บทที่ 489 เจียวเจียวจอมเจ้าเล่ห์

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

บทที่ 489 เจียวเจียวจอมเจ้าเล่ห์

กู้เฉิงเฟิงตามหากู้เจียวทั่วทั้งกระท่อมจนแน่ใจแล้วว่านางไม่อยู่ที่นี่แน่ๆ หัวใจของเขาเริ่มรู้สึกกระตุกโหวง แน่นอนว่าเขาไม่ได้คิดว่านางจะปล่อยพวกเขาทิ้งไว้แบบนี้ เพราะถ้านางจะทำแบบนั้นนางคงทำไปนานแล้ว

ไฟเริ่มมอดลง และที่แย่กว่านั้นคือไม่มีอะไรให้กินเลย กู้เฉิงเฟิงจึงเดาว่ากู้เจียวไม่ออกไปหาอาหารก็ออกไปเก็บฟืนแน่ๆ

กู้เฉิงเฟิงจะไม่ยอมให้นางออกไปเสี่ยงอันตรายกลางป่าคนเดียว จึงตัดสินใจออกตามหานาง แต่หารู้ไม่ว่าพอเขาเปิดประตูออก ก็เจอกับร่างเล็กที่สะพายฟืนเป็นมัดๆ ไว้ที่หลัง มือข้างหนึ่งถือหนังสัตว์ ส่วนอีกข้างก็กำลังลากร่างของ… ใครสักคนกำลังเดินฝ่าหิมะด้วยท่าทีอิดโรย

ที่ดูอิดโรยคงเป็นเพราะนางอดนอนเป็นเวลานาน สองคือใช้แรงเกินกำลัง ส่วนสามนั้นคงเป็นเพราะหิมะที่กองสูงทำให้ยากต่อการเดินเท้า และไม่นับที่นางต้องแบกทั้งฟืนและลากคนติดมาด้วย

กู้เฉิงเฟิงแทบไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง

เขาเดาถูกว่านางต้องไปหาฟืน แต่ไม่คิดว่านางจะลากคนกลับมาด้วย!

กู้เฉิงเฟิงเดินฝ่าหิมะเข้าไปหากู้เจียว

พอเดินเข้าไปใกล้ๆ กู้เฉิงเฟิงถึงได้ยินเสียงลมหายใจจากร่างที่กู้เจียวลากมา ถึงได้รู้ว่าไม่ใช่ศพคน

“เกิดอะไรขึ้น อย่าบอกนะว่าเจ้าไปเก็บคนจากข้างทางมาอีกแล้วน่ะ!” กู้เฉิงเฟิงเอ่ยถามพร้อมกับแสดงสีหน้ากระอักกระอ่วน

ที่เขาพูดว่าอีกแล้ว ก็อ้างอิงจากเหตุการณ์ของจวงไทเฮากับเซียวลิ่วหลัง

กู้เฉิงเฟิงไม่รอคำตอบจากกู้เจียว เขายกมุมปากขึ้นพลางทำหน้าเหนื่อยหน่าย “นี่เจ้าเป็นพวกชอบพาคนแปลกหน้าเข้าบ้านหรืออย่างไร หรืออย่าบอกนะว่าเจ้าล่าสัตว์ไม่ได้ ก็เลยต้อง…”

“นี่เจ้าว่างมากหรือไง” กู้เจียวสวนกลับพลางหรี่ตาใส่

“เปล่าซักหน่อย” กู้เฉิงเฟิงปฏิเสธ พลางชี้นิ่วไปทางคนๆ นั้น “แล้วนั่นใครกัน”

“ก็ดูเองสิ”

กู้เฉิงเฟิงย่อเข่าลง จากนั้นค่อยๆ ปัดเศษหิมะที่ปกคลุมบนใบหน้าของคนคนนั้นออก พอได้เห็นใบหน้าที่คุ้นเคย กู้เฉิงเฟิงถึงกับตกใจลุกขึ้นยืนและถอยหลังก้าวใหญ่ทันที “ถังเย่ว์ซานนี่นา!”

กู้เฉิงเฟิงหันไปทางกู้เจียวด้วยสีหน้าราวกับไม่อยากเชื่อในสิ่งที่เห็น “นี่เจ้า เจ้าพาเขามาได้อย่างไร ไม่สิ ข้าควรถามเจ้าว่า เขาโผล่มาที่นี่ได้อย่างไร แถมยังใส่ชุด…แบบนี้อีก”

ถังเย่ว์ซานอยู่ในสภาพที่สวมชุดหนังสัตว์ทั้งตัว ไม่ว่าจะท่อนล่าง รอบขา รวมถึงหมวกเพื่อช่วยเพิ่มความอบอุ่น และยิ่งทำให้เขาดูเหมือนนักล่า

“เดี๋ยวก่อนนะ เช่นนี้ คนที่เป็นเจ้าของกระท่อมนี้…อย่าบอกนะว่าถังเย่ว์ซานน่ะ!”

กู้เจียวตอบ “ก่อนหน้านี้ไม่รู้ว่าเป็นของใคร แต่ปัจจุบันน่าจะเป็นของถังเย่ว์ซานแหละ”

“ที่พวกนั้นตามหาเขาไม่เจอก็เพราะเขามาหลบอยู่ที่นี่เองสินะ ว่าแต่ เหตุใดเขาถึงบาดเจ็บล่ะ”

กู้เฉิงเฟิงสังเกตเห็นรอยเลือดที่เสื้อของเขา เลยคิดว่าเขาน่าจะบาดเจ็บ

กู้เจียวมองไปทางที่กู้เฉิงเฟิงกำลังมอง พลางอธิบาย “รอยเลือดนี่รึ มันคืออาเจียนน่ะ เขาถูกวางยาพิษ”

“วางยาพิษอย่างนั้นรึ” กู้เฉิงเฟิงไม่เข้าใจ ถังเย่ว์ซานออกจะเป็นคนเก่งขนาดนั้น เหตุใดถึงถูกวางยาได้ล่ะ

กู้เฉิงเฟิงเคยคิดอยู่หลายครั้งว่าจะมีอะไรทำร้ายชายชาติทหารอย่างถังเย่ว์ซานได้นอกจากการต่อสู้ แทบไม่มีเรื่องยาพิษเข้ามาเกี่ยวข้องเลยแม้แต่นิด

กู้เฉิงเฟิงไม่ได้คาดหวังคำตอบจากกู้เจียวแต่อย่างใด เพราะนางเองก็เพิ่งบังเอิญเจอกับถังเย่ว์ซาน ส่วนถังเย่ว์ซานรู้ตัวหรือไม่ว่าตัวเองถูกวางยาก็ยังไม่อาจสรุปได้ ต่อให้เป็นอย่างนั้นจริงเขาคงไม่อะไรกับกู้เจียวอยู่แล้ว

“มา ข้าช่วย” กู้เฉิงเฟิงยื่นมือให้กู้เจียว

ที่จริง กู้เฉิงเฟิงไม่อยากจะช่วยถังเย่ว์ซานเลยด้วยซ้ำ คนคนนี้เป็นพวกบ้าอำนาจ ไม่รับฟังความเห็นของท่านปู่และทำให้กองทัพต้องพ่ายแพ้ แถมยังไม่ยอมส่งคนให้ท่านปู่ ซ้ำยังเป็นต้นเหตุที่ทำให้ท่านปู่ถูกจับเป็นตัวประกัน

ต่อให้ถังเย่ว์ซานตายต่อหน้าเขา เขาจะไม่ชายตามองเลยแม้แต่นิด

แต่คราวนี้ เป็นกู้เจียวที่พาร่างของเขากลับมา กู้เฉิงเฟิงคิดแล้วคิดอีก สุดท้ายก็ได้ข้อสรุปว่าเขาไม่ควรไปยุ่งธุระระหว่างนางกับถังเย่ว์ซาน

ทว่าเขาต้องเตือนนางถึงเรื่องสถานะของพวกเขา “อย่าหาว่าข้าไม่เตือนล่ะ เจ้าเป็นคนทำร้ายถังหมิง ไม่มีวันที่ถังเย่ว์ซานกับเจ้าจะอยู่ร่วมแผ่นดินเดียวกันได้ และเขาจะไม่ปล่อยเจ้าลอยนวลไปง่ายๆ แน่นอน”

“อืม” กู้เจียวขานรับ

“แล้วยังจะช่วยเขาอีกรึ” กู้เฉิงเฟิงไม่เข้าใจ

“ในบรรดาพวกเจ้า เขาแข็งแรงสุด” กู้เจียวเอ่ย

กู้เฉิงเฟิงก้มลงมองดูร่างตัวเองที่เต็มไปด้วยผ้าพันแผล จากนั้นนึกถึงท่านปู่ที่กำลังนอนติดเตียง ก็เลยเถียงไม่ออก

หากวันใดวันหนึ่งพวกทหารบุกเข้ามา นอกจากเด็กนี่แล้ว ดูเหมือนคงต้องพึ่งคนอย่างถังเย่ว์ซานอีกแรงจริงๆ

แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง กู้เฉิงเฟิงคว้าข้อมือของกู้เจียว จากนั้นชี้ไปที่ร่างของถังเย่ว์ซานที่นอนบนพื้นหิมะ “เดี๋ยวก่อน ไหนเจ้าบอกว่าเขาถูกวางยาพิษ ถ้าอย่างนั้นเขาก็ไม่สามารถลุกขึ้นมาต่อสู้ได้ใช่ไหม”

กู้เจียวเอ่ยตัดบท “ไม่เป็นไร ใช้วิธีถอนพิษเอาก็ได้ หายเร็วกว่าเจ้าแน่นอน”

กู้เฉิงเฟิง “…”

จากนั้น กู้เจียวลากร่างของถังเย่ว์ซานเข้ามาในกระท่อม

พร้อมกับลากสัตว์ที่ถังเย่ว์ซานล่ามาได้และโยนทิ้งไป สุดท้ายกู้เจียวไปตามเก็บมาได้ เป็นกระต่ายป่าตัวอ้วนๆ สามตัวกับไก่ป่าอีกสองตัว

กลายเป็นว่ากระท่อมหลังนี้มีคนไข้ทั้งหมดสามหน่อ เมื่อเห็นว่าเตียงไม้ไผ่มีแค่สองเตียงและไม่เพียงพอต่อการใช้งาน กู้เจียวจึงนำม้านั่งสองตัวมาวางไว้ จากนั้นก็ถอดแผงประตูของห้องนอนออกและวางแผงประตูไว้บนม้านั่งสองตัว

กู้เฉิงเฟิง “…”

แบบนี้ก็ได้ด้วยรึ

กู้เจียววางร่างของถังเย่ว์ซานไว้บนเตียงที่เพิ่งประดิษฐ์เสร็จ

จากนั้นกู้เจียวก็เริ่มทำการตรวจร่างกายถังเย่ว์ซาน รอยดำคล้ำที่บริเวณหว่างคิ้วและเล็บมือเล็บเท้ายังไม่ชัดเจนนัก แต่ที่ชัดคือเหงือกของเขาบวมและสามารถมองเห็นเส้นสีน้ำเงินดำใต้เยื่อบุเหงือก

มันคือพิษของสารปรอท

กู้เจียวพบขวดลายครามที่ถังเย่ว์ซานพกไว้ จากนั้นลองเทยาออกมาจากขวด ก็พบยาเม็ดสีแดงเข้ม

หลังจากที่ตรวจดูส่วนผสมของยาชนิดนี้ ก็พบปริมาณสารปรอทบางส่วน

ในสมัยโบราณ ปรอทพวกนี้มักถูกสกัดจากชาด ส่วนใหญ่จะใช้ในการเล่นแร่แปรธาตุและการเก็บรักษาศพ เฉพาะผู้ที่มีอำนาจมากเท่านั้นที่จะสามารถซื้อชาดและปรอทได้

แต่ไม่ว่าจะเป็นชาดบริสุทธิ์หรือปรอทบริสุทธิ์ ก็ไม่สามารถใช้เป็นยาอายุวัฒนะได้ และการใช้ในระยะยาวจะทำให้เกิดพิษ

ดังนั้นพวกคนที่ร้องขอความเป็นอมตะจึงมักไม่มีชีวิตยืนยาว

กู้เจียวไม่รู้ว่าถังเย่ว์ซานมีของสิ่งนี้อยู่ในมือได้อย่างไร

โชคดีที่พิษของเขายังอยู่ในระดับเจือจางและไม่เป็นอันตรายต่ออวัยวะภายใน และสามารถล้างพิษได้

กู้เจียวหยิบยาจากกล่องยาแล้วฉีดให้ถังเย่ว์ซาน

สักพักถังเย่ว์ซานเริ่มมีอาการอาเจียนเป็นเลือดและหมดสติ นอกจากเขาจะได้รับพิษแล้ว เขายังมีอาการช้ำใน แต่ไม่ถึงกับร้ายแรงนักหากเทีนบกับท่านเหล่าโหวและกู้เฉิงเฟิง

หนึ่งชั่วยามผ่านไป ถังเย่ว์ซานค่อยๆ ลืมตาขึ้น การรักษาของเขาเสร็จสิ้นลงแล้ว บนร่างของเขาถูกคลุมด้วยหนังสัตว์ อีกทั้งได้รับไออุ่นจากเตาฟืน เขาจึงไม่มีอาการหนาวสั่น

กู้เฉิงเฟิงเดินเข้าไปสำรวจเตาฟืนที่กำลังตุ๋นไก่ป่า

กลิ่นหอมของไก่ป่าตุ๋นอบอวลไปทั่วห้อง ทำเอาถังเย่ว์ซานที่ไม่ได้กินข้าวมาสองสามวันเกิดอาการท้องร้องโครกคราก

“ยังตุ๋นไม่เสร็จเลย” กู้เจียวเอ่ยขณะที่กำลังทำแผลให้ท่านเหล่าโหวและบังเอิญได้ยินเสียงท้องร้องของเขาพอดี

เตียงไม้ชั่วคราวของถังเย่ว์ซานตั้งอยู่หน้าเตียงไม้ไผ่เก่าของท่านเหล่าโหว แค่ถังเย่ว์ซานหันไปนิดเดียวก็เจอกับกู้เจียวและท่านเหล่าโหว

แววตาของเขาเผยให้เห็นความประหลาดใจ

เขามองไปที่ท่านเหล่าโหวก่อน จากนั้นย้ายไปที่กู้เจียวที่กำลังทำแผลให้ท่านเหล่าโหว “เจ้าคือใครกันแน่”

หลังจากกู้เจียวห่มผ้าให้ท่านเหล่าโหวเสร็จก็หันกลับมาหาเขา และถอดหน้ากากลง

ถังเย่ว์ซานขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อเห็นใบหน้าที่มีปานแดงของกู้เจียว

เขาไม่เคยเห็นนางมาก่อน แต่เขาเคยได้ยินชื่อเสียงของนาง

บุตรสาวจวนติ้งอันโหวอายุสิบห้าที่มีรอยปานแดงบนใบหน้าซีกซ้าย เติบโตจากชนบท และเป็นที่รักของจวงไทเฮา

“ข้าน่าจะเดาออกแต่แรกว่าเป็นเจ้า…”

พี่สาวของกู้เหยี่ยน คนสนิทของไทเฮา

เพียงพอที่จะอธิบายได้แล้วว่าเหตุใดนางถึงต้องทำร้ายถังหมิง และเหตุใดไทเฮาถึงได้เล่นละครตบตาเขา

ถังเย่ว์ซานระเบิดจิตสังหารออกมาอีกครั้ง “อย่าคิดว่าเจ้าช่วยข้าแล้วข้าจะลบล้างอดีตให้ ในเมื่อเจ้าทำร้ายหมิงเอ๋อร์ เจ้าต้องชดใช้ด้วยชีวิต!”

กู้เจียวแค่ฟังน้ำเสียงก็รู้เลยว่าเขากำลังฟื้นตัวได้ดี อันที่จริง กู้เจียวแทบไม่ได้ให้ยาเขามากนัก เขาแบกรับอาการช้ำในของเขาด้วยตัวเอง รวมถึงแผลภายนอก กู้เจียวแค่ให้ยาถอนพิษกับเขาเท่านั้นเอง

ก็ดี ประหยัดยาไปได้เยอะ

ถังเย่ว์ซานต้องการจะฆ่ากู้เจียว

กู้เจียวยกมือห้าม พลางเอ่ย “ก่อนจะลงมือ ดูสภาพร่างกายตัวเองก่อนดีกว่าไหม”

“เจ้าหมายความว่าอย่างไร”

“เจ้าคิดว่าข้าช่วยเจ้าโดยไม่หวังผลอะไรอย่างนั้นรึ” กู้เจียวเอ่ยถาม

ถังเย่ว์ซานเงียบลง

“เจ้าลองถกแขนเสื้อขึ้นแล้วดูที่ฝ่ามือสิ เห็นไหมว่าเริ่มมีเส้นสีแดงขึ้นมา”

“แล้วดูที่จุดตันเถียนว่ามีรอยสีเขียวหรือไม่”

“แล้วลองลูบศีรษะดูว่าผมตรงกลางกระหม่อมเริ่มแหว่งแล้วหรือยัง”

หลังจากถังเย่ว์ซานตรวจดูร่างกายตัวเองตามจุดที่กู้เจียวบอก สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปในทันที โดยเฉพาะตอนที่เอามือลูบหัว “นี่เจ้า ทำอะไรข้าน่ะ”

กู้เจียวมองเขาด้วยสายตาเหยียดหยามพลางเอามือไพล่หลัง เลิกคิ้วเอ่ย “ข้าก็แค่วางยาเจ้า ทางที่ดีเจ้าควรเชื่อฟังข้า ไม่เช่นนั้นเจ้าได้ตายแบบศพไม่สวยแน่”