เงินมากกว่าพันตำลึงมิใช่เงินจำนวนน้อยๆ
ขนาดพระชายาฉีอ๋องที่เป็นถึงพระชายาชินอ๋องผู้ทรงสง่า เงินจำนวนมหาศาลเช่นนี้ยังผ่านมือนางไม่บ่อยนัก แต่การเห็นเงินพันตำลึงถูกนำมาบริจาคเช่นนี้ทำให้นางรู้สึกปวดใจยิ่งนัก
เงินปัจจัยที่พระชายาฉีอ๋องนำมาบริจาคคือสี่ร้อยตำลึง แม้เป็นจำนวนเงินเพียงเท่านี้ นางยังต้องกัดฟันควักออกมา
นางบริจาคสี่ร้อยตำลึง ยังไม่ได้ครึ่งหนึ่งของพระชายาเยี่ยนอ๋อง ยอดบริจาคต่างกันมากถึงขนาดนี้…
พระชายาฉีอ๋องรู้สึกขุ่นข้องหมองใจ ทว่าพยายามไม่แสดงออก นางปลอบใจตัวเอง เอาเถอะ ขาดไปเยอะหน่อยก็ช่างเถิด คราวนี้แพ้พระชายาเยี่ยนอ๋อง คราวหน้านางค่อยชดเชยให้ทีหลังก็ยังได้ แต่พระชายาเยี่ยนอ๋องสิ เกรงว่าหนนี้จะเป็นโอกาสครั้งสุดท้ายที่นางจะได้แสดงความหน้าใหญ่เช่นนี้
เมื่อคิดได้ดังนั้น ความทุกข์ใจของพระชายาฉีอ๋องก็ทุเลาลงไปมากทีเดียว สีหน้าของนางเริ่มกลับสู่สภาวะปกติ
พระรูปนั้นนับตั๋วเงินที่อาหมานนำมาถวายอย่างระมัดระวังก่อนจะบันทึกลงในใบอนุโมทนาบัตรว่า พระชายาเยี่ยนอ๋องถวายเงินปัจจัย 1800 ตำลึง
“หนึ่งพันแปดร้อยตำลึง!” สาวรับใช้ของพระชายาฉีอ๋องยกมืออุดปากที่โพล่งออกมาด้วยความตกใจ
พระชายาฉีอ๋องเหล่มองสาวรับใช้ด้วยสายตาตำหนิ ใบหน้าของหญิงรับใช้เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง เนื้อตัวของนางเริ่มสั่น
สะใภ้เจียงตั้งใจจะฉีกหน้านาง!
นี่มิใช่โอกาสพิเศษอย่างขึ้นศักราชใหม่หรืองานเทศกาลสำคัญเสียหน่อย การบริจาคเงินถวายปัจจัยก็ช่วยทำให้ดูมีหน้ามีตาแล้ว เหตุใดถึงต้องบริจาคตั้งพันแปดร้อยตำลึง!
พันแปดร้อยตำลึง นี่สะใภ้เจียงจะถวายปัจจัยหล่อพระพุทธรูปองค์เล็กหรืออย่างไร
หากเจียงซื่อถวายเพียงหนึ่งพันตำลึงตามที่พระชายาฉีอ๋องคาดไว้ในตอนแรก ส่วนต่างหกร้อยตำลึงยังพอปลอบใจนางได้ แต่ในเมื่อส่วนต่างมากถึงเพียงนี้ นางย่อมต้องรู้สึกละอายจนแทบจะแทรกแผ่นดินหนี
นางเตรียมเงินมาแค่สี่ร้อยตำลึง ยังไม่เศษเสี้ยวของอีกฝ่าย…ช่างน่าขายหน้า ช่างน่าขายหน้ายิ่งนัก
ในวินาทีนั้น พระชายาฉีอ๋องรู้สึกเกลียดเจียงซื่อเข้ากระดูกดำ
ทั้งที่การบริจาคเงินหลักร้อยก็นับว่าไม่น้อยแล้ว แต่เหตุใดนางถึงได้รู้สึกอัปยศถึงเพียงนี้
คนชั่วอย่างสะใภ้เจียงสมควรตายจริงๆ!
พระรูปนั้นพนมมือไหว้เจียงซื่อ “พระชายาช่างเปี่ยมไปด้วยจิตใจเมตตา พระพุทธองค์จะต้องดลบันดาลให้สิ่งที่พระองค์ปรารถนาเป็นจริงอย่างแน่นอน”
เจียงซื่อตอบรับด้วยความเกรงใจ “เงินทองเป็นของนอกกาย หากนี่พอจะเป็นเครื่องยืนยันถึงความศรัทธาของข้าได้ ข้าก็รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่ง”
พระรูปนั้นนึกชมวาทศิลป์ของเจียงซื่อพลางชำเลืองสายตามองไปที่พระชายาฉีอ๋อง
เจียงซื่อมองตามด้วยใบหน้าที่ไม่สื่ออารมณ์ใด
พระชายาฉีอ๋องหรี่ตา พร้อมความคับแค้นอัดอั้นเต็มอก
เจียงซื่อคนชั่ว ตั้งใจจะทำให้นางเสียหน้าจริงๆ ด้วย นอกจากทำให้นางขายหน้าแล้ว ยังมิวายมาเยาะเย้ย!
เมื่อเห็นปฏิกิริยาของพระชายาฉีอ๋อง เจียงซื่อก็ถอนหายใจแผ่วเบา
พระชายาฉีอ๋องเพิ่งจะรู้ว่านางจงใจ สมองช้าเหลือเกิน
การโจมตีคู่ต่อสู้โดยที่อีกฝ่ายไม่ทันตั้งตัวไม่ต่างอะไรจากการสวมเสื้อแพรเดินในความมืด สะใจเหลือเกิน
พระชายาฉีอ๋องยังคงข่มกลั้นแรงปะทุอย่างสุดความสามารถ กลายเป็นหญิงรับใช้ของนางกลับเป็นฝ่ายทนไม่ไหว นางขานเรียกเจ้านาย “พระชายา…”
เงินปัจจัยที่พระชายาเตรียมมาบริจาคยังอยู่กับนาง ท่านพระอาจารย์ก็กำลังคอยอยู่ สรุปแล้วนางควรหยิบเงินสี่ร้อยตำลึงออกมาหรือเปล่า
พระชายาฉีอ๋องพยักหน้าเล็กน้อย
ตอนนี้นอกจากจะปั้นหน้าให้หนาและกลั้นใจบริจาคไป นางมีทางเลือกอื่นงั้นหรือ
เพราะจะให้บริจาคมากกว่านี้ นางก็ไม่มี หากมัวถ่วงเวลาไปเรื่อยๆ ก็มีแต่จะทำให้อับอายมากกว่าเดิม
มาจนถึงตอนนี้ พระชายาฉีอ๋องทำได้แค่ปลอบใจตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า รอให้ผ่านวันนี้ไปก่อนเถอะ สะใภ้เจียงตายเมื่อไหร่ นอกจากพระสงฆ์เหล่านี้แล้ว ก็จะไม่มีผู้ใดล่วงรู้เรื่องในวันนี้อีก
หากไม่มีใครรู้ เรื่องขายหน้าก็จะไม่น่าขายหน้าอีกต่อไป
บ่าวรับใช้ล้วงเงินปัจจัยออกมาจากแขนเสื้อแล้วส่งให้พระอาจารย์
พระรูปนั้นชำเลืองมองชั่วแวบหนึ่ง แล้วจึงเขียนใบอนุโมทนาบัตร พระชายาฉีอ๋องถวายเงินปัจจัย 400 ตำลึง
บ่าวรับใช้ประหม่าจนใบหน้าแดงระเรื่อ นางรีบเฉมองไปทางพระชายาฉีอ๋อง
พระชายาฉีอ๋องพยายามเก็บสีหน้าทั้งที่นึกเสียดายอยู่ในใจ หากรู้เช่นนี้แต่แรก สู้นางแตกตั๋วเงินมาเป็นตั๋วเงินขนาดสิบตำลึงยังดีเสียกว่า ถึงแม้เงินจะซ้อนเป็นปึกเล็กๆ แต่ก็จะได้ฉวยโอกาสตอนที่พระนับเงินเดินหนีไป แต่ในตอนนี้แค่มองปราดเดียวก็รู้จำนวนเงินทันที…
“อมิตาภพุทธ” พระรูปนั้นหันไปกล่าวขอบคุณพระชายาฉีอ๋อง แต่มิได้กล่าวเอ่ยสิ่งใดมากไปกว่านี้
แม้ปากจะบอกว่าเงินทองเป็นของนอกกาย แต่เมื่อไม่มีของแล้วไซร้จะแสดงออกถึงความศรัทธาจากใจจริงได้อย่างไร แม้กระทั่งสิ่งของยังเปรียบเทียบกันได้ยาก แล้วจะทราบได้อย่างไรว่าใครศรัทธามากกว่ากัน
เอ๋ๆ เงินปัจจัยที่พระชายาฉีอ๋องนำมาบริจาคยังไม่ได้ครึ่งของพระชายาเยี่ยนอ๋องด้วยซ้ำ มียศเป็นถึงพระชายาอ๋องเหมือนกัน แต่เหตุใดส่วนต่างถึงได้มากเพียงนี้
พระสงฆ์ครุ่นคิดในใจในขณะที่เดินนำทั้งสองไปที่ห้องพักสำหรับแขก
“เชิญพระชายาทั้งสองพักเสียหน่อยเถิด อีกสักครู่จะมีคนนำอาหารเจมาถวาย”
“รบกวนท่านอาจารย์ด้วย” พระชายาฉีอ๋องผงกศีรษะเล็กน้อย
เมื่อพระรูปนั้นเดินออกไปแล้ว พระชายาฉีอ๋องพยายามเก็บซ่อนความแค้นเอาไว้และหันไปส่งยิ้มให้เจียงซื่อ “น้องสะใภ้เจ็ดเคยทานอาหารเจของวัดไป๋อวิ๋นมาก่อนหรือไม่ อาหารของที่นี่นับว่า…”
“เคยแล้วเพคะ” เจียงซื่อเอ่ยตัดบทสั้นๆ
พระชายาฉีอ๋องชะงักงัน คำตอบของเจียงซื่อมิได้อยู่ในความคาดหมายของนาง
ตั้งแต่สะใภ้เจียงแต่งงานเข้าไปอยู่ในจวนเยี่ยนอ๋อง นางยังไม่เคยได้ยินว่านางมาถวายธูปที่วัดไป๋อวิ๋นเลยสักครั้ง
เจียงซื่อหัวเราะ “พี่สะใภ้สี่อาจไม่ทราบว่าก่อนที่หม่อมฉันจะออกเรือน หม่อมฉันเคยมาที่วัดนี้กับพี่ใหญ่ ความทรงจำในครั้งนั้นยังคงฝังลึกอยู่เลยเพคะ”
“ความทรงจำฝังลึกอย่างนั้นหรือ”
“เพคะ ระหว่างทางกลับ รถม้าที่พี่ใหญ่โดยสารมาเสียการควบคุม หลังจากนั้นสืบทราบว่ามีเข็มปักอยู่ที่สะโพกม้า มันเลยมีอาการตื่นตระหนก ในตอนนั้นหม่อมฉันโมโหมากจึงไปแจ้งความที่ศาลาว่าการพระนครด้วยตนเอง สุดท้ายน้ำลดตอผุด ถึงได้รู้ว่าเป็นฝีมือของคนชั่วอย่างจูจื่ออวี้ที่หมายจะเด็ดดอกฟ้าเลยตั้งใจจะสังหารพี่ใหญ่ที่เป็นภรรยาของตัวเองเพคะ…”
ในขณะที่เจียงซื่อเล่า สีหน้าของพระชายาฉีอ๋องก็แย่ลงเรื่อยๆ
นางนึกออกแล้ว ในตอนนั้นเรื่องที่จูจื่ออวี้ทำร้ายภรรยาลือกระฉ่อนไปทั่ว นอกจากอนาคตจะพังไม่เป็นท่า ตอนนี้เจ้าตัวได้กลายเป็นคนเสียสติไปแล้ว หนำซ้ำยังทำลายชีวิตสมรสของเซียงอ๋องและชุยหมิงเย่ว์…
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ พระชายาฉีอ๋องก็ยิ่งว้าวุ่นใจ
จุดจบของชีวิตจูจื่ออวี้น่าสลดยิ่งนัก แม้ว่าคนทั่วไปอาจไม่รับรู้เรื่องนี้ แต่ชุยหมิงเย่ว์ซึ่งมีเลือดเนื้อเชื้อไขของเชื้อพระวงศ์กลับหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย คนอื่นๆ จึงพอจะเดาได้ว่านางคงทำร้ายจูจื่ออวี้ในคืนวันแต่งงานและหนีไป
เมื่อเห็นรอยยิ้มบางๆ ของเจียงซื่อ พระชายาฉีอ๋องก็รู้สึกเย็กเยือกที่ขั้วหัวใจ นางลืมไปได้อย่างไรว่าสตรีที่อยู่เบื้องหน้าของนางในขณะนี้คือต้นเหตุจุดจบอันน่าเศร้าของจูจื่ออวี้!
หากมิใช่เพราะเจียงซื่อไปแจ้งเรื่องกับทางการ เรื่องที่จูจื่ออวี้ทำร้ายภรรยาจะแดงออกมาได้อย่างไร
เจียงซื่อยิ้มพลางถามพระชายาฉีอ๋อง “ถึงตะข่ายสวรรค์จะห่าง แต่ก็ไม่เคยรั่ว คนทำชั่วก็ย่อมได้ชั่ว ท่านพี่สะใภ้สี่คิดว่าจริงไหมเพคะ”
พระชายาฉีอ๋องฝืนยิ้มแกมพยักหน้า “น้องสะใภ้เจ็ดพูดถูก”
แต่ในใจของนางตัดสินใจแล้วว่า วันนี้นางจะไม่ปล่อยเจียงซื่อไป เพราะหากเจียงซื่อรอดไปได้ นางอาจจะกลายเป็นจูจื่ออวี้คนที่สอง หรือไม่ก็ชุยหมิงเย่ว์คนที่สอง
เดี๋ยวนะ ยังมีองค์หญิงใหญ่หรงหยางด้วยอีกคน! เพราะสะใภ้เจียงเป็นคนเอาเรื่องทั้งหมดไปฟ้องเสด็จพ่อ ถึงได้รู้ว่าองค์หญิงใหญ่หรงหยางทำร้ายมารดาของนางเมื่อหลายปีก่อน และหลังจากที่นางถูกถอดยศ นางก็ตายด้วยคมดาบของแม่ทัพชุย
สีหน้าของพระชายาฉีอ๋องเริ่มขาดสี พร้อมความคิดหนึ่งผุดขึ้นในหัว สะใภ้เจียงน่ากลัวยิ่งนัก นางต้องกำจัดให้สิ้นซาก นางจะได้สบายใจเสียที!
ไม่นานพระสงฆ์ก็นำอาหารเจเข้ามาให้ทั้งสอง แต่ไม่ว่าจะเป็นเจียงซื่อหรือพระชายาฉีอ๋องต่างก็ไม่มีใครรู้สึกอยากอาหารเลยสักคน ทั้งคู่รีบจัดการอาหาร และงีบสั้นๆ เพื่อจะได้ขึ้นรถม้ากลับเมืองหลวง