บทที่ 622 ยกหินขึ้นมา แต่กลับหล่นทับขาตัวเอง

ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี

บทที่ 622 ยกหินขึ้นมา แต่กลับหล่นทับขาตัวเอง

บทที่ 622 ยกหินขึ้นมา แต่กลับหล่นทับขาตัวเอง

เป็นเพราะซูเซียงเสวี่ย ไป๋ชิวหรานจึงถูกลากออกจากบ้านไป

เพื่อไม่เป็นการรบกวนความสัมพันธ์ระหว่างไป๋โม่เสวี่ยและหลี่ลี่ ซูเซียงเสวี่ยจึงพาไป๋ชิวหรานไปเดินเล่นในเมืองอื่น นอกจากนี้ นางยังยืนยันหนักแน่นว่าทั้งตนและไป๋ชิวหรานจะไม่ยื่นมือเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับภารกิจของไป๋ซวี่เซียงโดยเด็ดขาด

แต่ก่อนที่ไป๋ชิวหรานจะจากไป เขาทิ้งกระบี่วารีสารทกระจ่างฟ้าเอาไว้ให้กับไป๋โม่เสวี่ยชั่วคราว เพื่อใช้มันจัดการกับผู้ฝึกตนปีศาจเซียนตนนั้น

“ในที่สุด ก็จัดการพวกเขาทั้งสองคนได้เสียที”

หลังจากเห็นไป๋ชิวหรานและซูเซียงเสวี่ยออกไปแล้ว ไป๋ซวี่เซียงก็กลับเข้ามาในห้องนั่งเล่นพร้อมกับถอนหายใจเฮือกใหญ่

จากนั้นนางก็หันมองไป๋โม่เสวี่ยและหลี่ลี่ที่นั่งอยู่ตรงข้าม ก่อนจะเผยรอยยิ้มอ่อนโยนราวกับมองคนในครอบครัว

“โม่เสวี่ย หลี่ลี่ พูดสั้น ๆ ว่าข้าจัดการทุกอย่างให้พวกเจ้าเสร็จสิ้นแล้ว ในวันข้างหน้าเจ้าจะต้องสนับสนุนซึ่งกันและกัน รักกันให้มาก แล้วหากแต่งงานเมื่อใด อย่าลืมชวนข้าด้วย! เพราะพี่สาวผู้นี้จะเป็นคนจัดงานแต่งงานให้กับเจ้าเอง!”

หลังจากหยุดไปชั่วครู่ นางก็ผายมืออีกครั้งพร้อมกล่าวว่า

“นอกจากนี้ อย่าลืมจ่ายค่าช่วยเหลือคราวนี้ให้ข้าด้วยล่ะ”

“ข้าไม่มีวันลืม!”

ไป๋โม่เสวี่ยกล่าวอย่างขุ่นเคือง

“เมื่อท่านคิดขอความช่วยเหลือข้า เคยลืมบ้างหรือไม่?”

“งั้น… ข้าขอตัวไปจัดการเรื่องของข้าก่อนดีกว่า”

ไป๋ซวี่เซียงหรี่ตาลงหนึ่งข้างก่อนจะแลบลิ้นหยอกล้ออีกฝ่าย

“แล้วเจอกัน!”

นางพลิกตัวอย่างรวดเร็วพร้อมกระโดดลงถ้วยชา ก่อนจะหายลับไป

ไป๋โม่เสวี่ยและหลี่ลี่ลุกขึ้นเดินไปยังห้องของตนเอง เมื่อพวกเขาเดินมาถึงรูปตรงทางเดิน จู่ ๆ ปากของนักรบภายในภาพเขียนกลับเคลื่อนไหว

“โม่เสวี่ย เจ้าว่าท่านพ่อยังแอบมองเราอยู่หรือไม่?”

“ไม่รู้สิ รอดูไปถึงตอนเย็นดีกว่า”

ไป๋โม่เสวี่ยกล่าวเสียงต่ำ

“หากเขาอยู่กับท่านแม่ เวลากลางคืน ทั้งสองย่อมไม่คิดสนใจพวกเราอยู่แล้ว”

“อืม ข้าก็คิดเช่นนั้น”

นักรบในภาพปิดปากก่อนจะเงียบลง เวลานี้ไป๋โม่เสวี่ยไม่อาจสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของผู้เป็นพี่สาวแล้ว

  

บนถนนภายในเมืองอื่น ไป๋ชิวหรานและซูเซียงเสวี่ยเดินเล่นบนถนน ก่อนจะถอนคืนจิตสัมผัสเทวะกลับมา

“เป็นอย่างไร?”

ซูเซียงเสวี่ยกล่าวถาม

“ดูเหมือนจะไม่ใช่การหลอกลวง”

ไป๋ชิวหรานพึมพำ

“แต่ซวี่เซียงนั้นแปลกประหลาด ดังนั้นจึงยากที่จะบอกว่านางไม่ใช่คนฉุดดึงให้โม่เสวี่ยกระทำเรื่องเลวร้ายนี้”

“เด็กสองคนนี้ หากพวกเขาบังคับให้สาวน้อยหลี่ลี่ร่วมมือในการแสดง นับว่าสาวน้อยคนนั้นคงน่าสงสารยิ่งแล้ว”

ซูเซียงเสวี่ยถอนหายใจ

“ข้าสัมผัสได้ว่าเด็กหญิงคนนั้นมีใจให้กับโม่เสวี่ยจริง ๆ และสิ่งที่ซวี่เซียงกับโม่เสวี่ยกระทำมันไม่ต่างจากการบดขยี้หัวใจผู้อื่น และหากเป็นเช่นนั้นจริง ๆ ทั้งสองคงจะไม่ใช่คนที่ใส่ใจผู้อื่นอย่างแท้จริง”

“หากพวกเขากล้าหาญที่จะทำเช่นนั้น มันจะไม่จบเพียงการตีก้นแน่นอน”

ไป๋ชิวหรานหัวเราะ

“อย่าเพิ่งกล่าวเรื่องเฆี่ยนตีกับเด็ก เมื่อไตร่ตรองดูแล้ว ข้าคิดว่ามีวิธีที่ดีกว่านั้นในการสั่งสอนซวี่เซียงให้ทราบถึงความผิดของตน”

ซูเซียงเสวี่ยกล่าว

“ทำอย่างไร?”

ไป๋ชิวหรานสงสัย

“สตรีผู้นั้นสืบทอดอารมณ์ในวัยเด็กของหลานเอ๋อร์ แต่นางไม่เคยมีประสบการณ์ในยุคของจักรพรรดิตะวันออกไท่อี ดังนั้นนางจึงไม่อาจอดทนต่อความยากลำบาก และนางไม่ได้ขัดเกลานิสัยให้เป็นผู้ใหญ่เต็มตัวเช่นกับหลานเอ๋อร์ อีกทั้งนางยังอยู่ในแดนเซียนมานาน ไม่หวาดกลัวผู้ใดนอกจากเทพีซีเหอ”

“ก็… ชิวหราน ท่านคิดอย่างไรหากให้หลี่ลี่เป็นลูกสะใภ้ของเรา?”

ซูเซียงเสวี่ยไม่ตอบคำถามไป๋ชิวหราน แต่ถามเขากลับ

“แน่นอน… ข้ายินดี”

ไป๋ชิวหรานจดจำแววตาชื่นชมที่หลี่ลี่มองมาได้ดี เขารู้สึกโล่งใจพร้อมกล่าวต่อว่า

“แม้ว่าเด็กหญิงตัวเล็กจะเป็นเจตจำนงวิถีสวรรค์กลับชาติมาเกิด แต่นางก็มิใช่วิถีสวรรค์ที่น่ารำคาญผู้นั้น ยิ่งไปกว่านั้น นางยังละทิ้งตัวตนวิถีสวรรค์และกลับมาเกิดใหม่ในเผ่าพันธุ์มนุษย์ สตรีผู้นี้ย่อมมีจิตใจดี สั่งสอนง่าย และน่ารัก นางจะเป็นสตรีที่มีเหตุผลและเชื่อฟังหลังจากได้แต่งงานในอนาคต”

“งั้นไม่เป็นไรแล้ว หากเป็นเรื่องจริง เราก็จะปล่อยให้พวกเขาพัฒนาไปโดยธรรมชาติ”

ซูเซียงเสวี่ยยิ้มเล็กน้อย

“แต่หากเป็นเรื่องหลอกลวง เราจะเติมเชื้อไฟและเปลี่ยนจากเรื่องหลอกลวงให้กลายเป็นจริง เพื่อให้โม่เสวี่ยต้องแต่งงานกับหลี่ลี่อย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง แล้วเมื่อถึงเวลานั้น ซวี่เซียงย่อมเสียใจแน่นอน เหตุการณ์นี้จะสั่งสอนนางได้เป็นอย่างดี”

  

ยามค่ำคืน ไป๋โม่เสวี่ยและหลี่ลี่กำลังเตรียมตัวจะพักผ่อน จู่ ๆ ไป๋ซวี่เซียงก็กลับเข้ามา

“เฮ้อ ในที่สุดข้าก็ทำงานเสร็จสักที”

นางถอนหายใจก่อนจะล้มตัวลงบนโซฟาแล้วตะโกนเสียงดัง

“โม่เสวี่ย? โม่เสวี่ย! ชงชาให้ข้าสักถ้วยได้หรือไม่?”

“อยู่นี่แล้วแม่นางซวี่เซียง”

หลี่ลี่เดินเข้ามาพร้อมกับยื่นถ้วยชาให้กับไป๋ซวี่เซียง

“โอ้…”

ไป๋ซวี่เซียงหยิบถ้วยชา ก่อนจะมองถ้วยชาที่มีกลิ่นหอมโชยตรงหน้าแล้วถามทันที

“เจ้าพยายามจะเอาชนะใจโม่เสวี่ยด้วยการประจบข้างั้นหรือ?”

“หืม?”

หลี่ลี่ตื่นตระหนก

“ข้าจะบอกเจ้าว่า ตอนนี้ท่านพ่อกับท่านแม่เซียงเสวี่ยไม่ได้มีเวลาเฝ้าดูพวกเราแล้ว ดังนั้นเราสมควรพูดคุยเรื่องนี้กันอย่างจริงจัง”

ไป๋ซวี่เซียงจิบชาก่อนจะแลบลิ้นออกมาด้วยความร้อน จากนั้นวางถ้วยชาลงแล้วกอดอกอย่างเคร่งขรึม

“เรื่องของเจ้ากับโม่เสวี่ยไม่อาจเป็นไปได้! ตามคติของตระกูลไป๋ น้ำที่อุดมสมบูรณ์ย่อมไม่ปล่อยให้ไร่คนอื่น!”

“แล้วทำไมข้าจึงไม่ทราบว่าตระกูลของเรามีคติเช่นนี้?”

ไป๋โม่เสวี่ยเดินเข้ามาจากด้านหลัง เขาเหลือบมองไป๋ซวี่เซียงก่อนจะกล่าวถาม

“การที่เจ้าไม่ทราบ มันเป็นเรื่องปกติ”

ไป๋ซวี่เซียงเผยรอยยิ้มหวาน

“นี่คือคติของตระกูลที่ท่านแม่ตั้งขึ้นเป็นพิเศษให้กับบุตรสาวของตระกูล”

“อ้อ เข้าใจแล้ว”

ไป๋โม่เสวี่ยมองวัตถุเวทสื่อสารในมือ

“ตอนนี้ข้าสามารถติดต่อท่านพ่อและท่านแม่ได้ ข้าควรจะโทรไปถามเขาตอนนี้ดีหรือไม่? อย่างไรแล้วพวกเขาน่าจะยังไม่หลับ”

“โอ้ ไม่เป็นไร!”

ไป๋ซวี่เซียงคว้าวัตถุเวทสื่อสารจากมือไป๋โม่เสวี่ยพร้อมกับยิ้มแห้ง

“หนุ่มน้อย เหตุใดเจ้าจึงโง่เขลาเช่นนี้ เจ้าไม่ทราบหรือไรว่าท่านพ่อกับท่านแม่เซียงเสวี่ยกำลังทำสิ่งใด? มันคงไม่เหมาะสมแล้วหากเจ้าจะไปรบกวน”

“อืม”

ไป๋โม่เสวี่ยนั่งลงข้างหลี่ลี่ก่อนจะจับบ่าของนางแล้วกล่าวคำ

“ท่านแม่หลานย่อมไม่มีวันกล่าวคำเช่นนั้น ความคิดของนางนั้นกว้างไกล แม้นางจะทราบดีว่าความคิดของนางยังล้าสมัย แต่สุดท้ายแล้วนางก็ยังเป็นบุคคลที่ซื่อสัตย์และควรค่าแก่การเคารพมากกว่าบุตรสาวของนาง”

“หึ”

ไป๋ซวี่เซียงเม้มริมฝีปากแน่น

“ท่านพ่อสั่งสอนเจ้าอย่างไรจึงฉลาดเช่นนี้?”

“ท่านพ่อไม่ได้สอนให้ข้าฉลาด บางทีตอนที่ข้าเป็นหนุ่ม ข้าอาจจะถูกลักพาตัวไปโดยผู้ฝึกตนในสำนักเหอฮวนเพื่อเป็นเตาหลอม”

ไป๋โม่เสวี่ยตอบกลับอย่างขุ่นเคือง

“เอ้อ… ลืมเรื่องนี้ไปสนิท”

ไป๋ซวี่เซียงโบกมือพร้อมกล่าวต่อ

“ข้าจะไม่กล่าวเรื่องนี้อีก”

“อ่า มีเรื่องที่ข้ายังไม่ได้บอกกล่าว เอาล่ะ… พี่หญิง ข้ามีเรื่องต้องพูดกับท่าน”

“ว่า?”

ไป๋โม่เสวี่ยมองหลี่ลี่ก่อนจะหันกลับมากล่าวอย่างจริงจัง

“ข้าตัดสินใจแล้วว่าจะเริ่มคบหากับหลี่ลี่อย่างจริงจัง”