ฉีอ๋องวางม้วนตำราที่มักจะแสร้งถือติดมือลงบนโต๊ะ และพยายามแสดงออกอย่างสงบที่สุด “วันนี้พระชายาไปถวายธูปมิใช่หรือ เหตุใดถึงเกิดเรื่องได้”
ผอจื่อทรุดเข่าลงถึงพื้น ร่างกายของนางสั่นเทาคล้ายกับมีคนมาเขย่าตัว ใบหน้าพรั่นพรึงจนทำให้คนที่เห็นพลอยใจเสีย น้ำเสียงที่เปล่งกระตุกไม่เป็นส่ำ “ม้าพยศเพคะ พระชายา…พระชายา…”
“พระชายาเป็นอะไร” ฉีอ๋องสีหน้าหม่นลงเล็กน้อย
ปกติแล้ว ฉีอ๋องจะปฏิบัติต่อผอจื่อในจวนด้วยท่าทีอ่อนสุภาพ ดังนั้นการแผดเสียงดุดันเช่นนี้จึงมีให้เห็นไม่บ่อยนัก
ผอจื่อตกใจจนหน้าซีด นางคร่ำครวญ “ม้าพยศเป็นเหตุให้พระชายาเกือบตกลงไปในหน้าผาเพคะ แต่โชคดีที่องครักษ์ช่วยขึ้นมาได้…”
“แล้วพระชายาเยี่ยนอ๋องเล่า” ฉีอ๋องออกปากถาม
ผอจื่อที่กำลังร้องห่มร้องไห้ชะงักโดยพลัน นางเงยหน้าขึ้นมาสบตาฉีอ๋อง
นี่นางได้ยินอะไรผิดไปหรือเปล่า
ฉีอ๋องตระหนักได้ว่าเขาเผลอพลั้งปากออกไป จึงพยายามสงบสติ เพราะต่อให้เรื่องราวจะย่ำแย่แค่ไหนก็ยังมีหนทางอื่นให้ไป แต่หากเขาทำบางอย่างโดยมิได้ยั้งคิดอาจก่อให้เกิดความวุ่นวายมากกว่าเดิม
ฉีอ๋องสูดลมหายใจเข้าปอดและยืนขึ้น พร้อมส่งสายตาแห่งความวิตกกังวล “พระชายาอยู่ที่ไหน”
ผอจื่อลังเลชั่วอึดใจก่อนจะตอบ “พระชายาเยี่ยนอ๋องพาพระชายาเข้าไปที่วังหลวงเพคะ…”
“อะไรนะ” ฉีอ๋องหลุดปากตัดบทสาวรับใช้
เขาคิดว่าเขาสามารถสงบสติอารมณ์ได้ดีแล้ว แต่แลดูเหมือนว่าเรื่องนี้จะเกินความคาดหมายไปมาก
หลี่ซื่อบอกเองมิใช่หรือว่าจะฉวยจังหวะตอนที่ไปถวายธูปคราวนี้ปลิดชีพพระชายาเยี่ยนอ๋อง แต่เหตุใดถึงกลายเป็นนางที่ไปอยู่ตรงนั้นแทน อีกทั้งยังถูกพระชายาเยี่ยนอ๋องพาเข้าวังไปอีก
ในวินาทีนั้น ฉีอ๋องนึกเสียใจ
เพราะเขาไม่อยากทำให้ตัวเองต้องแปดเปื้อน เขาจึงไม่ได้ถามแผนการของหลี่ซื่อ แต่ดูเหมือนว่าภัยนี้กำลังคืบคลานมาถึงตัวเขา
“แล้วเหตุใดพระชายาเยี่ยนอ๋องต้องพานางเข้าไปในวัง”
“พระชายาทรงหมดสติไปเพคะ อีกทั้งยังได้รับบาดเจ็บ พระชายาเยี่ยนอ๋องตรัสว่าจะไปขอให้หมอหลวงช่วยรักษาเพคะ…”
ฉีอ๋องตบโต๊ะฉาดใหญ่อยากจะด่าพวกผอจื่อที่ยอมปล่อยให้เจียงซื่อพาตัวพระชายาฉีอ๋องไปเช่นนั้น แต่สุดท้ายเขาก็ได้แต่ข่มกลั้นความเดือดดาลนั้นไว้
ในสถานการณ์เช่นนี้ ผอจื่อคงไม่กล้าขัดคำสั่งของพระชายาเยี่ยนอ๋อง
“แล้วคนอื่นๆ ล่ะ” ฉีอ๋องนึกขึ้นได้
ในเมื่อคนที่เดินทางไปกับนางครั้งนี้มีสาวรับใช้คนสนิท มีผอจื่ออีกสองคนและองครักษ์อีกสองนาย แต่เหตุไฉนคนที่กลับมารายงานถึงมีแค่นางคนเดียว
คนอื่นๆ ไปไหนกันหมด
เมื่อคำถามนี้ผุดขึ้นในหัว ฉีอ๋องก็เริ่มรู้สึกถึงลางสังหรณ์บางอย่าง
จากคำบอกเล่าของผอจื่อ “พระชายาเยี่ยนอ๋องเชื่อว่าเหตุการณ์ม้าพยศคราวนี้ต้องมีอะไรในกอไผ่ จึงสั่งให้องครักษ์ของทั้งสองจวนเฝ้ายามอยู่ที่บริเวณหน้าผา…ส่วนองครักษ์อีกคนของจวนเยี่ยนอ๋องคุมตัวคนรถไปแจ้งความที่ศาลาว่าการพระนคร ส่วนองครักษ์จวนฉีอ๋องก็ตามไปด้วย ส่วนคนอื่นๆ ก็เข้าวังไปพร้อมกับพระชายา บ่าวเห็นว่าควรแจ้งให้ท่านอ๋องทราบ จึงกลับมาที่นี่เพคะ…”
ในสมองของฉีอ๋องรู้สึกคล้ายกับมีฟ้าผ่าลงมาแยกสมองออกเป็นสองส่วน เขากัดฟันพลางเค้นเสียง “ทำไมถึงต้องแจ้งความ”
แววตาดุดันคาดคั้นของฉีอ๋องทำให้ผอจื่อตกใจกลัวจนต้องก้มหน้า นางกล่าวติดๆ ขัดๆ “เป็นคำสั่งของพระชายาเยี่ยนอ๋องเพคะ…นางบอกว่าตนเองเคยแจ้งความก่อนหน้านี้ ใต้เท้าเจิน ผู้ตรวจการศาลาว่าการพระนครเป็นผู้มีสายตาเฉียบแหลม มีความสามารถในการไขคดีความ เหตุการณ์ในวันนี้เป็นเพียงอุบัติเหตุหรือน้ำมือของมนุษย์อย่างไรก็ต้องสืบหาความจริงให้จงได้เพคะ…”
ฉีอ๋องกระแทกโต๊ะอย่างแรง สีหน้าของเขาในตอนนี้ย่ำแย่ยิ่งกว่าตอนมารดาของเขาจากโลกนี้ไปเสียอีก
พระชายาเยี่ยนอ๋อง นางตัวดี!
นางช่างเด็ดขาดเสียเหลือเกินที่อาศัยจังหวะที่หลี่ซื่อไม่ได้สติทำตัวเป็นนายสองจวน
ครั้นพิศมองผอจื่อที่กำลังคุกเข่าด้วยเนื้อตัวสั่นเทา ฉีอ๋องก็อยากจะถามยืนยันว่านางทราบแผนการของพระชายาฉีอ๋องด้วยหรือไม่ แต่สุดท้ายแล้วเขาก็กลืนคำถามนั้นลงคอไป
ในเมื่อภารกิจไม่สำเร็จ เขาก็ควรทำตัวเหมือนเป็นคนนอกที่ไม่รู้ไม่เห็น ไม่เอาตัวเองเข้าไปยุ่งเกี่ยว
ไม่ได้ ต้องทำอะไรสักหน่อย
ความคิดแรกที่ผุดขึ้นมาในหัวของฉีอ๋องคือรีบส่งคนไปที่หน้าผา หากพบสิ่งใดที่พอจะเป็นหลักฐานยืนยันว่าเป็นฝีมือมนุษย์ให้ทำลายทิ้ง แต่ความคิดที่สองคือไปที่ศาลาว่าการพระนครเพื่อหยุดเจินซื่อเฉิงเอาไว้
ความคิดทั้งสองวนเวียนอยู่ในหัวชั่วครู่ก่อนที่ชายหนุ่มจะถอนหายใจออกมา เขารีบเปลี่ยนชุดและเข้าไปในวัง
เกิดเรื่องร้ายกับพระชายา เขาไม่ควรไปโผล่หน้าอยู่ที่อื่น แต่ควรไปแสดงความห่วงใยต่อผู้เป็นภรรยาต่อหน้าเสด็จพ่อเป็นอันดับแรก
อีกอย่าง ในเมื่อเขาไม่รู้อะไรเลย เมื่อได้ทราบข่าวก็ควรพุ่งตัวไปที่วังหลวงเป็นอันดับแรก
……
สภาพอากาศหนาวเย็น จิ่งหมิงฮ่องเต้จึงไม่ได้อยู่ในห้องทรงพระอักษร แต่ไปพักผ่อนอยู่ในตำหนักหย่างซิน
สำหรับจิ่งหมิงฮ่องเต้ การได้นั่งอังไออุ่นจากเตียงเตาร้อนๆ และอ่านตำราในวันที่มีสภาพอากาศเช่นนี้นับเป็นความสุขารมณ์ที่หาได้ยากยิ่ง
แต่แล้วเปลือกตาของเขาก็กระตุกวูบ มือที่ถือม้วนตำราพลันแข็งทื่อ
โชคดีที่ตอนนี้ทุกอย่างยังสงบนิ่ง
จิ่งหมิงฮ่องเต้ถอนหายใจอย่างโล่งอก
ลางสังหรณ์ของเขาคงพลาดไปเอง เพิ่งจะกลับสู่ความสงบได้ไม่นาน อยู่ๆ จะมีเรื่องวุ่นเกิดขึ้นได้อย่างไร
แต่เมื่อยิ่งคิด เขาก็ยิ่งไม่สบายใจ จิ่งหมิงฮ่องเต้กวักมือเรียกเจ้าแมวสีขาวที่นอนเหยียดกายอยู่ที่ปลายเตียง “จี๋เสียง มานี่”
ตั้งแต่ที่ได้เจอเอ้อร์หนิวบ่อยครั้งเข้า จิ่งหมิงฮ่องเต้ก็เกิดความรู้สึกอยากเลี้ยงสิ่งมีชีวิตตัวน้อยๆ แต่การจะเลี้ยงสุนัขดุอย่างเอ้อร์หนิวก็กลัวว่าจะทำให้คนอื่นๆ ตกใจกลัว สุดท้ายจำต้องเลือกเลี้ยงแมวแก้ขัด
จิ่งหมิงฮ่องเต้ชอบลูบขนเจ้าแมวตัวเล็ก เขามักจะลูบขนของมันพลางขานเรียก ‘จี๋เสียง’[1] ไปด้วย เพราะทำให้รู้สึกเหมือนว่าความโชคร้ายทั้งหลายกำลังถูกขจัดออกไป
เจ้าแมวสีขาวปรือตาขึ้นตามเสียงขานเรียก มันมองจิ่งหมิงฮ่องเต้ด้วยสายตาเกียจคร้าน บิดขี้เกียจสองสามครั้งก่อนจะลุกขึ้นวิ่งหายไป
จิ่งหมิงฮ่องเต้ชักมือกลับด้วยความอึกอักพลางถอนหายใจ
มันก็เป็นแค่แมวธรรมดาตัวหนึ่ง ไม่แสนรู้เหมือนเอ้อร์หนิวเลยสักนิด
ในตอนนั้น พานไห่เดินเข้ามาด้วยท่าทีผิดแผกไปจากปกติ
จิ่งหมิงฮ่องเต้ขมวดคิ้วโดยพลัน “หื้ม?”
“ฝ่าบาท ฮองเฮาเชิญพระองค์เสด็จไปที่ตำหนักพ่ะย่ะค่ะ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้ผงะไปชั่วครู่
หากไม่มีธุระอันใด ฮองเฮาไม่เคยเชิญเขาไปที่ตำหนักในช่วงเวลาเช่นนี้
“ฮองเฮามีเรื่องอะไรจะบอกข้างั้นหรือ”
พานไห่รีบตอบ “พระชายาเยี่ยนอ๋องพาพระชายาฉีอ๋องเข้ามาที่วังหลวง และขอให้หมอหลวงถวายการรักษาพระชายาฉีอ๋องพ่ะย่ะค่ะ…”
จิ่งหมิงฮ่องเต้เอ่ยแทรกโดยพลัน “เดี๋ยวก่อน พระชายาฉีอ๋องเป็นอะไรงั้นรึ เหตุใดพระชายาเยี่ยนอ๋องต้องพานางเข้าวังมาขอให้หมอหลวงช่วยรักษา”
สะใภ้สี่ใคร่จะให้หมอหลวงช่วยรักษาก็เชิญหมอหลวงไปที่จวนก็ได้แล้วมิใช่หรือ
จิ่งหมิงฮ่องเต้ตรัสถามพลางเผ่นพรวดออกไป
จากประสบการณ์ที่ผ่านมา คงมีเรื่องอะไรอีกแล้วแน่ๆ
“ฝ่าบาท ผ้าคลุมพระองค์พ่ะย่ะค่ะ…” พานไห่เร่งฝีเท้าตามไปพลางคลุมเสื้อให้จิ่งหมิงฮ่องเต้
พระตำหนักคุนหนิงในเวลานี้กำลังชุลมุนวุ่นวาย แพทย์หลวงสองคนกำลังถวายการรักษาแก่พระชายาฉีอ๋อง
จิ่งหมิงฮ่องเต้ไม่ได้สั่งให้คนรายงานว่าตนมาถึงแล้ว ทันทีที่เดินเข้าไป เขาเห็นเจียงซื่อที่กำลังยืนอยู่ข้างๆ ฮองเฮา
“ฝ่าบาทเสด็จแล้วหรือเพคะ” ฮองเฮารี่เข้าไปต้อนรับ
เจียงซื่อย่อตัวทำความเคารพ “ถวายบังคมเสด็จพ่อ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้ผงกศีรษะให้ฮองเฮาก่อนจะเดินมาหยุดอยู่ที่หน้าเจียงซื่อ “สะใภ้เจ็ด เกิดอะไรขึ้น”
เจียงซื่อยืดหลังตรงและเล่าเหตุการณ์ตามลำดับ “วันนี้ท่านพี่สะใภ้สี่นัดหม่อมฉันไปถวายธูปที่วัดไป๋อวิ๋นเพคะ ระหว่างทางกลับ รถม้าของหม่อมฉันเกิดชำรุดจนไปต่อไม่ได้ จึงต้องโดยสารรถม้าของท่านพี่สะใภ้สี่ แต่แล้วจู่ๆ ม้าที่ลากรถก็มีอาการตื่นตระหนก มิหนำซ้ำร้ายหม่อมฉันและท่านพี่สะใภ้สี่ก็ขยับตัวไม่ได้เสียด้วย พวกหม่อมฉันจึงทำได้เพียงปล่อยให้รถม้าวิ่งแล่นไปอย่างนั้น แต่เนื่องจากความโคลงเคลงอย่างรุนแรงทำให้ร่างของหม่อมฉันมาหลุดออกจากรถม้า…หม่อมฉันโชคดีที่ไม่ได้บาดเจ็บร้ายแรง แต่ท่านพี่สะใภ้สี่เกือบตกลงไปในหน้าผา แต่ยังโชคดีที่องครักษ์ช่วยขึ้นมาได้ทัน นางเป็นลมหมดสติไปจนถึงตอนนี้ หม่อมฉันรู้สึกว่าเรื่องนี้มีบางอย่างไม่ชอบมาพากล จึงพาท่านพี่สะใภ้สี่เข้ามาที่วังหลวงเพื่อขอให้หมอหลวงช่วยรักษา และเพื่อมากราบทูลให้เสด็จพ่อและเสด็จแม่ทรงทราบเพคะ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้ฟังเงียบๆ จนจบ เขายกมือขึ้นกดที่เปลือกตาพลางก่นด่าในใจ ดู๊ดู ไอ้หนังตานี่ชักจะขี้เกียจใหญ่แล้ว เรื่องใหญ่เพียงนี้มันกระตุกแค่ครั้งเดียวเนี่ยนะ!
[1] จี๋เสียง แปลว่าสิริมงคล