ตอนที่ 623 เทพเหวินฉวี่ซิงกับเทพธิดาตัวน้อยของพระองค์
ตอนที่องค์ชายเจ็ดเสด็จถึงเขตเริ่นอันก็ได้รู้ว่าการเพาะปลูกที่ฉือหลี่โกวหรือที่ดิน 100 หมู่นอกเขตเริ่นอันนั้นหลินเว่ยเว่ยก็ทำผลผลิตออกมาได้มากกว่าชาวบ้านปกติ ในสายพระเนตรคือนางก็แค่บังเอิญไปเจอเมล็ดพันธุ์ชั้นดีมาเท่านั้น นางเป็นแค่เด็กอายุสิบกว่าขวบแล้วจะเพาะปลูกได้ดีเหมือนเกษตรกรมืออาชีพได้อย่างไร ?
ทรงแย้มพระสรวลเบา ๆ “ฝูเหรินนายอำเภอของพวกเจ้าเป็นเทพธิดาลงมาจุติ แล้วนายอำเภอเป็นอะไร ? ”
“ท่านนายอำเภอไม่ใช่จอหงวนหรอกหรือ ? เช่นนั้นเขาจะต้องเป็นเทพเหวินฉวี่ซิง (เทพแห่งการศึกษา) บนสรวงสวรรค์แน่นอน ! เทพธิดากับเทพเหวินฉวี่ซิงตกหลุมรักกันตั้งแต่อยู่บนสวรรค์ ทว่าโดนกีดกันจากโชคชะตา ดังนั้นจึงแอบลงมาครองรักกันบนแดนมนุษย์…” ไม่พูดก็คงไม่ได้ว่าสมองของพวกชาวบ้านเพ้อฝันใช้ได้ พวกเขาถึงขั้นแต่งนิทานให้หลินเว่ยเว่ยและเจียงโม่หานกันเลยทีเดียว
องค์ชายเจ็ดเสวยโจ๊กข้าวโพดในชามหมดภายในไม่กี่คำ หลังยื่นชามให้ผู้ติดตามที่อยู่ด้านหลังแล้วก็กลับขึ้นหลังอาชาอีกครั้งเพื่อห้อตะบึงตรงไปยังที่ว่าการอำเภอหนิงซี แต่ต้องพบกับที่ว่าการอันว่างเปล่า คนเฝ้าประตูบอกว่าฝูเหรินนายอำเภอไปที่ไร่นอกเมือง เขื่อนกั้นน้ำสร้างเสร็จแล้ว ท่านนายอำเภอจึงออกไปตรวจงาน ด้านหมินหวางเฟยและมารดาแท้ ๆ ของนายอำเภอกับภรรยาก็ไปชมทิวทัศน์ของหุบเขาที่อยู่ใกล้เคียง…
องค์ชายเจ็ดครุ่นคิด จากนั้นก็หันหัวอาชามุ่งตรงไปทางตะวันตกเฉียงเหนือของอำเภอหนิงซีซึ่งเป็นที่ตั้งของไร่ที่หลินเว่ยเว่ยแผ้วถาง แค่มองจากระยะไกลก็เห็นทุ่งอันกว้างใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่ในละแวกบ้านเรือนบริเวณนี้ ในไร่ก็ปรากฏภาพข้าวสาลีฤดูหนาวออกรวง ใบข้าวโพดมีสีเขียวสด ข้าวสาลีฤดูใบไม้ผลิก็เติบโตได้ดี พระองค์ดึงรวงข้าวสาลีฤดูหนาวมาหนึ่งร่วง แต่สังเกตไม่เห็นความผิดปกติที่แตกต่างจากข้าวสาลีทั่วไปเลย ?
“เฮ้ ! เจ้าเป็นใคร ! เหตุใดมาดึงพืชผลของคนอื่นโดยพลการ ? เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าวสาลีในมือ พอสุกงอมแล้วมันจะช่วยชีวิตคนผู้หนึ่งได้ในช่วงเวลาวิกฤต ! ” หลิวว่ายจื่อพาคนงานประจำสองคนเข้ามาใกล้แล้วมององค์ชายเจ็ดตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า…คนผู้นี้สวมใส่อาภรณ์เนื้อดี รัศมีเปล่งประกายไม่ธรรมดา ดูเหมือน…หน้าตาคุ้น ๆ
ผู้ติดตามขององค์ชายเจ็ดทำเสียงดุ “ห้ามเสียมารยาท ! ท่านนี้คือองค์ชายเจ็ด ที่เสด็จมาเพราะฮ่องเต้มีราชโองการให้มาติดตามผลการเก็บเกี่ยวในฤดูใบไม้ร่วงที่ภาคตะวันตกเฉียงเหนือ ! ”
หลิวว่ายจื่อตกใจ ‘สวรรค์ นี่คือโอรสมังกรตัวน้อย น้ำเสียงที่ตนใช้เมื่อครู่ฟังไม่สุภาพหรือเปล่า คงไม่โดนจับไปตัดศีรษะหรอกกระมัง ? ’
องค์ชายเจ็ดเพียงโบกพระหัตถ์ให้หลิวว่ายจื่อที่รีบคุกเข่าลง ก่อนจะตรัสถามว่า “องค์หญิงเว่ยเว่ยอยู่ที่ใด ? เหตุใดจึงไม่เห็นนางอยู่ที่นี่ ? ”
หลิวว่ายจื่อรีบทูลตอบ “ฝูเหรินของพวกเราอยู่ที่ ‘ฟาร์ม’ กำลังสอนชาวบ้านทำปุ๋ยคอกพ่ะย่ะค่ะ ! ”
องค์ชายเจ็ดทอดพระเนตรตามทิศทางที่เขาชี้แล้วเห็นเข้ากับบ้านกลุ่มหนึ่ง…ทรงเข้าพระทัยผิดว่ามันเป็นที่ตั้งของหมู่บ้านเล็ก ๆ แต่คาดไม่ถึงว่านั่นคือ ‘ฟาร์ม’ ที่เอาไว้เลี้ยงสัตว์
พระองค์จึงรีบทรงม้าเร็วไปที่ฟาร์ม เพิ่งเข้าไปได้แค่สองในสามส่วนก็ได้กลิ่นเหม็นที่ยากจะดอมดม…อี๋ ! องค์ชายเจ็ดจำได้ราง ๆ ว่าปุ๋ยคอกก็คือมูลสัตว์ใช่หรือไม่ ?
ฟาร์มของหลินเว่ยเว่ยเริ่มเป็นรูปเป็นร่างแล้ว ตอนต้นฤดูใบไม้ผลิ นางหาซื้อลูกหมูมาได้ประมาณ 50 ตัว นอกจากนี้ยังซื้อลูกแกะมาจากชนเผ่าในทุ่งหญ้าอีก 50 ตัว ส่วนวัวที่ซื้อมาเมื่อปีกลายก็คลอดลูกวัวเพิ่มมา 3 ตัว รวมกับวัวที่ซื้อมาอีก 20 ตัวในช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิ ไม่เพียงสามารถใช้ไถพรวนที่ดินของตนเท่านั้น แต่ยังปล่อยเช่าให้ชาวบ้านที่อยู่ละแวกนี้ด้วย…แน่นอนว่าเงินค่าเช่าคือการลงบัญชีไว้ก่อน เฮ้อ ราษฎรทางตะวันตกเฉียงเหนือช่างยากจนเกินไปจริง ๆ การที่ได้ยินผู้คนพูดว่าพวกเขายากจนก็ไม่ใช่เรื่องเกินจริง
เมื่อรวมกับกระต่ายในคอกของเจ้าหนูน้อยแล้ว สัตว์ในฟาร์มก็เรียกได้ว่าล้นหลาม คึกคักกันสุด ๆ ไปเลย ! องค์ชายเจ็ดบีบพระนาสิก ก่อนจะเห็นหลินเว่ยเว่ยในชุดผ้าเนื้อหยาบท่ามกลางฝูงชน…เด็กคนนี้กลมกลืนมากเวลาอยู่กับสามัญชน
เวลานี้หลินเว่ยเว่ยกำลังสอนวิธีทำปุ๋ยสูตรต่าง ๆ ให้พวกเกษตรกร “เมื่อครู่พูดถึงปุ๋ยคอกจบแล้ว ต่อไปจะพูดเรื่อง ‘ปุ๋ยหมัก’ อันที่จริงก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไร แค่ใช้ฟาง พืชและมูลสัตว์มากองซ้อนกันเป็นชั้น เรียกว่า ‘วิธีเหยียบมูล’ ที่บันทึกไว้ในตำราโบราณ ปุ๋ยที่ผ่านการย่อยสลายแล้วจะอุดมสมบูรณ์ด้วยสารอาหารและช่วยปรับปรุงดินให้มีความอุดมสมบูรณ์ได้ดีมาก ! ”
จากนั้น นางก็เริ่มอธิบายวิธีทำปุ๋ยหมัก โดยพื้นฐานแล้วเป็นการกองหญ้าในคอกวัว จากนั้นก็คลุมด้วยดินแล้วใช้ประโยชน์จากการเหยียบของวัวในคอกช่วยย่อยสลาย…
“ถ้าในบ้านไม่เลี้ยงสัตว์ก็นำกากตะกอนมาทำปุ๋ยได้ เช่น บ่อน้ำทิ้งทางตะวันตกเฉียงใต้ของหมู่บ้านคนบาป ในนั้นมี ‘เชื้อจุลินทรีย์’ อยู่มากมาย ก็คือสารอาหารนั่นเอง…มีอย่างอุดมสมบูรณ์เชียวล่ะ หลังขุดตะกอนขึ้นมาแล้วก็ตากให้แห้งบนหน้าดิน จากนั้นค่อยนำไปผสมกับมูลสัตว์อื่น ๆ นี่คือวิธี ‘เพาะเลี้ยงในน้ำ’ (Aquaculture) ” หลินเว่ยเว่ยรู้สึกดีที่มีความจำไม่เลว นางยังจำวิธีหมักปุ๋ยของคนสมัยโบราณที่ได้เรียนรู้จากชาติก่อนได้
“หลินเว่ยเว่ย ! ” องค์ชายเจ็ดเห็นนางพูดไม่จบสักที ดูท่าทางแล้วไม่สังเกตเห็นการมาถึงของพระองค์จึงตะโกนออกไป
หลินเว่ยเว่ยหันไปมองตามทิศทางของเสียง ทันใดนั้นนางก็ต้องตกใจแล้วหันไปพูดกับพวกชาวบ้านที่อยู่โดยรอบว่า “วันนี้ก็พอแค่นี้ก่อนแล้วกัน ! อากาศค่อนข้างร้อน สามารถทำปุ๋ยหมักจากตะกอนในบ่อน้ำทิ้งได้ รอให้ข้าวโพดของพวกเจ้าเก็บเกี่ยวเสร็จเมื่อใดก็สามารถเลี้ยงสัตว์บางชนิดได้ จากนั้นค่อยทำปุ๋ยหมักแบบเหยียบมูลต่อ…รับรองว่ามีปุ๋ยพอใช้ พืชผลจะโตไวกว่าเดิม อาหารก็มีมากยิ่งขึ้น นี่คือวงจรชีวิตที่ดีแบบหนึ่ง ! ”
พวกชาวบ้านขอบคุณอย่างสุดซึ้งแล้วพากันกลับบ้านของตน หลังจากล้างมือจนสะอาดแล้ว หลินเว่ยเว่ยก็เดินมาหาองค์ชายเจ็ด นางคารวะพร้อมพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ไอโหยว ลมอะไรหอบองค์ชายเจ็ดมาหรือเพคะ ? ”
“จะมีลมอะไรได้อีก ? ก็ต้องเป็นลมตะวันออกเฉียงใต้อยู่แล้ว ! ถ้าเปลี่ยนเป็นลมตะวันตกเฉียงเหนือจะไม่ยิ่งพัดเปิ่นหวางให้ไกลออกไปเรื่อย ๆ หรอกหรือ ? ” องค์ชายเจ็ดบีบพระนาสิกพลางตรัสด้วยสุรเสียงอู้อี้น่าขบขัน
หลินเว่ยเว่ยพาอีกฝ่ายไปยังสถานที่มีลมพัดเข้าออกได้ดี แล้วชี้ไปทางบ้านทรงเตี้ยที่เรียงแถวกันอยู่ “เห็นพวกนั้นหรือไม่เพคะ ? เป็นเตาอิฐสำหรับทำปุ๋ย นอกจากรักษาสารอาหารในปุ๋ยได้แล้ว ยังคงสภาพของปุ๋ยไว้ได้ด้วย องค์ชายเจ็ดคิดว่ากลิ่นนี้เหม็นไม่น่าดม แต่นี่เป็นสิ่งที่ใช้หล่อเลี้ยงชีวิตของราษฎร ! พระองค์เห็นไร่ข้าวโพดทางนั้นหรือไม่ ? องค์ชายเจ็ด ทรงคิดว่าข้าวโพดพวกนั้นของหม่อมฉันเป็นอย่างไรบ้างเพคะ ? ”
“ก็ดี ! ” องค์ชายเจ็ดทำงานอยู่ในกรมคลังมาได้สักพักจึงพอเข้าพระทัยเรื่องพืชผลอยู่บ้าง ข้าวโพดหนึ่งพันกว่าหมู่นี้เติบโตได้ดีทีเดียว มองไม่ออกเลยสักนิดว่าปลูกในพื้นที่รกร้างเพิ่งแผ้วถางใหม่
หลินเว่ยเว่ยพูดต่อ “ปลูกบนดินทรายยังเติบโตได้ดีกว่าดินอุดมสมบูรณ์ ใช่ว่าข้าวโพดไม่เลือกดิน แต่เพราะผลงานของปุ๋ยคอกเหล่านี้ด้วยเพคะ ! รอให้ถึงช่วงเก็บเกี่ยวในฤดูใบไม้ร่วงเมื่อใด หม่อมฉันจะหว่านเมล็ดหญ้าลงในไร่แล้วพลิกหน้าดินก่อนเข้าสู่ฤดูหนาว หลังผ่านฤดูหนาวอันเนิ่นนานไปแล้ว หญ้าพวกนี้จะกลายเป็นปุ๋ยที่อุดมสมบูรณ์ สร้างสารอาหารแก่พืชผลในฤดูใบไม้ผลิ เมื่อรอให้ผ่านไปอีกสองสามปี ดินทรายพวกนี้ก็จะกลายเป็นผืนดินอุดมสมบูรณ์ แล้วปริมาณผลผลิตก็จะเพิ่มขึ้นกว่าเดิม…”
พูดถึงเรื่องการเพาะปลูก หลินเว่ยเว่ยก็พูดได้ชนิดน้ำไหลไฟดับพร้อมหน้าตาที่เปล่งประกายออกมา องค์ชายเจ็ดทอดพระเนตรเงียบ ๆ…บางทีบนที่ดินอันกว้างใหญ่แห่งนี้อาจเหมาะสมกับนางยิ่งกว่าตำหนักหลังใหญ่ ! การที่หมินอ๋องไม่ให้นางแต่งงานกับลูกหลานขุนนางในเมืองหลวงก็ถือว่าเป็นความคิดที่ถูกต้องแล้ว !
“จริงสิ องค์ชายเจ็ดเพคะ พระองค์คงไม่ได้แอบหนีออกจากเมืองหลวงใช่หรือไม่ ? ” จู่ ๆ หลินเว่ยเว่ยก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนาพลางมององค์ชายเจ็ดตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าด้วยแววตาสงสัย