บทที่ 614 ปลดผนึกคุณสมบัติ ปณิธานของจอมอริยะเสวียนตู

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ

บทที่ 614 ปลดผนึกคุณสมบัติ ปณิธานของจอมอริยะเสวียนตู

หานเจวี๋ยไม่เพียงแต่ถ่ายทอดมหามรรคต้นกำเนิดให้หานทั่วเท่านั้น ยังปลดผนึกคุณสมบัติของเขาอย่างสมบูรณ์ด้วย

สายเลือดของหานทั่วอาจจะสู้เขาไม่ได้ แต่ยอดเยี่ยมกว่าสรรพสิ่งมรรคาสวรรค์แน่นอน

หานเจวี๋ยจ้องมองหานทั่ว พึมพำว่า “อย่าทำให้ข้าผิดหวัง หวังว่าเจ้าจะกลายเป็นเทพมารอนธการตนที่สองได้สำเร็จ”

แสงเจิดจ้าแผ่ออกมารอบกายหานทั่ว เจิดจ้าพร่างพราว

ในเวลาเดียวกัน

ต่งจั๋วและมู่หรงฉี่ที่อยู่ในอาณาเขตเต๋าแห่งที่สองล้วนสัมผัสถึงกลิ่นอายสายหนึ่งที่กำลังแข็งแกร่งขึ้นอย่างรวดเร็ว

“นั่นคือเทพมารฟ้าบุพกาลอีกตนหรือ”

มู่หรงฉี่พึมพำกับตัวเอง อยารู้อยากเห็นยิ่งนัก

เขาไม่ได้โผล่หน้าออกไปดู เลี่ยงไม่ให้เป็นการรบกวนหานเจวี๋ยเข้า

หลังจากกลายเป็นเทพมารสงคราม ตบะของมู่หรงฉี่ก็พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว ทิ้งห่างจากแต่ก่อนไปมาก เขามีความสุขยิ่งนัก ฝึกบำเพ็ญทุกวันด้วยความรื่นรมย์ยิ่ง

ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้วว่าเหตุใดหานเจวี๋ยถึงชอบมานะบำเพ็ญยิ่ง

ความรู้สึกที่ได้แข็งแกร่งขึ้นช่างงดงามยิ่งกว่าประสบการณ์อื่นใดในโลกหล้า!

….

พริบตาเดียวก็ผ่านไปสิบปี

หานทั่วค่อยๆ ฟื้นคืนสติ เขาลืมตาขึ้น สิ่งแรกที่มองเห็นคือหานเจวี๋ยที่แผ่แสงเทพออกมาทั่วกาย ยังคงดูสูงส่งเลิศล้ำถึงเพียงนั้น ศักดิ์สิทธิ์ทรงพลัง

ด้วยความช่วยเหลือจากหานเจวี๋ย พลังแห่งความมืดในร่างหานทั่วถูกขจัดทิ้ง เขากำลังก้าวเข้าสู่เส้นทางแห่งมหามรรคต้นกำเนิด คุณสมบัติตื่นขึ้นมาอย่างสมบูรณ์

หานทั่วรับรู้ได้ชัดเจนว่าทุกสิ่งเปลี่ยนไปแล้ว

โลกในมุมมองของเขาแจ่มชัดขึ้นกว่าเดิม ปราณฟ้าประทานอันไร้รูปลักษณ์เลื่อนไหลผ่านหน้าเขาไปรวมกับลำธารสายน้อย

ความรู้สึกนี้…

หานทั่วรู้สึกตื่นเต้นยิ่ง รีบคุกเข่าคารวะหานเจวี๋ย โขกศีรษะให้ซ้ำๆ

“ขอบคุณท่านพ่อ”

น้ำเสียงหานทั่วเคร่งขรึม ทว่าสั่นพร่า

เขารับรู้ถึงคุณสมบัติที่เปลี่ยนแปลงไปของตน ระหว่างที่สูดหายใจสามารถดูดซับปราณฟ้าประทานไปพร้อมกันได้ ตบะเพิ่มพูนขึ้น

น่าหวาดหวั่นเหลือเกิน!

นี่น่ะหรือมหามรรคแห่งอริยะ

หานเจวี๋ยเอ่ยโดยไม่ลืมตาขึ้นเลย “วันหน้าพยายามอยู่ในแดนเซียนเข้าไว้ อย่าออกไปไหน นอกแดนเซียนมีตัวตนที่ทรงพลังกว่าข้าจับจ้องรอตะครุบอยู่มากมาย เจ้าสืบทอดสายเลือดของข้า จะถูกผู้ทรงพลังมากมายเพ่งเล็ง”

หานทั่วพยักหน้ารับ คล้ายว่าเขาจะนึกอะไรขึ้นได้ ถามออกมา “อี๋เทียนล่ะขอรับ เขาเป็นพี่น้องร่วมสาบานของข้า ท่าน…”

หานเจวี๋ยเป็นอริยะ ย่อมรู้จักคนใกล้ตัวเขา

“ข้าไม่ได้ช่วยไว้”

“เพราะเหตุใดขอรับ”

“เขาคือบุตรแห่งมรรคาสวรรค์ ว่ากันตามตรงคือเป็นตัวหมากที่มรรคาสวรรค์สร้างขึ้น มรรคาสวรรค์เบิกปัญญาก่อกำเนิดดวงจิตมรรคาสวรรค์ หากมรรคาสวรรค์มีดวงจิต ย่อมเป็นหายนะ หลักการนี้เจ้าน่าจะรู้ดี ดังนั้นข้าไม่อาจให้ความช่วยเหลืออี๋เทียนได้ หากอี๋เทียนก้าวหน้าเติบใหญ่ มีแต่จะเป็นภัยต่อแดนเซียน ความกระหายสงครามของเขาเจ้าเองก็คงรับรู้ได้”

หานเจวี๋ยกล่าวอย่างเฉยชา

หานทั่วตะลึงงัน

ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้

มิน่าเล่าไม่ว่าข้าจะทำอย่างไรก็ไล่ตามเขาไม่ทันเลย

หานทั่วเผยรอยยิ้มขมขื่นออกมา แต่แววตาของเขายังคงเด็ดเดี่ยวมุ่งมั่นยิ่ง

“เขาก็มีที่พึ่งของเขา เจ้าไม่ต้องกังวลหรอก จากนี้เจ้าก็ฝึกบำเพ็ญอยู่ที่นี่ไปก่อนเถอะ อย่าออกไป”

หานเจวี๋ยกล่าว ถึงแม้จะปลดผนึกคุณสมบัติของหานทั่วแล้ว แต่ยังคงไม่แข็งแกร่งมากพอ

หานทั่วเอ่ยถาม “แล้วเมื่อไรข้าถึงจะออกไปได้ขอรับ”

“เมื่อเจ้าสำเร็จเป็นต้าหลัว”

“ต้าหลัว…”

หานทั่วเลิกคิ้ว ด้วยคุณสมบัติของเขาในปัจจุบันนี้ การพิสูจน์ต้าหลัวมิใช่เรื่องยากแล้ว!

เวลานี้เอง หานเจวี๋ยพลันเลือนหายไป

หานทั่วตกตะลึงไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงค่อยลุกขึ้นมา เขาจะออกไปเดินดูนอกอารามเต๋า แต่ก็พลันชะงักเท้า

‘ไม่ได้!

ข้าจะทำให้ท่านพ่อผิดหวังไม่ได้!’

หานทั่วนั่งลงอีกครั้ง เริ่มฝึกบำเพ็ญ

อีกด้านหนึ่ง หานเจวี๋ยกลับมาที่เขตเซียนร้อยคีรี เขาเงยหน้ามองขึ้นไป เหล่าอริยะกลับมาแล้ว รวมตัวกันอยู่ในตำหนักเอกภพ

เขาคิดแวบหนึ่ง กระโจนออกจากแดนเซียน ไปโผล่หน้าตำหนักเอกภพบนชั้นฟ้าที่สามสิบสาม

เมื่อรับรู้ถึงกลิ่นอายของเขา ประตูใหญ่ตำหนักเอกภพพลันเปิดออก

หานเจวี๋ยเดินเข้าสู่ด้านในตำหนัก

เขาปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าเหล่าอริยะ เหล่าอริยะต่างพากันเอ่ยทักทาย

“สหายเต๋าหาน ในที่สุดเจ้าก็ปรากฏตัวแล้ว พวกเราหลงนึกว่าเจ้ายังไม่กลับมา”

“แย่เหลือเกิน ระหว่างที่พวกเราเดินทางกลับมาเผชิญกับการโจมตีเข้า สหายเต๋าฝูซีเทียนจากไปเสียแล้ว…”

“ผู้ที่อยู่เบื้องหลังจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์อันธการเป็นใครกันแน่”

“ไม่รู้เลย ข้าสังหรณ์ใจว่าวิกฤตแห่งมรรคาสวรรค์ยังไม่จบสิ้น”

….

เมื่อได้ฟังคำพูดของเหล่าอริยะ หานเจวี๋ยกวาดสายตามองเหล่าอริยะแวบหนึ่ง นอกจากฝูซีเทียนที่ไม่อยู่ อริยะที่เหลือล้วนได้รับบาดเจ็บทั้งสิ้น

สีหน้าของจอมอริยะเสวียนตูก็ไม่น่ามองยิ่งนักเช่นกัน

หานเจวี๋ยเอ่ยถาม “อาการบาดเจ็บของพวกเจ้าสาหัสมากหรือ”

จอมอริยะเสวียนตูตอบ “มีพลังงานแกร่งกล้าประการหนึ่งสะกดข่มมรรคจิตของพวกเราไว้ พวกเราต้องใช้เวลานานยิ่งกว่าจะฟื้นฟูได้”

ชั่วพริบตานั้น ภายในตำหนักพลันตกอยู่ในความเงียบงัน

หานเจวี๋ยถามต่อ “พวกเจ้าเคยติดต่อไปหาผู้อาวุโสของพวกเจ้าที่อยู่ในแดนเทพหวนปัจฉิมหรือไม่ พวกเขาว่าอย่างไรบ้าง”

“พวกเขาให้พวกเราตั้งใจดูแลมรรคาสวรรค์ ไม่จำเป็นต้องคิดมาก” เทพสูงสุดหนานจี๋ถอนหายใจพลางให้คำตอบ

หานเจวี๋ยสังเกตสีหน้าท่าทีของพวกเขา ทว่าก็คาดเดาความคิดในใจของพวกเขาไม่ได้เลย

‘ข้าอยากรู้ว่าพวกเขาทราบหรือไม่ว่าแดนเทพหวนปัจฉิมเป็นผู้บงการจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์อันธการ’ หานเจวี๋ยถามในใจ

[จำเป็นต้องหักอายุขัยสี่พันล้านปี จะดำเนินการต่อหรือไม่]

ดำเนินการต่อ!

[ไม่ทราบ]

หานเจวี๋ยไว้อาลัยอย่างเงียบงัน

ที่แท้คนพวกนี้ก็เป็นตัวหมากทั้งสิ้น ถูกปิดหูปิดตาไว้เช่นกัน

ก็นับว่าปกติยิ่ง พวกเขาคืออริยะมรรคาสวรรค์ หากเกิดเรื่องกับมรรคาสวรรค์ พวกเขาล้วนจะตายตกตามไปด้วย

จอมอริยะเสวียนตูมาทีหลัง หากทราบว่าเป็นแผนการของเหล่าผู้ทรงพลัง คาดว่าถึงตีเขาให้ตาย เขาก็ไม่มีทางมา

‘มองจากมุมนี้ แปลว่าข้าสามารถใช้ประโยชน์จากพวกเขาได้’

หานเจวี๋ยครุ่นคิดเงียบๆ อย่างไรก็ตามในด้านของมรรคาสวรรค์ พวกเขานับว่าแขวนอยู่บนเชือกเส้นเดียวกัน

จอมอริยะเสวียนตูเอ่ยขึ้นว่า “เรื่องของฝูซีเทียนพวกเราก็จัดการไม่ได้เช่นกัน พวกเราคิดหาทางเสริมกำลังให้ดวงชะตามรรคาสวรรค์เถิด ยิ่งมรรคาสวรรค์แข็งแกร่งขึ้นมาเท่าไร พวกเราก็ยิ่งปลอดภัยมากขึ้นเท่านั้น”

เหล่าอริยะพยักหน้ารับ จากนั้นก็แยกย้ายกันไป

จอมอริยะเสวียนตูถ่ายทอดเสียงมา รั้งหานเจวี๋ยเอาไว้

หลังจากอริยะรายอื่นจากไปแล้ว ประตูตำหนักเอกภพพลันปิดลง

“เรื่องนี้ผิดปกติ พวกเราต้องเร่งเข้ายึดครองแดนเซียนพิภพโดยเร็ว นำแดนเซียนพิภพมาชุบเลี้ยงให้กลายเป็นมรรคาสวรรค์” จอมอริยะเสวียนตูเอ่ยเสียงขรึม

หานเจวี๋ยถามไปว่า “เจ้าเป็นอริยะเสรี คุณสมบัติเลิศล้ำ เหตุใดต้องมาเป็นอริยะมรรคาสวรรค์ด้วย”

จอมอริยะเสวียนตูถอนหายใจพลางเอ่ยว่า “มหาเคราะห์มรรคายิ่งใหญ่ใกล้จะมาเยือนแล้ว ข้าเป็นห่วงมรรคาสวรรค์ เป็นห่วงเผ่ามนุษย์”

“เจ้าเต็มใจมาเอง หรือถูกมอบหมายให้มา”

“เรื่องนั้นมันแน่นอนอยู่แล้ว ถ้าเจ้าไม่สังหารหลี่มู่อีจะกลายมาเป็นเช่นนี้หรือ”

จอมอริยะเสวียนตูเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ การที่จู่ๆ เขาก็แสดงอารมณ์ออกมาเล็กน้อยกลับทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างเขาและหานเจวี๋ยใกล้ชิดกันมากขึ้น

จอมอริยะเสวียนตูเอ่ยต่อว่า “สำหรับมหาเคราะห์มรรคายิ่งใหญ่ ข้าคาดเดาเบื้องต้นเอาไว้แล้ว แต่ตอนนี้ยังไม่สามารถยืนยันได้ สาเหตุที่ข้าหมายตาแดนเซียนพิภพ ก็เพราะกลัวว่ามรรคาสวรรค์จะล่มสลาย หากวันนั้นมาถึงจริงๆ ข้าก็สามารถอพยพสรรพสิ่งมรรคาสวรรค์ไปยังแดนเซียนพิภพได้ เช่นเดียวกับที่บรรพชนเต๋าก่อตั้งแดนเซียนขึ้น พลิกฟ้าเปลี่ยนตะวัน”

มุมมองที่หานเจวี๋ยมีต่อจอมอริยะเสวียนตูแปรเปลี่ยนไป

มิใช่ผู้บำเพ็ญทุกคนที่ทุ่มเทเพื่ออำนาจสุดแข็งแกร่ง ยังมีคนที่โอบอุ้มปณิธานอย่างอื่นเอาไว้เช่นกัน

ทั้งสองเริ่มหารือกันว่าจะพัฒนามิติวัฏจักรอย่างไร

ตอนนี้อุปสรรคที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของมิติวัฏจักรคือเทพมารฟ้าบุพกาลตนนั้นที่ซ่อนตัวอยู่ในแดนเซียนพิภพรวมถึงมิติไร้ขอบเขตด้วย

ผู้อยู่เบื้องหลังมิติไร้ขอบเขตคืออริยะรายหนึ่ง สังเวยสามศพพิสูจน์มรรค แข็งแกร่งกว่าอริยะมรรคาสวรรค์ แต่สู้อริยะที่อาศัยพลังพิสูจน์มรรคไม่ได้

ก่อนหน้านี้จอมอริยะเสวียนตูเป็นอริยะเสรี ตอนนี้หานเจวี๋ยก็เป็นอริยะเสรีเช่นกัน ดังนั้นไม่จำเป็นต้องกังวลกับมิติไร้ขอบเขตเลย

ต้องกำจัดเทพมารฟ้าบุพกาลตนนั้นก่อน!

………………………………………………………………