บทที่ 599 รีบหาเส้นทางใหม่

เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ

บทที่ 599 รีบหาเส้นทางใหม่

บทที่ 599 รีบหาเส้นทางใหม่

“เด็กดี ลุงเข้าใจสิ่งที่หนูจะสื่อ” ซูฉางจิ่วมองด้วยสายตาชื่นชม

ถึงเธอจะอายุยังน้อย แต่เพราะว่าเป็นเด็กเฉลี่ยวฉลาด และยังเอ่ยกับตนออกมาตรง ๆ อีกด้วย

“ลุงฉางจิ่ว ลองชิมไข่ใบนี้ดูสิคะ อร่อยนะ” เสี่ยวเถียนหยิบถ้วยลายครามออกมา แล้ววางไว้ตรงหน้า

ตอนอีกฝ่ายเห็นไข่สีดำ ๆ ก็จ้องเสี่ยวเถียน “เด็กคนนี้ ทำไมไข่ดี ๆ ถึงเละเทะแบบนี้ไปแล้วล่ะ?”

เจ้าเด็กคนนี้ ทำไมเอาของมาใช้สิ้นเปลืองเล่า!

“ลุงฉางจิ่ว อย่าเพิ่งมองว่ามันไม่มีสีขาวน่ากินเลยนะ รสชาติมันอร่อยเน้อ!” เสี่ยวเเถียนไม่สนใจว่าอีกฝ่าจะโทษเธอว่าอะไรบ้าง

และด้วยความสงสัย ชายชราก็หยิบขึ้นมากัดหนึ่งคำ

“รสชาตินี้มัน…”

ค่อนข้างแปลก!

เธอมองอีกฝ่ายด้วยความกระวนกระวาย “ลุงบอกหนูมาก่อนว่า มันอร่อยกว่าไข่สีขาวไหม”

ซูฉางจิ่วพยักหน้า “เด็กคนนี้ ทำมันยังไงเนี่ย? อร่อยจริง ๆ นะ!”

เด็กหญิงยิ้มด้วยความพึงพอใจ “ถ้าเอาไปแปรรูป จะพอขายได้ไหมคะ?”

อีกฝ่ายลังเล “ทำน่ะทำได้ แต่คงไม่ได้ซื้อกันทุกคนหรอกนะ”

“ลุงฉางจิ่ว ตอนนี้ไข่เราขายยากแล้วนะคะ ถึงอาหลี่สี่ (อาหลี่สี่ – ในที่นี้หมายถึงหลี่จู้จื่อ การเรียกด้วยนามสกุลตามด้วยลำดับ เป็นเพราะสมัยก่อนคนจีนใช้แซ่เดียวกันเยอะ ซึ่งแซ่หลี่เป็นแซ่ที่มีคนใช้เยอะมาก เขาจึงนำมาใช้เรียกแทน หากเทียบกับคนไทยง่าย ๆ ยกตัวอย่าง การมีเพื่อนชื่อฟ้าสองคนในห้อง เราจะเรียกชื่อฟ้า ตามด้วยลักษณะเฉพาะ (อาจเป็นชื่อจริง ตำแหน่ง หรือเพศ ฯลฯ) ในการเรียกเพื่อให้รู้ว่าหมายถึงฟ้าคนไหน จะช่วยขายไปได้บ้าง แต่มันไม่ใช่วิธีแก้ปัญหาระยะยาวค่ะ เราต้องรีบหาวิธีใหม่แล้ว”

“แต่พูดมันง่ายกว่าทำน่ะซี่!” ซูฉางจิ่วถอนหายใจ

กองชุมชนเรามีทั้งฟาร์มหมูฟาร์มไก่ แค่นี้ใครต่อใครก็อิจฉาแล้ว แล้วเรายังต้องรีบหาทางใหม่อีกหรือ?

“ลุงรอก่อนนะคะ ถึงปีหน้าเมื่อไหร่ทุกอย่างจะชัดเจนขึ้นเองค่ะ ตอนนั้นมันจะพัฒนาไปแบบไหน ก็พึ่งอยู่กับความสามารถแล้ว!”

“ปีหน้าหรือ?”

“อดทนรออีกหกเดือนนะคะ ทุกอย่างจะดีขึ้นเองค่ะ” เสี่ยวเถียนพยักหน้าอย่างจริงจัง

ตอนนี้เมืองทางใต้มีการเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัดแล้ว ส่วนฝั่งตะวันตกเฉียงเหนือค่อนข้างล้าหลัง ทว่าในปีหน้า สายลมฤดูใบไม้ผลิแห่งการปฏิรูปพัดมายังเมืองเล็ก ๆ แถบนี้ และทุกอย่างจะดีเอง

ชายชรารู้ว่าเด็กสาวอยู่เมืองหลวง อีกทั้งยังรู้จักผู้มีอิทธิพลมากมาย เขาจึงพยักหน้ารับ “ได้จ้ะ ลุงเชื่อในตัวเธอนะ”

หลังแยกจากกัน เสี่ยวเถียนไปบ้านหลี่จู้จื่อต่อ

ส่วนซูฉางจิ่วและภรรยากำลังนั่งบนเตียงเตา เรากินไข่กันคนละใบ ได้แต่คิดว่ามันอร่อยเหลือเกิน

“ตาแก่ บอกฉันทีว่าถ้าเราขายมันจริง ๆ จะขายออกน่ะ?” ฝ่ายภรรยา

ฝ่ายสามี “คงขายได้นะ ฉันเองก็ไม่รู้”

ขณะที่กำลังสนทนา เสี่ยวเฉ่าก็เข้ามาพอดี

เธอเห็นพ่อแม่กำลังคุยอยู่ พร้อมกับถ้วยไข่สีดำบนโต๊ะด้วย “พ่อคะ แม่คะ ไข่อันนี้มันไหม้หรือ?”

“ไม่ใช่ เสี่ยวเถียนเพิ่งเอามาให้น่ะ บอกว่าถ้าเอามาแปรรูปจะขายได้”

เสี่ยวเฉ่ากำลังศึกษาอยู่ที่มหาวิทยาลัยในตัวเมืองจังหวัด ตอนนี้มีความรู้เพิ่มพูนขึ้นมาก

เธอหยิบขึ้นมาชิม “อร่อยกว่าไข่ต้มชาเยอะเลยค่ะ หนูว่ามีแวว!”

“ลูกสาว จริงหรือ?”

“ตอนนี้ไข่ในกองชุมชนเราขายไม่ได้ไม่ใช่หรือคะ? ถ้าเราเอามาแปรรูป อาจจะเปิดร้านในเมือง เอามาตั้งราคาทำเงินได้นะ”

“เราไม่ได้คิดหาเงินขนาดนั้น แค่อยากหาทางขายไข่ไก่ให้ราบรื่น”

ซูฉางจิ่วไม่อยากคิดทำธุรกิจใหม่แล้ว คิดแต่ว่าถ้าอนาคตเราขายไข่ได้ คงเป็นเรื่องดีหากทุกคนในกองชุมชนจะได้ส่วนแบ่งเงินปันผล

“ไว้เอาเรื่องนี้ไปปรึกษาเสี่ยวเถียนดีกว่าค่ะ เผื่อน้องมีความคิดอะไร”

เธอรู้สึกว่าถ้าน้องทำไข่อร่อยแบบนี้ขึ้นมาได้ จะต้องมีความคิดที่ก้าวหน้าแน่

ทางฝั่งเสี่ยวเถียน ตั้งแต่มาถึงบ้านหลี่จู้จื่อก็มอบให้ทั้งไข่ทั้งขนมกับเขา แถมยังพูดคุยจิปาถะ และถามว่าอยากไปทำมาหากินที่เมืองหลวงด้วยกันหรือเปล่า

สองปีมานี้จู้จื่อทำธุรกิจเล็ก ๆ ด้วยตัวเองอยู่ ใช้ชีวิตสุขสบาย มีเส้นสายในอำเภออยู่บ้าง

เขาเป็นพวกที่พึงพอใจในสิ่งที่ทำได้แล้ว พอได้ยินเสี่ยวเถียนพูดถึงเมืองหลวง ก็เอาแต่ส่ายหัว

“ที่นี่มีทั้งคนแก่ มีทั้งเด็ก ถ้าไปที่นั่นจะลำบากเอา อาตั้งใจทำงานอยู่ที่นี่ดีกว่า”

พอเห็นอีกฝ่ายไม่คิดจะไป เสี่ยวเถียนจึงเอ่ยขึ้น “อาจู้จื่อ งั้นอาก็ต้องคว้าโอกาสนี้ไว้นะคะ สองปีมานี้อาทำอะไรมาถึงหาเงินได้ แล้วถ้าใจกล้าทำอีกสักหน่อย อาจะกลายเป็นเศรษฐีคนแรกของอำเภอเลยนะ!”

หลี่จู้จื่อไม่คิดว่าเด็กสาวจะเอ่ยขึ้นมาทันควัน เขาประหลาดใจมาก แต่เพราะตนเองก็เป็นคนฉลาด จึงเข้าใจว่าอีกฝ่ายหมายถึงอะไร

“ขอบคุณนะเสี่ยวเถียน! ไว้อาสี่กลายเป็นคนที่รวยในอำเภอเมื่อไหร่ จะเตรียมสินสอดก้อนโตไว้ให้เลย!”

ทีแรกโส่วเวินก็ตั้งใจฟังอยู่ดี ๆ หรอก แต่พอได้ยินว่าจะเตรียมสินสอดก้อนโตไว้ให้น้องสาว เขาก็รีบพูดทันที “อาสี่ครับ เป็นไปไม่ได้หรอก เสี่ยวเถียนต้องรออีกหลายปีกว่าจะแต่งงานได้ อย่างน้อยก็ต้อง 24 ไม่สิ 26 ไม่ก็ 27 ครับ”

จู้จื่อหัวเราะลั่นกับคำพูดที่แสนจริงจัง

“เด็กคนนี้ อยากให้น้องเป็นสาวแก่เรอะ”

“สาวแก่ก็สาวแก่ครับ ใช่ว่าบ้านเราจะเลี้ยงน้องไม่ได้สักหน่อย!” โส่วเวินยอมรับ

“เสี่ยวเถียนเอ้ย ถ้าพี่ชายพูดว่าให้แต่งงานตอน 26-27 เนี่ย อาจะพยายามเป็นคนที่ร่ำรวยก่อนอายุเธอเท่านั้นนะ” จู้จื่อหยอกเย้า

“อาสี่ ถ้าอาขยันจะกลายเป็นคนที่รวยที่สุดในสามสี่ปีนี้เลยนะ”

ตอนนี้เธอเพิ่ง 12 เอง อีก 15 ปีข้างหน้าจะอายุ 27 ปี อาสี่ต้องใช้เวลานานขนาดไหนการเป็นคนรวยเลยหรือ?

สองปีนี้เป็นช่วงเวลาทอง ถ้าไม่สามารถหาเงินก้อนแรกได้ หลังจากนี้ลำบากแน่

วันนั้นสองคนอาหลานคุยกันเกือบชั่วโมง ขนาดตอนนอนยังรู้สึกว่าสิ่งที่เสี่ยวเถียนพูดมันมีเหตุผลจริง ๆ

ตอนนี้เขารับของมาแล้วขายต่ออยู่ ถึงจะได้เงินจริง แต่ไม่ไม่ได้เยอะอะไร

บางทีเขาควรจะลองดูอย่างที่พวกเสี่ยวเถียนทำนะ ขนสินค้าไปกลับจากหรงเฉิง

ผู้เป็นภรรยาตกใจกับสิ่งที่สามีเล่าให้ฟังมาก “พ่อคุณ ไม่ไหวหรือเปล่า? ฐานะบ้านเราเป็นยังไง มันจะกลายเป็นการสร้างปัญหาไหม? ถ้าหมดตัวขึ้นมาเราจะทำยังไงล่ะ?”

“ถ้าเป็นแบบนั้นเราก็เริ่มใหม่ ฉันอยากลองดูน่ะ แต่ธุรกิจทางฝั่งนี้ก็ไม่คิดทิ้งนะ ยังทำเหมือนเดิม!”

เมื่อได้ยินคำพูดที่หนักแน่นของหลี่จู้จื่อ ทั้งยังบอกว่าจะไม่ยอมรามือง่าย ๆ เธอก็โล่งใจ

“ได้จ้ะ คุณลองดูก็ได้นะ ถ้าไม่ไหว เราก็กลับมาใช้ชีวิตสงบ ๆ เหมือนเดิมเถอะ!”

“แค่ว่าฉันต้องลงใต้เนี่ยสิ คงลำบากเธอแล้ว”

ภรรยาเอื้อมแขนไปกอดเอาไว้ “ตอนนี้ลูกเราสองคนโตแล้วนะ ให้พ่อฉันดูแลก็ได้ค่ะ ฉันเองก็ยังทำงานได้นะ พวกรับของอะไรแบบนี้น่ะ”

สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับชีวิตคู่คือการทำงานร่วมกันไม่ใช่หรือ?