รถม้าที่เคลื่อนตัวเอื่อยเฉื่อยบนถนนพุ่งฉิวประหนึ่งลูกธนูหลุดออกจากคันศร
สีหน้าองครักษ์ทั้งสองจากจวนเยี่ยนอ๋องเปลี่ยนไปฉับพลัน ทั้งคู่ชักเท้าวิ่งตามไปทันใด
อาหมานตกตะลึงก่อนจะรีบถกกระโปรงวิ่งพรวดตามไปพลางกรีดร้อง “แย่แล้ว ม้าพยศ…”
ให้ตายเถอะ คราวก่อนที่กลับจากวัดไป๋อวิ๋นก็เกิดเหตุการณ์ม้าพยศ มาคราวนี้ก็ม้าพยศอีกหรือ
พระโพธิสัตว์ที่วัดไป๋อวิ๋นนี่กำลังคิดอะไรอยู่ ทั้งที่เงินถวายปัจจัยก็มิใช่น้อยๆ!
เมื่อเห็นว่ารถม้าวิ่งไกลออกไปเรื่อยๆ อาหมานก็ร้อนใจจนหน้าเริ่มซีด นางเร่งฝีเท้าไวกว่าเก่า
ในรถม้า สีหน้าของพระชายาฉีอ๋องที่แปลกไปกำลังพิศมองอาการของเจียงซื่อ พร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “น้องสะใภ้เจ็ด เป็นอะไรไปรึ”
น้ำเสียงของเจียงซื่อเจือไปด้วยความตกใจกลัว “พี่สะใภ้สี่ ม้าพยศหรือเพคะ”
“ใช่” พระชายาฉีอ๋องตอบ
“พวกเราจะทำเช่นไรกันดีเพคะ…ต้องกระโดดลงจากรถหรือเปล่าเพคะ”
พระชายาฉีอ๋องมองมาที่เจียงซื่อพลางถามอย่างสื่อความหมาย “น้องสะใภ้เจ็ดยังกระโดดไหวหรือ”
คิ้วของเจียงซื่อขมวดมุ่นพร้อมกล่าวตอบอย่างทุกข์ใจ “หม่อมฉัน หม่อมฉันไม่มีแรงเพคะ…”
พระชายาฉีอ๋องหัวเราะโดยไม่มีเหตุผล “งั้นน้องสะใภ้เจ็ดก็คงไม่รอดแล้วล่ะ”
“พี่สะใภ้สี่หมายความว่าอย่างไรหรือเพคะ”
พระชายาฉีอ๋องเกาะผนังรถ แย้มยิ้มร่าราวกับบุปผาบานสะพรั่ง “หมายความว่าอย่างไรงั้นหรือ น้องสะใภ้เจ็ดพูดเองมิใช่หรือว่า ยามเห็นหน้าข้าทีไรเป็นต้องอยากจะอาเจียนทุกครั้งไป ก็เหมือนกันกับข้ายามที่เห็นน้องสะใภ้เจ็ด แต่เป็นเพราะข้าเข้าใจโลกใบนี้ยิ่งกว่าเจ้า ข้าเลยไม่ได้เลยแสดงออกก็เท่านั้น โชคดีที่เมื่อผ่านพ้นวันนี้ไปแล้ว ความรู้สึกคับข้องหมองใจก็จะหายวับไป เพราะคนเรามิควรผูกใจเจ็บกับคนตาย น้องสะใภ้สี่ว่าจริงไหม”
สีหน้าของเจียงซื่อซีดเซียวหนักกว่าเก่า “หมายความว่าม้าพยศวันนี้เป็นความตั้งใจของพี่สะใภ้สี่อย่างนั้นหรือเพคะ”
พระชายาฉีอ๋องคลี่ยิ้มกว้าง “ไหนๆ น้องสะใภ้สี่ก็จะตายแล้ว ข้าก็จะช่วยชี้ทางสว่างให้ก็แล้วกัน ข้าก็ต้องตั้งใจสิ มิฉะนั้นเจ้าจะตายหรือ แต่ถึงแม้น้องสะใภ้เจ็ดจะตายกลายเป็นผีก็มาคิดบัญชีข้าไม่ได้ แต่ต้องไปคิดกับเสด็จแม่นู่น เพราะทั้งหมดนี้เป็นคำสั่งของเสด็จแม่ หึๆๆ…”
แววตาของเจียงซื่อเริ่มเย็นยะเยือก
ไม่คิดเลยว่าพระชายาฉีอ๋องจะพล่ามเยอะปานนี้ เมื่อชาติที่แล้วนางแทบจะไม่พูดอะไรเลย
บางทีอาจเป็นเพราะถูกนางถามกระตุ้น นางเลยรู้สึกว่าหากมิได้แถลงไขให้อีกฝ่ายทราบจะไม่รู้สึกหนำใจ?
เจียงซื่อเม้มปากเฝ้าดูพระชายาฉีอ๋องที่เตรียมจะกระโดดลงจากรถม้า และถามขึ้นว่า “ท่านพี่สะใภ้สี่ รถม้าเสียการควบคุมเพียงนี้ ไม่กลัวตกลงไปแข้งขาหักหรือเพคะ”
พระชายาฉีอ๋องยกมุมปากพร้อมสีหน้าจงเกลียดจงชัง “แข้งขาหักแล้วจะเป็นไรไป หากข้าไม่มีร่องรอยบาดแผลอะไรเลย ข้าจะพ้นจากการเป็นผู้ต้องสงสัยในการตายของน้องสะใภ้สี่ได้อย่างไร”
สะใภ้เจียงมิใช่สามัญชนคนธรรมดา เป็นถึงพระชายาชินอ๋อง เป็นสะใภ้คนโปรดของฮ่องเต้ หากนางไม่จัดการให้เรี่ยมเร้ นางก็จะถูกสาวถึงตัว
เมื่อร่างกายรับรู้ได้ถึงความเร็วของรถม้า พระชายาฉีอ๋องก็พยายามทำใจไม่ให้ตื่นตระหนก
เรื่องแขนขาหักอาจเกิดขึ้นได้ นางเตรียมใจว่าตนเองอาจบาดเจ็บไว้อยู่แล้ว
เจียงซื่อถอนหายใจอีกครั้ง “จนบัดนี้แล้ว หม่อมฉันล่ะนับถือในตัวพี่สะใภ้สี่เหลือเกินเพคะ ท่านไม่เพียงแต่โหดร้ายกับคนอื่น แต่ยังกล้าเอาชีวิตของตัวเองเข้ามาเสี่ยงอันตรายเช่นนี้ ไม่กลัวเลยหรือเพคะว่าหากกระโดดลงไปแล้ว พระพักตร์อาจกระแทกหินจนเสียโฉมก็เป็นได้”
พระชายาฉีอ๋องเริ่มคิดหนัก แต่ยังคงแผดเสียงดุดัน “น้องสะใภ้เจ็ดอย่ามาทำให้ข้ากลัวหน่อยเลย ตอนกระโดดข้าจะป้องหน้าของตัวเองอย่างดี ไม่มีทางปล่อยให้ตัวเองเสียโฉมเป็นอันขาด ส่วนน้องสะใภ้เจ็ดก็เฝ้ารอให้รถม้าคันนี้พาลงไปในยมโลกก็แล้วกัน”
เมื่อพูดจบ นางก็เกาะผนังด้วยมือข้างหนึ่ง และเปิดม่านที่ประตูรถด้วยมืออีกข้างหนึ่ง ตั้งท่าเตรียมจะกระโดดลงไป แต่แล้วก็มีแรงดึงจากด้านหลังทำให้นางไม่สามารถเขยื้อนตัวได้
พระชายาฉีอ๋องหันขวับกลับมาด้วยอาการตกตะลึง “เจ้า…”
เจียงซื่อทำทีอ่อนแรงเหมือนก่อนหน้านี้พร้อมกับสายตาหยอกเย้า “พี่สะใภ้สี่รีบร้อนไปไหนหรือเพคะ”
ใบหน้าของพระชายาฉีอ๋องเริ่มคล้ำหม่นกอปรกับน้ำเสียงที่เริ่มแหบแห้ง “เจ้า เจ้าไม่ได้เป็นอะไรอย่างนั้นรึ”
เจียงซื่อขยับเข้ามาใกล้และหัวเราะแผ่วเบา “เป็นสิเพคะ รถม้าเสียการควบคุมขนาดนี้ จะไม่เป็นอะไรได้อย่างไรเพคะ”
ด้านนอก คนรถพยายามควบคุมทิศทางของรถม้าอย่างสุดความสามารถ
เจียงซื่อรู้ว่า รถม้ากำลังมุ่งหน้าไปทางหน้าผา
เมื่อชาติที่แล้ว พระชายากระโดดลงจากรถม้าไปเป็นคนแรก และเมื่อใกล้ถึงหน้าผา คนรถก็รีบกระโดดตามลงมา เหลือเพียงแต่นางที่นอนแน่นิ่งโดดเดี่ยวอยู่ในรถที่กำลังมุ่งหน้าสู่หุบเหวลึก
แต่คงเป็นเพราะสวรรค์มีตา ขณะที่รถม้าแล่นไปถึงขอบหน้าผา ล้อรถก็สะดุดเข้ากับหินก้อนใหญ่ ทำให้นางหลุดกระเด็นออกมาจากตัวรถ กิ่งไม้ที่ยื่นออกมาเกี่ยวรั้งร่างของนางเอาไว้ไม่ให้ตกลงไป ในตอนนั้นนางพยายามเกาะขอบหน้าผาสุดชีวิต แต่แล้วพระชายาฉีอ๋องก็มาปรากฏตัวอยู่ต่อหน้านาง และพรากชีวิตของนางไป
“ท่านพี่สะใภ้สี่ คนรถจะพาเราไปที่ใดหรือเพคะ” เจียงซื่อเอ่ยถามแผ่วเบาด้วยท่าทีไร้เดียงสา ทว่าในสายตาของพระชายาฉีอ๋อง เจียงซื่อคือนางมาร
คนขับรถที่กำลังบังคับรถม้าสุดแรงเกิดภายใต้สภาวะกดดันอย่างหนักหน่วงไม่ได้ยินเสียงสนทนาด้านใน
“คนรถ…” พระชายาฉีอ๋องตะโกนเรียก แต่แล้วนางก็ต้องตกใจเมื่อเสียงที่เปล่งขาดห้วงไป และร่างกายที่อยู่เหนือการควบคุม
เจียงซื่อลูบเข็มที่เคลือบยาพิษที่ทำให้ร่างกายเป็นอัมพาตด้วยใบหน้ากึ่งยิ้มกึ่งไม่ยิ้ม “จากที่หม่อมฉันเห็น รถน่าจะกำลังมุ่งหน้าไปทางหน้าผานะเพคะ”
ริมฝีปากของพระชายาฉีอ๋องกระตุกหนัก นางในตอนนี้กลัวสุดชีวิต
นี่มันเรื่องอะไรกัน นางกินยาถอนพิษไปก่อนหน้านี้แล้ว แต่เหตุใดนางถึงขยับตัวไม่ได้ แม้กระทั่งจะพูดก็ยังพูดไม่ได้ ส่วนสะใภ้เจียงที่ควรจะขยับตัวไม่ได้กลับสบายดี
สายตาแห่งความหวาดกลัวของพระชายาฉีอ๋องทำให้เจียงซื่อยิ้มได้ “หม่อมฉันยังสาว ยังใช้ชีวิตไม่คุ้มจึงยังไม่อยากเป็นโครงกระดูกเน่าเปื่อยในตอนนี้ ฉะนั้นหม่อมฉันขออนุญาตไม่อยู่เป็นเพื่อนพี่สะใภ้สี่แล้วกันนะเพคะ”
นางกล่าวจบแล้วจึงหันกลับไปจ้องพระชายาฉีอ๋องอีกครั้ง ยกมือขึ้นกุมศีรษะและใบหน้า แล้วกระโดดลงจากรถม้า
เมื่อเห็นชายเสื้อของเจียงซื่อลอยวับหายไป พระชายาฉีอ๋องก็สิ้นหวังขึ้นมาทันที
ไม่ นางยังไม่อยากตาย!
ต้องไม่เป็นเช่นนี้ มันต้องไม่เป็นเช่นนี้
มือของนางขยับไม่ได้ ปากของนางก็ขยับไม่ได้ มีเพียงสายตาเท่านั้นที่กำลังจดจ้องไปที่หลังของคนรถ ความหวังสุดท้ายคือคนรถต้องรู้ว่าคนที่เหลืออยู่ในรถม้าคือนาง และหาวิธีหยุดรถม้า ไม่ปล่อยให้รถแล่นตกหน้าผาตามแผนที่วางไว้
แต่ชะตาของพระชายาฉีอ๋องถูกลิขิตให้สิ้นหวัง
เมื่อคนขับรถม้าได้ยินเสียงวัตถุหนักตกลงมา เขาก็รีบหันหลังกลับไปมองแวบหนึ่ง และเห็นเงาหญิงสาวที่คาดกว่าน่าจะเป็นพระชายาฉีอ๋องกระโดดลงจากรถม้า คนขับรถม้าในตอนนี้มิได้พยายามควบคุมรถอีกต่อไปแล้ว รถม้าที่วิ่งด้วยความเร็วเต็มพิกัดแล่นฉิวมุ่งหน้าสู่ปากเหว
เมื่อเห็นว่าเข้าใกล้หน้าผา คนขับรถกก็รีบกระโดดลงทันที
“ไม่…” พระชายาฉีอ๋องเค้นเสียงสุดฤทธิ์ แต่ทว่าไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมา ความหวังสุดท้ายดับสูญ
เจียงซื่อที่ยกมือขึ้นกุมศีรษะและใบหน้าเกลือกกลิ้งอยู่บนพื้นหลายตลบก่อนจะหยุดลง ภายใต้สภาวะมึนงง นางได้ยินเสียงเรียกของอาหมานที่ข้างหู “นายหญิง ไม่เป็นอะไรมากใช่ไหมเจ้าคะ”
“พยุงข้าขึ้นที”
อาหมานรีบพยุงเจียงซื่อให้ลุกขึ้น
เจียงซื่อกวาดสายตามองไปรอบๆ นอกจากอาหมานแล้ว ยังมีองครักษ์อีกสี่คน สองคนเป็นคนของจวนเยี่ยนอ๋อง ส่วนอีกสองคนเป็นคนของจวนฉีอ๋อง แต่ทว่านางกลับไม่เห็นหญิงรับใช้คนสนิทและผอจื่อของพระชายาฉีอ๋อง
“พระชายาล่ะ พระชายาของพวกเราอยู่ที่ไหน” หนึ่งในองครักษ์จวนอ๋องถามอย่างร้อนรน
เจียงซื่อในตอนนี้สงบลงแล้ว ประหนึ่งว่าความตกใจกลัวเมื่อครู่จางหายไปเป็นที่เรียบร้อย แต่ใบหน้าของนางยังคงซีดเซียว นางชี้นิ้วไปเบื้องหน้า “ข้ากระเด็นออกมา แต่ดูเหมือนว่าพระชายาฉีอ๋องจะยังอยู่ในรถม้า…”