บทที่ 642 ไม่ยินยอมอีกต่อไป
บทที่ 642 ไม่ยินยอมอีกต่อไป
ทางด้านอ๋องเหลียงได้มาถึงคฤหาสน์ตระกูลฉู่พร้อมกับคนของเขาแล้ว
ฉู่จงเทียนและฉินหว่านหรูออกมาต้อนรับเมื่อได้รับข่าวการมาถึงของอีกฝ่าย “ทำไมท่านอ๋องเหลียงจึงกลับมาเร็วเช่นนี้?”
ก่อนหน้านี้อ๋องเหลียงได้เดินทางมาที่คฤหาสน์ตระกูลฉู่ก่อนเพื่อยกเลิกข้อกล่าวหาทั้งหมดที่ตระกูลฉู่ถูกต้องสงสัยในเรื่องคดีสินบน จากนั้น อ๋องเหลียงจึงมุ่งหน้าไปยังจวนผู้ตรวจการ
อ๋องเหลียงเยาะเย้ย “ทำไมพวกเจ้าทั้งสองยังกล้าถามคำถามที่รู้คำตอบอยู่แล้วเช่นนี้!? กองทัพผ้าคลุมสีชาดของพวกเจ้ากล้าดียังไงถึงกล้าขัดขืนพระราชโองการขององค์จักรพรรดิ!”
สีหน้าของฉู่จงเทียนเริ่มสับสน เขาพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “เราได้ยินมาบ้างแล้วเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้น แต่ก็ยังยากที่จะเชื่อ น่าจะมีความเข้าใจผิดบางอย่างเกิดขึ้น ซูอันจะไปเกี่ยวข้องกับองค์จักรพรรดิได้อย่างไร? นับประสาอะไรกับการหาญกล้าไปขโมยของของพระองค์”
อ๋องเหลียงส่งเสียงขู่ เขาชี้ไปที่ทูตยุทธ์เสื้อแพรแล้วกล่าวว่า “อ๋องฉู่ เจ้าควรรู้ว่าคนเหล่านี้เป็นใคร! ฝ่าบาทได้ส่งทูตยุทธ์เสื้อแพรมาแล้ว จะเป็นความเข้าใจผิดไปได้ยังไง? สิ่งที่เขาขโมยนั้นเป็นความลับสำคัญของราชวงศ์!”
ฉู่จงเทียนทั้งกลัดกลุ้มใจทั้งสงสัยว่าซูอันจะกล้าไปยุ่งกับของของจักรพรรดิได้อย่างไร?
อย่างไรก็ตาม ฉินหว่านหรูไม่ได้แค่ยืนอยู่เงียบ ๆ “ไร้สาระ! ช่างสรรหาวิธีการที่น่าขยะแขยงทุกประเภทมาใช้กับตระกูลฉู่ของเรา และพอไม่สำเร็จก็หันมาใช้เหตุผลที่น่าหัวร่อเพื่อโจมตีลูกเขยของตระกูลฉู่ เจ้าคิดว่าตระกูลฉู่ของเราเป็นพรมเช็ดเท้าที่จะเหยียบย่ำเมื่อไหร่ก็ได้หรืออย่างไร!?”
ใบหน้าของอ๋องเหลียงมืดหม่น “เจ้ากำลังพยายามจะพูดอะไร ฮูหยินฉู่? เจ้าต้องการจะเป็นกบฏงั้นเหรอ?”
“หยุดใช้ไอ้คำว่า ‘กบฏ’ ข่มขู่ข้าได้แล้ว! จักรพรรดิไม่ได้ควบคุมโลกนี้ผ่านการกบฏหรือหรือไง!?” ฉินหว่านหรูใส่อารมณ์ เป็นสัญญาณที่แสดงความโกรธของนางอย่างชัดเจน “ทุกอย่างจะต้องทำอย่างมีเหตุมีผล! ในเมื่อเจ้าปฏิเสธที่จะใช้เหตุผล เจ้าจะโทษเราที่พลิกโต๊ะไม่ได้หรอก มาดูกันว่าเจ้าจะอธิบายเหตุผลต่าง ๆ ให้โลกเข้าใจได้อย่างไร?! กองทัพผ้าคลุมสีชาดอยู่ที่ไหน!”
“เราอยู่ที่นี่! ฮูหยิน!” ทหารกองทัพผ้าคลุมสีชาดจำนวนนับพันรีบออกจากที่ซ่อนและล้อมรอบกลุ่มของอ๋องเหลียงอย่างดุดัน
แม้ว่ากองทัพผ้าคลุมสีชาดจำนวนนับพันจะกรูกันออกจากที่ซ่อนอย่างเร่งรีบ แต่เสียงฝีเท้าของพวกเขากลับเป็นระเบียบอย่างน่าประหลาด ไม่มีเสียงใดที่ไม่จำเป็น ทหารทั้งหมดจ้องมองที่อ๋องเหลียงและผู้ติดตามด้วยดวงตาที่เย็นชาและไม่สั่นคลอน
สีหน้าของอ๋องเหลียงหวั่นไหวเล็กน้อย ด้วยสายตาที่เฉียบคมของเขา สามารถบอกได้ว่านี่เป็นกองทัพทรงพลังซึ่งผ่านการสู้รบมาหลายครั้ง ราชวงศ์โจวมีความสงบสุขมานานหลายปี เขาไม่เข้าใจเลยว่าอ๋องฉู่ยังคงรักษาขุมกำลังอย่างกองทัพผ้าคลุมสีชาดให้แข็งแกร่งเหมือนยามศึกสงครามได้อย่างไร?
อย่างไรก็ตาม เขาก็ไม่ปล่อยให้ความชื่นชมมาบดบังความคิดของเขา และพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “นี่หมายความว่าอย่างไร? พวกเจ้าทั้งหมดอยากจะเป็นกบฏด้วยกันใช่หรือไม่? พวกเจ้าจะฆ่าทูตยุทธ์เสื้อแพรงั้นเหรอ?”
“อย่าพยายามขู่เข็ญพวกเรา!” ฉินหว่านหรูไม่อ่อนข้อให้อีกต่อไป “ตระกูลฉู่ของเราก่อตั้งขึ้นเมื่อพันปีก่อน แม้เราจะรักความสงบเป็นที่สุด แต่การถูกเหยียบย่ำซ้ำแล้วซ้ำเล่าเช่นนี้ พวกเราจึงไม่อาจทนได้อีกต่อไปแล้ว! อาซูเป็นบุตรเขยของตระกูลฉู่ เราจะปล่อยให้เจ้าพาเขาไปด้วยเหตุผลน่าหัวเราะอย่างการขโมยของจักรพรรดิได้อย่างไร!?”
อ๋องเหลียงมองไปที่ฉู่จงเทียนซึ่งยังคงนิ่งเงียบ “อ๋องฉู่ เจ้าเห็นด้วยกับเรื่องนี้หรือไม่?”
ฉู่จงเทียนตอบด้วยรอยยิ้มเย็นชา “แน่นอน ตระกูลฉู่ของเราไม่ชอบสร้างปัญหา แต่เราจะไม่ยอมให้คนอื่นรังแกเราง่าย ๆ”
ฉินหว่านหรูเหลือบมองสามีของนาง ปกติแล้วเขาใจดีและอ่อนโยน และนางก็กังวลเล็กน้อยว่าเขาจะยอมโอนอ่อน ไม่คิดเลยว่าครั้งนี้เขาจะเลือกที่จะยืนเคียงข้างนางอย่างเด็ดเดี่ยว
สีหน้าของฉู่จงเทียนไม่ได้ดีไปกว่าภรรยาของเขาเองสักเท่าไหร่ เห็นได้ชัดว่าเหตุผลที่อ๋องเหลียงเอ่ยออกมานั้นไร้สาระที่สุดสำหรับเขาเช่นกัน และเมื่อรวมกับเหตุการณ์เลวร้ายที่ผ่านมาที่เขาและตระกูลต้องเผชิญอย่างไร้เหตุผล คราวนี้เขาจึงโกรธขึ้นมาจริง ๆ แล้วเช่นกัน
ถ้าเขาไม่ใช้โอกาสนี้เพื่อแสดงพลังของตระกูลฉู่ แมลงเม่าเหล่านี้คงจะพากันบินมาหาพวกเขาอย่างไม่หยุดหย่อนแน่นอน
“ดี! ดีมาก!” อ๋องเหลียงหัวเราะดังลั่นก่อนจะสีหน้าจะเปลี่ยนเป็นเย็นชาในฉับพลัน “ถ้าเป็นเช่นนี้เมื่อสิบปีก่อน ข้าอาจจะยังรู้สึกหวาดหวั่นอยู่บ้าง แต่ตอนนี้การบ่มเพาะของเจ้าไม่จัดว่าสมประกอบ แถมยังอยู่ในระดับแปดเท่านั้น! เจ้าไม่มีสิทธิ์พูดแบบนี้ต่อหน้าข้า!”
ฉู่จงเทียนกล่าวด้วยเสียงหัวเราะเยือกเย็นว่า “ตระกูลฉู่ไม่เคยเน้นความแข็งแกร่งของแต่ละบุคคล แต่เน้นที่ความสามัคคีของเจตจำนง หากเจ้าคิดว่าข้าไม่มีสิทธิ์พูด ถ้าอย่างนั้นก็มาลองทำให้ข้าเงียบดูได้”
“คนพิการเช่นเจ้ากล้าท้าทายข้างั้นเหรอ ช่างน่าขันสิ้นดี!” อ๋องเหลียงเยาะเย้ย
หลิวเหย่ารีบเดินมาด้านข้างของอ๋องเหลียง “ท่านอ๋อง โปรดระวัง กองทัพผ้าคลุมสีชาดนี้ค่อนข้างจะรับมือยาก”
ประสบการณ์ก่อนหน้านี้ทำให้เขารู้สึกหวาดหวั่นอย่างชัดเจน
“ดูเหมือนว่าข้าจะต้องทดสอบพวกเจ้าทั้งหมดด้วยตัวเอง!” อ๋องเหลียงกล่าวก่อนจะพุ่งตัวเข้าหาฉู่จงเทียน อันที่จริง เขาต้องการหลีกเลี่ยงไม่ให้กองทหารราชองครักษ์ปะทะกับกองทัพผ้าคลุมสีชาดโดยตรง
มีเหตุผลสองประการ ประการแรก เขาไม่ได้พากำลังทหารมามากนัก หรือแม้ว่าจะนับรวมกองทหารของหลิวเหย่าด้วยแล้วก็ตาม กองทหารที่เขาพามายังแข็งแกร่งเป็นรองกองทัพผ้าคลุมสีชาดอยู่หลายช่วงตัว
ประการที่สอง เหตุการณ์อาจมีตัวแปรมากเกินไปหากกองทัพทั้งสองปะทะกัน หากมีอะไรผิดพลาด เขาจะปฏิเสธความรับผิดชอบได้ยาก
แม้ว่าตระกูลฉู่จะถึงคราวจบสิ้นแล้ว แต่ขั้วอำนาจอื่น ๆ ย่อมมีเรื่องให้กล่าวโทษมากมายอย่างแน่นอน เขาคงทำอะไรไม่ถูกเมื่อต้องเผชิญกับการลงโทษจากผู้ตรวจสอบของจักรพรรดิ
นี่คือเหตุผลที่เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องลงมือด้วยตัวเอง ด้วยวิธีนี้ เขาจะสามารถเลือกเวลาที่จะต่อสู้ได้และสามารถหยุดเมื่อใดก็ได้ตามที่เขาต้องการ มันขึ้นอยู่กับเขาที่จะตัดสินใจว่าตัวเองต้องการจะทำอะไร
แน่นอน สิ่งที่ได้ผลเร็วที่สุดคือการโค่นล้มผู้นำของอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว การล้มฉู่จงเทียนจะช่วยแก้ไขความยุ่งยากนี้ได้อย่างชะงักงัน
เขายิ้มเย้ยเมื่อเห็นฉู่จงเทียนซัดฝ่ามือออกตอบโต้ ระดับการบ่มเพาะของฉู่จงเทียนแค่ใกล้เคียงกับซ่างหง ซึ่งเขาเพิ่งจัดการไปได้อย่างง่ายดาย ตอนนี้ก็ถึงตาของฉู่จงเทียนที่จะต้องเผชิญชะตากรรมเดียวกัน!
ฝ่ามือของทั้งสองปะทะกันดังก้อง แต่ทันใดนั้น อ๋องเหลียงก็รู้สึกแปลกใจว่าทำไมคู่ต่อสู้ของเขาดูเหมือนออกแรงน้อยอย่างที่ไม่ควรจะเป็นราวกับออมแรงให้?
แน่นอนว่าที่เป็นเช่นนี้เพราะฉู่จงเทียนนั้นมีแผน เขาอาศัยแรงปะทะจากฝ่ามือของอีกฝ่ายเพื่อช่วยให้ตัวเองถอยร่นกลับเข้าไปหลังแนวป้องกันของกองทัพผ้าคลุมสีชาด
ประสบการณ์การต่อสู้หลายปีทำให้เขาระมัดระวังการโจมตีอย่างกะทันหัน เห็นได้ชัดว่าฉู่จงเทียนได้เตรียมการไว้ล่วงหน้าแล้ว
อ๋องเหลียงรู้สึกรำคาญ แผนของเขาถูกมองออก เขาไล่ตามฉู่จงเทียน โดยหวังว่าจะจับอีกฝ่ายได้ก่อนที่กองทัพผ้าคลุมสีชาดจะเคลื่อนไหว
แต่บรรดาทหารของกองทัพผ้าคลุมสีชาดล้วนได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี ลูกธนูจำนวนนับไม่ถ้วนถูกระดมยิงเข้าใส่เขา แต่ละดอกมีแสงสีน้ำเงินจาง ๆ เจือปน
เมื่อสัมผัสได้ถึงพลังอันน่าสะพรึงกลัวที่อยู่เบื้องหลังลูกธนูเหล่านี้ อ๋องเหลียงก็สูญเสียความมั่นใจในการไล่ล่าอย่างรวดเร็ว มือของเขายื่นไปข้างหน้าแล้ววาดออกเป็นรูปวงกลม จนเกิดเป็นม่านพลังโปร่งแสงล้อมรอบตัวเขาเอาไว้
เกิดระลอกคลื่นถี่ยิบตามพื้นผิวของม่านพลังยามที่ห่าลูกศรตกกระทบ แต่ไม่มีลูกศรใดสามารถเจาะทะลุเข้าไปได้
มีลูกธนูติดอยู่ที่พื้นผิวของทรงกลมนั้นมากขึ้นเรื่อย ๆ อ๋องเหลียงส่งเสียงคำราม ก่อนจะโบกมือส่งห่าลูกศรกลับไปทางที่พวกมันเพิ่งจากมา!