ตอนที่ 36 ภัยร้ายแรง (1)
หลินปี้ยืนอยู่บนดาดฟ้าเรือ สายตาเย็นยะเยือกมองจวนจิ้งไห่ที่ค่อยๆ ไกลออกไป องครักษ์วัยกลางคนผู้หนึ่งเดินมาถึงด้านหลังนางแล้วรายงานว่า “องค์หญิง ไม่ทราบกว่าก้าวต่อไปพวกเราสมควรทำเช่นไร”
หลินปี้ขมวดคิ้วเรียวเล็กน้อยแล้วตอบว่า “ตอนแรกที่ข้าไปยังจวนจิ้งไห่ ข้ายังคิดจะรอจังหวะลงมืออยู่ แต่จวนจิ้งไห่มีไอสังหารซุ่มซ่อน ข้าจึงทราบว่าบุ่มบ่ามลงมือมิได้ เดิมทีคิดว่าในเมื่อทราบที่ตั้งของจวนจิ้งไห่แล้ว บางทีอาจมีโอกาสดีๆ คิดไม่ถึงปรมาจารย์ซือเจินกลับมาเยือนตงไห่ ข้าดีใจยิ่งนักที่มิได้ผลีผลามเคลื่อนไหว ดูท่าพวกเราคงได้แต่ลอบสังหารระหว่างทางแล้ว”
องครักษ์วัยกลางคนขมวดคิ้ว เอ่ยว่า “แต่ปรมาจารย์ซือเจินรับบัญชาจากจักรพรรดิต้ายงเดินทางมารับองค์หญิงฉางเล่อกับเจียงเจ๋อกลับฉางอันมิใช่หรือ ระหว่างทางพวกเขาต้องมีทหารคุ้มกันแน่นหนาแน่ แล้วยังมีปรมาจารย์ซือเจินกับเงามารหลี่ซุ่นบุคคลเช่นนี้คุ้มครองอีก ต่อให้ท่านอาจารย์มาเองก็เกรงว่าคงมิอาจทำอันใดได้ หากเสียทหารนายกองไปเปล่าๆ ก็ออกจะน่าเสียดายเกินไป”
หลินปี้ไม่ได้ตอบคำถามของเขา ตรงกันข้ามกลับลูบเรือนผมเงางามเบาๆ แล้วเอ่ยว่า “องครักษ์เซียว ท่านอยู่ข้างกายถิงเฟยมาเนิ่นนาน แล้วยังเป็นศิษย์ของราชครู สายตาย่อมไม่ธรรมดา ท่านมองว่าฉีอ๋องกับเจียงเจ๋อเป็นอย่างไร”
แม้องครักษ์เซียวไม่ได้ประจักษ์เหตุการณ์ในหอทิงเทากับตา แต่ก็ได้ฟังหลินถงเล่าอย่างถึงรสถึงชาติมาก่อนแล้ว เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่งก็เอ่ยว่า “ฉีอ๋องเป็นแม่ทัพผู้เก่งกาจก็จริง แต่เมื่อเทียบกับแม่ทัพใหญ่ก็ยังด้อยกว่ามาก การกระทำและท่าทีค่อนข้างโอหัง อำนาจข่มขวัญผู้คน บางทีอาจมีโอกาสให้ฉวย
ส่วนเจียงเจ๋อ ผู้น้อยรู้สึกว่าน่าขันอย่างยิ่ง ผู้น้อยเคยได้ยินว่าคนผู้นี้ฉลาดปราดเปรื่อง แต่ฟังจากที่ท่านหญิงเล่า เหตุไฉนจึงรู้สึกว่าคนผู้นี้กลับเหมือนเด็กไม่รู้จักโต ชวนให้ผู้น้อยสงสัยอยู่บ้างว่าเขาเป็นกุนซืออันดับหนึ่งของยงอ๋องผู้วางกลอุบายได้ล้ำเลิศผู้นั้นจริงหรือไม่”
หลินปี้ยิ้มละไมตอบว่า “ตอนแรกข้าก็รู้สึกว่าน่าขันเช่นกัน ก่อนหน้านี้ยังไม่เคยพบเจียงเจ๋อ ในใจข้าคิดว่าเขาจะเป็นยอดอัจฉริยะผู้มีความสามารถโดดเด่น ความคิดละเอียดรอบคอบ ครั้งแรกที่พบกันริมชายฝั่งข้ารู้สึกว่าเขาดูอิสระพ้นโลกีย์ ไม่เหมือนปุถุชนบนโลกมนุษย์ แต่ยามอยู่บนหอทิงเทา ข้ากลับได้เห็นมุมมองใหม่ เห็นว่าเจียงเจ๋อผู้นี้หัวใจบริสุทธิ์ดั่งทารก แต่นี่ก็คือจุดที่น่ากลัวของเขา ก่อนหน้านี้ข้าเพียงระวังเขาเท่านั้น แต่วันนี้ข้าหวาดกลัวเขา”
องครักษ์เซียวถามอย่างประหลาดใจ “แม้การกระทำของเขาจะน่าขันอยู่บ้าง แต่หากองค์หญิงกล่าวว่าเขาชำนาญการปิดบัง ผู้น้อยคงไม่รู้สึกว่าแปลก แต่เหตุใดองค์หญิงคิดว่านั่นคือนิสัยแท้จริงของเขา แล้วคิดว่าเขาจะน่ากลัวขึ้นอีก ผู้น้อยเองก็เคยเรียนตำราพิชัยสงครามกับกลศึกมาบ้าง ตำราเหล่านั้นล้วนกล่าวว่าผู้เป็นแม่ทัพต้องเยือกเย็นไร้หัวใจจึงจะทำศึกมิพ่าย ข้าคิดว่ากุนซือผู้วางแผนการก็คงเป็นดุจเดียวกัน มิใช่กล่าวกันว่าผู้ชาญฉลาดมักไร้หัวใจหรือ หากเจียงเจ๋อยังมีความรู้สึกเป็นจุดอ่อนอยู่ เหตุไฉนองค์หญิงกลับคิดว่าเขาน่ากลัวกว่าเดิมเล่า”
หลินปี้แววตาดำมืดลึกล้ำ อธิบายว่า “ตระกูลหลินของข้าเป็นแม่ทัพมาทุกสมัย แม้กล่าวมิได้ว่าเป็นปรมาจารย์แห่งพิชัยสงคราม แต่ก็พอมีวิชาที่สั่งสมมาในตระกูลอยู่บ้าง บางคนกล่าวว่านำทัพทำสงครามต้องโหดเหี้ยมไร้หัวใจ สิ่งนี้ก็กล่าวไม่ผิด แต่จากประสบการณ์นำทัพหลายปีของพวกเรา หากแม่ทัพฝ่ายศัตรูไร้หัวใจอย่างสิ้นเชิง ใช้ทหารตามตำราพิชัยสงครามกับภูมิประเทศเท่านั้น เก้าในสิบส่วนกลับจะแพ้พ่ายแน่นอน
หากแม่ทัพไร้หัวใจจนเกินไป เขาย่อมไม่มองนายทหารใต้บัญชาของตนเป็นมนุษย์ และยิ่งไม่มองทหารของกองทัพศัตรูเป็นมนุษย์ เมื่อเป็นเช่นนี้ แม้ว่าแทบจะไม่ถูกอารมณ์พาให้ตัดสินใจพลาด แต่การทำสงครามล้วนต้องพึ่งทหาร แม่ทัพเยือกเย็นไร้หัวใจได้ แต่ทหารใต้บัญชาเขาล้วนแต่เป็นคนมีเลือดมีเนื้อ หวาดกลัวเป็น เคียดแค้นเป็น การใช้ทหารเช่นนี้ สุดท้ายจะมีจุดจบถูกผู้คนหันหลังให้
เป็นกุนซือก็เช่นเดียวกัน ระดับของกุนซือแบ่งหยาบๆ ได้เป็นสามชั้น กุนซือชั้นสามแม้แต่ละคนมีความสามารถ แต่ต่างคนก็มีจุดอ่อน หากต่อสู้กันขึ้นมา แต่ละฝ่ายล้วนมีโอกาสแพ้ชนะ คนจำพวกนี้มิจำเป็นต้องหวาดกลัว
กุนซือชั้นสองคือพวกนิสัยอำมหิตไร้หัวใจ ในใจพวกเขามีเพียงผลประโยชน์ แม้คนเช่นนี้จะน่ากลัวแต่ก็มีโอกาสให้ฉกฉวย ถึงอย่างไรมนุษย์มีผู้ใดบ้างไร้ความรู้สึก คนเช่นนี้ถึงจะวางกลอุบายได้ร้ายกาจ แต่มักละเลยปัจจัยทางด้านอารมณ์ของคู่ต่อสู้ที่พวกเขาใช้แผนการด้วย
นับแต่โบราณมาคนทะเยอทะยานมักจบด้วยความตาย ผู้เก่งกาจกลอุบายมักตายด้วยแผนการของตน นั่นก็เพราะพวกเขาลืมเลือนว่าสำหรับคนบางจำพวก อำนาจและผลประโยชน์มิอาจสู้ความภักดีและมิตรไมตรี ยิ่งไปกว่านั้นหากคนผู้หนึ่งในใจมีแต่ผลประโยชน์ ถ้าเช่นนั้นทุกการกระทำย่อมมีร่องรอยให้มองออก เมื่อเป็นเช่นนี้ หากคู่ต่อสู้ของพวกเขาเฉลียวฉลาดพอย่อมคาดเดาแผนการของพวกเขาได้ และขอเพียงมีกำลังเพียงพอย่อมเอาชนะได้ไม่ยาก
แต่กุนซือชั้นหนึ่งที่น่ากลัวที่สุดก็คือกุนซือที่ตัวเขาเองเต็มเปี่ยมไปด้วยอารมณ์ความรู้สึก แต่ยามออกอุบายวางแผนการกลับปิดกั้นความรู้สึกไม่ให้ส่งผลกระทบ กุนซือเช่นนี้มีเท่าขนหงส์เขากิเลน ยากจะต่อกรด้วย ทว่ากุนซือพวกนี้ก็มีจุดอ่อน เพราะความสามารถกับเล่ห์เหลี่ยมของพวกเขาจึงมักจะทำให้คนนึกหวาดกลัว ไม่ยินดีใกล้ชิดกับพวกเขา ดังนั้นบ่อยครั้งยากนักที่พวกเขาจะแสดงความสามารถของตนออกมาอย่างเต็มที่ แล้วก็ยากที่จะทำให้คนข้างกายทำตามแผนการของพวกเขาอย่างเต็มใจเต็มกำลัง
แม้กุนซือสามพวกนี้ล้วนน่ากลัวแต่ก็ต่างมีจุดอ่อนที่ลงมือได้ ทว่าเจียงเจ๋อกลับไม่เหมือนกัน เขาก้าวข้ามข้อจำกัดนี้ไปแล้ว
เจ้าเองก็เคยเห็นกลอุบายของเขา เขามองทะลุจิตใจผู้คน ประหนึ่งสายนทีซอกซอนทุกช่องว่าง สิ่งที่ชำนาญที่สุดคือการใช้ประโยชน์จากปัจจัยภายนอกทุกสิ่งที่เป็นประโยชน์ มองจิตใจผู้คนกระจ่างชัด แต่วันนี้เมื่อข้าได้พบเขาก็รู้ว่าจุดที่น่ากลัวที่สุดของคนผู้นี้ก็คือหัวใจอันบริสุทธิ์ดุจทารกของเขา
มิว่าเขาใช้แผนการอำมหิตเท่าใด แต่เขากลับจริงใจกับคนรอบกาย เมื่อเป็นเช่นนี้ รอบตัวเขาย่อมไม่มีผู้ใดถ่วงรั้ง เขาจึงแสดงความสามารถออกมาได้อย่างเต็มที่ เจ้าก็ได้ยินแล้ว ไม่เพียงจักรพรรดิต้ายงหลี่จื้อที่จริงใจต่อเขา แม้แต่ฉีอ๋องผู้มิปรองดองกับหลี่จื้อมาตลอดก็ยังรักคนผู้นี้ยิ่งนัก จนไม่ระเบิดโทสะเพราะเจียงเจ๋อแตะเกล็ดย้อนของเขา
ยามนี้บุตรชายของเขากลายเป็นว่าที่ลูกเขยของฉีอ๋อง แล้วยังเป็นศิษย์คนสุดท้ายของปรมาจารย์ซือเจินแห่งเส้าหลินอีก แม้แต่เส้าหลินก็คงไม่มองเขาเป็นภัยร้ายที่ซ่อนเร้นอยู่อีกต่อไป บุคคลเช่นนี้ ทั้งครอบครองฝีมือที่สามารถสั่นสะเทือนฟ้าดิน ทั้งมีเสน่ห์ดั่งหยาดพิรุณวสันต์ มีเขาอยู่ ต้ายงจะไม่มีทางเกิดความขัดแย้งภายในอีก
เจ้าว่าคนผู้นี้น่ากลัวมากหรือไม่เล่า หากพูดจากใจจริงสักประโยค คนผู้นี้ก็คือภัยร้ายแรงต่อเป่ยฮั่นของพวกเรา เขายังไม่ตายวันหนึ่ง ข้าก็มิอาจวางใจได้วันหนึ่ง”
ดวงตาองครักษ์เซียวฉายจิตสังหารแล้วเอ่ยว่า “มิสู้พวกเราส่งคนไปคิดหาวิธีลอบสังหารเขาโดยไม่เสียดายว่าจะต้องแลกสิ่งใดเป็นอย่างไร”
หลินปี้ไม่แสดงท่าทีตอบ แต่เอ่ยต่อว่า “เจ้าคิดว่าฉีอ๋องเทียบกับถิงเฟยแล้ว กลศึกของผู้ใดเหนือกว่า”
องครักษ์เซียวเอ่ยอย่างประหลาดใจ “เหตุใดองค์หญิงจึงถามเช่นนี้ ฉีอ๋องผู้นั้นจะสู้แม่ทัพใหญ่ได้เช่นไร ไม่ต้องพูดถึงหลายปีนี้เขามิเคยฉกฉวยความได้เปรียบจากมือแม่ทัพใหญ่ได้ ต่อให้เป็นในมือของเต๋อชินอ๋องแห่งหนานฉู่ เขาก็พ่ายแพ้ย่อยยับกลับไปมิใช่หรือไร”
หลินปี้ถอนหายใจ ตอบว่า “ความจริงแล้วศาสตร์แห่งการใช้ทหาร กล่าวไปแล้วแม้ซับซ้อนอย่างยิ่ง แต่ความจริงก็มิพ้นนำทัพทหารกล้า รู้รุกรู้ถอยเท่านั้น เท่านี้ก็เป็นแม่ทัพลือชื่อที่หาได้ยากแล้ว หากได้จับคู่กับยอดทหารหาญ ในยุคนี้ก็มีเพียงหนึ่งหรือสองคน
ฉีอ๋องเองก็เป็นผู้ที่ใช้กลศึกได้ไม่ธรรมดา นับว่าเป็นแม่ทัพเลื่องชื่อแห่งยุค หากกล่าวถึงการบัญชาทัพในสนามรบ น่ากลัวว่าคงมิมีผู้ใดเหนือกว่าฉีอ๋อง กองทหารอาชาเหล็กของต้ายงก็มิด้อยกว่ากองทัพเป่ยฮั่นของเรา แต่เหตุที่ฉีอ๋องถูกถิงเฟยกดไว้มาตลอด และที่เขาพ่ายแพ้กลับมาจากหนานฉู่ นั่นก็เพราะเขามีนิสัยดื้อดึง ชอบขันแข่งเอาชนะ นิสัยเช่นนี้แม้มีข้อดีอยู่บ้าง แต่เมื่อพ่ายแพ้ เสียหายร้อยหนก็ไม่ถอย ยิ่งพ่ายยิ่งสู้ ในที่สุดก็จะชนะในสักวัน แต่มักจะไม่ยอมถอยยามสมควรถอยจนถูกฉวยโอกาส
ฉีอ๋องมีนิสัยหยิ่งผยอง มิยอมก้มหัวให้ผู้ใดง่ายๆ หากคนที่เกลี้ยกล่อมมิใช่คนที่ใจเขานับถือก็มักจะเปล่าประโยชน์ ดังนั้นหลายปีที่เขาอยู่ชายแดนเหนือจึงเอาชนะถิงเฟยมิได้ แต่ฉีอ๋องมีพรสวรรค์แห่งการเป็นแม่ทัพจริง
ยิ่งไปกว่านั้น หลังจากผ่านเหตุการณ์แย่งชิงบัลลังก์ เขาก็มีนิสัยก็อดทนขึ้นมาก ด้วยเหตุนี้จึงรักษาสถานการณ์มั่นคงที่ชายแดนเหนือของต้ายงไว้ได้ ครั้งนี้ได้พบฉีอ๋อง เดิมทีข้ามิกังวลใจ เพราะแม้เขามีอำนาจน่าเกรงขาม แต่นิสัยยังดื้อรั้นยากแก้ไขเช่นเดิม อีกทั้งในใจเขา ความปรารถนาจะตายก็เหนือกว่าความคิดที่จะมีชีวิตอยู่ เดิมทีข้าคิดจะกลับไปบอกถิงเฟยให้เขาลงมือจากจุดนี้
ทว่าหลังจากฉีอ๋องพบเจียงเจ๋อ เขาก็ไม่เหมือนเดิม จิตใจอันดื้อรั้นนั่นกลายเป็นยืดหยุ่น จิตใจก็ปลอดโปร่งขึ้นมาก ถึงขนาดที่แม้แต่ความปรารถนาจะตายก่อนหน้ากลับกลายเป็นความมีชีวิตชีวา ฉีอ๋องผู้เป็นเช่นนี้ มิใช่ว่าข้าไม่เคยเห็นมาก่อน แต่สิ่งที่ข้ากังวลใจมากกว่าก็คือเจียงเจ๋ออยู่ข้างกายฉีอ๋อง มีกุนซือที่ฉีอ๋องเคารพเช่นนี้คนหนึ่งวางอุบายให้เขา แรงกดดันของถิงเฟยย่อมมากเกินไป”
องครักษ์เซียวเอ่ยว่า “องค์หญิง เจียงเจ๋อผู้นั้นมิได้จะกลับฉางอันหรือไร พวกเราคิดหาวิธีไม่ให้เขาไปอยู่ในกองทัพของฉีอ๋องได้ก็พอแล้ว”
หลินปี้ยิ้มเย็นชา เอ่ยว่า “ข้าไม่เชื่อว่าเจียงเจ๋อจะกลับฉางอันจริง ในสถานการณ์เช่นนี้ เกรงว่าเขาคงจะตามฉีอ๋องกลับกองทัพเลยเสียมากกว่า นิสัยของฉีอ๋องเผด็จการนัก เกรงว่าต่อให้เจียงเจ๋ออยากเดินทางกลับฉางอันเป็นเพื่อนองค์หญิงฉางเล่อ เขาก็คงไม่ปล่อยคนไป”
องครักษ์เซียวเอ่ยอย่างคิดไม่ถึง “เป็นไปไม่ได้กระมัง ปรมาจารย์ซือเจินเดินทางมาถ่ายทอดพระบัญชา เจียงเจ๋อจะกล้าขัดบัญชาของจักรพรรดิต้ายงหรือ มิหนำซ้ำเขาไม่กังวลว่าจักรพรรดิต้ายงจะสงสัยว่าเขากับฉีอ๋องสมคบกันหรือ”
หลินปี้ยิ้มละไมตอบว่า “เจ้าเห็นราชโองการหรือ มิใช่เพียงฟังจากคำบอกเล่าของปรมาจารย์ซือเจินหรือไร เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าพระบัญชาที่แท้จริงคืออะไร ยิ่งไปกว่านั้น เจียงเจ๋อจะยอมทำตามพระบัญชาหรือ”
องครักษ์เซียวเอ่ยว่า “ถ้าเช่นนั้นองค์หญิงวางแผนไว้เช่นไร”
หลินปี้มองท้องนภาที่อยู่ไกลออกไปแล้วเอ่ยว่า “ข้าก็อยากดูสิว่าเจียงเจ๋อจะมีปัญญาไปถึงค่ายทัพของต้ายงได้หรือไม่ ฉีอ๋อง เจียงเจ๋อ พวกเจ้าล้วนเป็นภัยร้ายแรงต่อเป่ยฮั่นของข้า ข้าไม่มีทางปล่อยให้พวกเจ้าไปถึงสนามรบได้ง่ายดาย ผ่านทางพบสหายรู้ใจ แม้นวันหน้าชิงชัยใจดุจเดิม หลี่เสี่ยนหนอหลี่เสี่ยน ใจเจ้าจะยังเป็นตายมิอาฆาตแค้นหรือไม่”
ตอนต่อไป