดาษไปด้วยดวงดาวเผยให้เห็นถึงความสงบสุขและเบิกบานในใจของนาง

“ศิษย์น้องโหย่วฉิน” หลี่ฉางโซ่วประสานมือแล้วโค้งคำนับกลับพลางแย้มยิ้มและกล่าวว่า “ในช่วงไม่นานมานี้ เจ้ามีปัญหาในการฝึกบำเพ็ญของเจ้าบ้างหรือไม่?”

โหย่วฉินเสวียนหย่าส่งเสียงพึมพำเบาๆ และพยักหน้าอย่างจริงจังพร้อมด้วยท่าทางที่ดูละอายใจเล็กน้อย…

ละอาย… ละอายใจ?

“ข้าทำให้ศิษย์พี่ต้องผิดหวังแล้ว” ใบหน้างดงามของโหย่วฉินเสวียนหย่าเต็มไปด้วยความเศร้า “ตอนที่ข้ากำลังฝึกบำเพ็ญ ข้าเกือบจะถูกจิตมารครอบงำและเอาชนะได้แล้ว แม้หัวใจเต๋าของข้าจะมั่นคงในเวลานี้ แต่จริงๆ แล้ว…”

หลี่ฉางโซ่วยิ้มและกล่าวว่า “มันเป็นเพียงจิตมารเท่านั้น พวกเราส่วนใหญ่ที่เป็นผู้ฝึกบำเพ็ญ ย่อมต้องมีประสบการณ์เผชิญกับมัน ไม่ต้องกังวลเรื่องนี้หรอก” “แต่แทนที่จะเป็นเช่นนั้น ศิษย์น้องหญิง เจ้าควรใคร่ครวญดูเถิดว่า เหตุใดหัวใจเต๋าของเจ้าถึงมีช่องว่าง และจงหลีกเลี่ยงไม่ให้ถูกจิตมารครอบงำได้อีก”

“ข้าจะจดจำสิ่งที่ท่านพูดเจ้าค่ะ ศิษย์พี่ฉางโซ่ว”

โหย่วฉินเสวียนหย่าเงยหน้าขึ้นมองหลี่ฉางโซ่วและกล่าวเบาๆ ว่า “ท่านเดินไปรอบๆ ภูเขากับข้าสักหน่อยได้หรือไม่เจ้าคะ? ข้ามีคำถามสองสามข้อที่เกี่ยวข้องกับช่องว่างในหัวใจเต๋าของข้า จึงอยากถามศิษย์พี่เจ้าค่ะ”

หลี่ฉางโซ่วเงียบงัน

หรือว่า นางอยากเล่าถึงประสบการณ์จิตมารภายในของนางให้ข้าฟัง?

คงเป็นเช่นนั้นจริงๆ

………………………………………………………………..

[1] องค์ราชินีแห่งสวรรค์

[2] ได้ยิน แต่ไม่สนใจ คล้ายเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา

[3] ปรับมาจากส่งพระเสวียนจั้ง (พระถังซัมจั๋ง)ก็ ส่งให้ถึงชมพูทวีป (แดนตะวันตกหรือแดนประจิม) หมายถึง จะช่วยคนก็ช่วยให้ถึงที่สุด จะทำอะไรก็ทำให้ถึงที่สุดหรือจนสุดทาง