บทที่ 612 ไต่สวน

บทที่ 612 ไต่สวน

“จริงหรือ? แม้ว่าข้าจะเห็นผมเจ้ายุ่งเหยิง แต่ความเงางามบนผมของเจ้าล้วนแต่เป็นน้ำมันใส่ผมจากทิศตะวันตกไม่ใช่หรือ? เจ้าบอกข้ามาสิว่า หญิงสูงศักดิ์ของเมืองแห่งนี้ยังใช้น้ำมันใส่ผมเช่นนี้ไม่ได้ เหตุใดหญิงชาวบ้านอย่างเจ้าถึงใช้ได้?”

“ข้าใช้น้ำมันดอกกุ้ยฮวาเท่านั้น เจ้าอย่ามาปรักปรำกันนะ!”

เห็นได้ชัดว่าหญิงสาวผู้นั้นคาดไม่ถึงว่าเสี่ยวเวยคนนี้จะรู้เรื่องน้ำมันใส่ผมด้วย ในใจจึงตื่นตระหนกไม่น้อย แต่สีหน้ากลับไม่ได้แสดงความรู้สึกใด

“อื้อ บางทีข้าอาจจะจำผิดก็ได้”

เสี่ยวเวยไม่ได้สนใจกับหัวข้อสนทนานี้อีก ถึงอย่างไรหญิงสาวผู้นี้ก็งดงามไม่ใช่น้อย

“ก็ใช่นะสิ พวกเจ้าจับผิดคนแล้ว ข้าเป็นชาวบ้านธรรมดา นายท่าน ปล่อยข้าไปเถอะนะ ที่บ้านข้ายังมีเด็กเล็กอีกสองคนที่กำลังรอกินข้าวอยู่!”

“เจ้ามีลูกด้วยรึ?”

“ใช่เจ้าค่ะ ชีวิตข้าอาภัพ ไม่มีพ่อแม่มาตั้งแต่เด็ก ท่านลุงเป็นคนเลี้ยงดูข้าจนเติบใหญ่ ต่อมาคงเห็นว่าข้าโตมางดงามสะพรั่ง จึงขายข้าให้กับชายผู้โง่เขลาอย่างหวังเอ้อที่อยู่ในหมู่บ้านถัดไป เพราะข้าต้องให้กำเนิดลูกแก่เขา กว่าจะออกมาข้างนอกแต่ละครั้งก็ช่างยากเย็น แต่ดันมาถูกพวกเจ้าจับตัว ตอนนี้ลูกน้อยคงกำลังรอข้ากลับไปป้อนนมอยู่เป็นแน่”

ผู้หญิงคนนั้นแสดงท่าทีเหมือนจะไม่ได้รับความเป็นธรรม นางพูดไปพลางร้องไห้ไปพลาง เสมือนแม่ที่ห่วงหาอาวรณ์ลูกน้อย

“แบบนี้นี่เอง เช่นนั้นเราควรปล่อยนางไป แต่เจ้าควรรู้ไว้ว่าถ้าเจ้าพูดโป้ปด เราจะไม่ปล่อยเจ้าแน่” เสี่ยวเวยกระซิบข้างหูของหญิงสาวคนนั้นอย่างแผ่วเบา แม้ว่าเสียงจะไม่ดังมาก แต่กลับทำให้หญิงสาวผู้นั้นหนาวสะท้านไปทั้งโดยไม่รู้ตัว

เขาไม่มีทางรู้ว่านางนั้นผ่านการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี บาดแผลที่อยู่ตามร่างกายเป็นของจริง

“เอาละ เสี่ยวเวย เล่นพอแล้วก็เริ่มเสียเถอะ” ครั้นเหยาเฉาเห็นเสี่ยวเวยหยอกล้อกับหญิงสาวผู้นั้น ก็อดยิ้มอยู่ในใจไม่ได้

เสี่ยวเวยผู้นี้ หลังจากติดตามเขา นิสัยใจคอเริ่มแปลกขึ้นทุกวัน ชอบสวมบทบาทเป็นนักสืบจอมขี้เล่น

“ขอรับ พี่รอง” ครั้นได้ยินคำพูดของเหยาเฉา เสี่ยวเวยก็รีบจริงจังทันที

“หมายความว่าอย่างไร?” เมื่อหญิงสาวผู้นั้นได้ยินคำพูดของเหยาเฉาก็อดขมวดคิ้วไม่ได้ หมายความว่าอย่างไร ชายหนุ่มผู้นั้นแค่หยอกล้อนางหรือ?

“หมายความว่าอย่างไร? ก็ที่เจ้าพูดเมื่อครู่ ข้าไม่เชื่อเลยสักคำ” ยามที่เสี่ยวเวยมองหญิงสาวผู้นั้น นัยน์ตากลับเปลี่ยนไปเป็นอีกคนโดยสมบูรณ์ ความเย็นชาไร้ความรู้สึก ไม่เห็นแม้แต่ความอบอุ่น

“พ่อแม่เจ้าตายแล้ว? ลุงผู้เลี้ยงเจ้า? ชายผู้โง่เขลาหวังเอ้อ? ลูกสองคน? เจ้าคงคิดว่าข้าโง่เกินไปกระมัง!” จู่ ๆ น้ำเสียงของเขาก็สูงขึ้น ทำให้หญิงสาวผู้นั้นตื่นตกใจโดยไม่รู้ตัว

“เจ้า…เจ้าหมายความว่าอย่างไร?”

“ไม่มีอะไร ในเมื่อเจ้าไม่อยากพูด ข้าก็จะไม่บังคับเจ้า แต่จะให้คนนำอาหารหนึ่งชามมาป้อนให้เจ้าทุกครึ่งชั่วยาม เป็นอาหารที่อุดมสมบูรณ์เชี่ยวล่ะ เจ้าวางใจเถอะ ข้าวในชามนั้นล้วนเป็นของที่ดีที่สุด มีทั้งปลาทั้งเนื้อ และจะป้อนทุกครึ่งชั่วยาม”

“เจ้า…”

“วางใจเถอะ ข้าเคยบอกแล้ว ว่าข้ามีเหตุผลมากพอ เจ้าจะไม่ได้กินอาหารของพวกทหารแน่นอน วันนี้ข้าจะประเดิมทำอาหารให้เจ้าได้ชิมเอง หลังจากกินข้าวเสร็จทุกครั้งจะมีน้ำแกงให้เจ้าได้ซดหนึ่งชาม ไม่ต้องเป็นห่วงว่าจะสำลัก ถึงตอนนั้นใบหน้าของเจ้าจะค่อย ๆ บวมขึ้น ท้องของเจ้าจะขยับเขยื้อนลำบากจนนอนไม่ได้ รสชาตินั้น ไม่รู้ว่าเจ้าเคยลิ้มลองมาแล้วหรือไม่”

แม้ว่าเสี่ยวเวยจะพูดอย่างเชื่องช้า แต่ทุกคำทุกประโยคล้วนแต่ทิ่มแทงลงกลางใจของหญิงสาวผู้นั้น ก่อนที่นางจะมาที่นี่ นางเตรียมตัวสำหรับการถูกทรมานมาเป็นอย่างดี ถึงอย่างไรการปฏิบัติภารกิจก็ไม่เคยราบรื่นมาก่อน แต่ตอนนี้เสี่ยวเวยทำให้นางรู้สึกเหมือนคนบ้า

ใครจะไปคิดเล่าว่า อีกฝ่ายจะให้นักโทษกินข้าว ทั้งยังให้กินทุกครึ่งชั่วยามด้วย คนผู้นี้ต้องบ้าไปแล้วแน่ ๆ?

ผู้ชายที่อยู่ข้างกายเขาก็ไม่รู้จักเข้ามาห้าม ได้แต่ยืนมองอย่างเงียบ ๆ นัยน์ตายังแฝงไปด้วยความเห็นชอบเลือนราง ทหารกลุ่มนี้ต้องบ้าไปแล้วแน่นอน!

“เจ้า จะทำเช่นนี้กับข้าไม่ได้” ขณะพูด หญิงสาวผู้นั้นก็เริ่มส่ายหน้าอย่างต่อเนื่อง นัยน์ตาไร้ซึ่งความมุ่งมั่นเหมือนตอนแรกเริ่ม มีแต่ความกลัวที่สะท้อนออกมาอย่างชัดเจน

“ทำไมจะไม่ได้เล่า ข้าดูแลเจ้าอย่างดีเชียวนะ เจ้าอย่าลืมสิว่าเจ้ายังมีลูก ข้ากำลังทำเพื่อพวกเขา เจ้าไม่ต้องขอบคุณข้าหรอก” เมื่อเสี่ยวเวยพูดจบ ก็ไม่มองหน้าผู้หญิงคนนั้นแม้แต่แวบเดียว แต่เลือกที่จะเดินมาข้างกายของเหยาเฉา และยืนอย่างนั้น

ไม่นาน คนข้างนอกก็ยกอาหารชามหนึ่งเข้ามา ตามด้วยน้ำแกงอีกหนึ่งชาม

จากนั้นก็กระชากผู้หญิงคนนั้นโดยไม่พูดไม่จา แล้วยัดข้าวในชามนั้นใส่ปากนาง

หญิงสาวผู้นั้นไม่ยอม แต่พลังกำลังของนางจะสู้ทหารได้อย่างไร ไม่นานก็ต้องยอมจำนน แล้วกินอาหารเหล่านั้นจนหมด เพื่อป้องกันนางอาเจียน ทหารจึงต้องมัดมือมัดเท้าของนางอย่างระมัดระวัง ก่อนจะยัดผ้าก้อนหนึ่งใส่ปากของนาง แบบนี้ไม่ว่าอย่างไรนางก็จะไม่อาเจียนออกมา

“เจ้าชักร้ายกาจขึ้นไปทุกทีแล้วนะ” เหยาเฉามองการกระทำของเสี่ยวเวย โดยไม่ขัดขวาง

ทหารเหล่านั้นก็ไม่เคยเล่นตามเกม ตราบใดที่ยังถามหาเบาะแสสำคัญได้ ไม่ว่าจะใช้วิธีไหนก็ย่อมได้ทั้งนั้น

ส่วนวิธีการที่เสี่ยวเวยเลือกใช้ เป็นวิธีการที่เขาไม่เคยคาดคิดมาก่อน แต่เขาเชื่อว่าจะได้ผลอย่างแน่นอน

“เพราะพี่รองสั่งสอนมาดี” เสี่ยวเวยอ่อนน้อมถ่อมตนยามอยู่ต่อหน้าเหยาเฉา ดูเหมือนเขาจะปลื้มใจกับคำชมของเหยาเฉาไม่น้อย หลายปีมานี้ เขาเคยชินกับการอ่อนน้อมถ่อมตนยามอยู่ต่อหน้าเหยาเฉามาตลอด

“เยี่ยม เช่นนั้นเจ้าอยู่เฝ้าที่นี่ไปแล้วกัน ข้าจะไปพักห้องถัดไป ช่วงนี้ภารกิจค่อนข้างเยอะ ข้ารู้สึกเพลียเล็กน้อย”

“พี่รองวางใจเถอะ ที่นี่ยกให้เป็นหน้าที่ข้าเอง”

“ดี”

กล่าวจบ เหยาเฉาก็เดินออกจากห้องไป ทั้งห้องเหลือเพียงเสี่ยวเวยและผู้หญิงคนนั้น

ไม่รู้ว่าเป็นภาพลวงตาหรือไม่ เพราะหลังจากที่เหยาเฉาจากไป หญิงผู้นั้นก็รู้สึกว่าเสี่ยวเวยน่ากลัวขึ้นกว่าเดิม ความรู้สึกนั้น เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ได้พูดสิ่งใด แค่มองนาง นางก็ตัวชาไปทั้งตัวแล้ว เหมือนกับว่าความตายกำลังมาเยือนก็มิปาน

นางได้แต่ร้องเรียกอยู่ในใจ ไอ้คนวิปริต! แต่ก็ไม่มีใครได้ยินเสียงของนาง

ไม่นาน ก็มีคนยกอาหารเข้ามาอีกชาม เป็นอาหารเหมือนกับก่อนหน้านั้น เสี่ยวเวยพยักหน้าส่งสัญญาณ คนเหล่านั้นทำเฉกเช่นเดียวกัน คือยัดอาหารเหล่านั้นใส่ปากของนาง

อาหารสองรอบนี้ ทำให้ท้องของหญิงสาวผู้นั้นรู้สึกอึดอัด แต่นางพูดไม่ได้

ถ้าพูดออกไป คนที่ต้องประสบกับหายนะไม่ใช่นางเพียงผู้เดียว นางจะต้องยืนหยัดต่อไป

ดูเหมือนเสี่ยวเวยจะไม่ร้อนใจ ยังคงเดินกรีดกรายอยู่ในห้องนี้ ไม่นานก็นั่ง แต่สายตายังคงกวาดมองไปยังหญิงสาวผู้นั้นอย่างไม่ลดละ ราวกับจะมองนางให้ทะลุปรุโปร่ง

“เจ้าวางใจเถอะ ข้าไม่บังคับเจ้า ถ้าเจ้าไม่ยอมพูดก็ไม่ต้องพูด ข้าจะดูแลเรื่องอาหารให้เจ้าอย่างดี ไม่ต้องกังวลว่าจะอดตาย”

“ฮือ ฮือ ฮือ….”

หญิงสาวผู้นั้นหมดแรงแล้วจริง ๆ นางคาดไม่ถึงว่าภารกิจแรกของตัวเอง จะต้องมาเจอะเจอกับความทรมานเช่นนี้ จะให้นางโต้แย้งก็ทำไม่ได้…

………………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

การทรมานของเสี่ยวเวยช่างน่าหวาดกลัวอะไรเช่นนี้

ไหหม่า(海馬)