ตอนที่ 312 คืนให้ข้าเถิด

อลวนรักหมอหญิงชิงลั่ว

ตอนที่ 312 คืนให้ข้าเถิด
ตอนที่ 312 คืนให้ข้าเถิด

ฝีเท้าของอวี้ชิงลั่วหยุดลงจริง ๆ เพียงแต่สายตาที่ทอดมองอวี้เจี้ยนต๋ากลับเย็นชาอย่างมาก

อีกฝ่ายเริ่มเกิดความประหม่าอย่างบอกไม่ถูก วินาทีนั้นเขารู้สึกได้ว่าสายตาของอวี้ชิงลั่วเฉียบคมผิดปกติ แสงที่อยู่ในดวงตาคู่นั้นไม่เหมือนกับบุตรสาวผู้อ่อนโยนและสงบเสงี่ยมที่อยู่ในความทรงจำของเขาเลย

อวี้เจี้ยนต๋ารู้สึกหวาดหวั่นเล็กน้อย คิดอยากจะถอยหลังออกไป ทว่าขาทั้งสองข้างราวกับถูกตรึงอยู่บนพื้น

ผ่านไปครู่ใหญ่ เขาจึงกลืนน้ำลายพูดอย่างลนลานว่า “ชิง…ชิงลั่ว เจ้ากำลังโกรธเคืองพ่อใช่หรือไม่? พ่อรู้ว่าตอนนั้น…”

“ใต้เท้าอวี้ ในเมื่อเป่าเอ๋อร์ไม่ได้รับการปฏิบัติที่ดีภายในจวนอวี้ ข้าและเขาต่างก็ถูกชะตาต่อกัน หลังจากนี้ก็ให้เขามาติดตามข้า ข้าจะดูแลเขาเอง” อวี้ชิงลั่วพูดแทรกคำพูดของอีกฝ่าย นางไม่มีความคิดจะฟื้นฝอยหาตะเข็บกับอีกฝ่ายภายในเรือนรับรองของอาณาจักรหลิวอวิ๋นที่นี่จริง ๆ

อวี้เจี้ยนต๋าเลอะเลือนแล้วหรือ ภายในห้องแห่งนี้ยังมีรัชทายาทฉียืนอยู่ บางอย่างพูดได้หรือไม่ได้ ควรหรือไม่ควร เขาไม่รู้บ้างเลยหรือกระไร?

อวี้เจี้ยนต๋าชะงัก ก่อนจะก้มหน้าลงเล็กน้อย มองอวี้เป่าเอ๋อร์ที่ถูกอวี้ชิงลั่วจูงมือ ลำคอแห้งผาก กลืนน้ำลายและกล่าวว่า “แต่เป่าเอ๋อร์เขา…ป่วยแล้ว…”

“ข้าเปล่านะ” อวี้เป่าเอ๋อร์เม้มปาก จ้องหน้าอีกฝ่ายด้วยความดื้อรั้น

“เป่าเอ๋อร์ หมอเคยมาดูอาการเจ้าแล้ว เจ้าป่วยสติฟั่นเฟือนจริง ๆ เจ้ากลับบ้านกับพ่อเถอะ” หากมิใช่เพราะป่วย เหตุใดถึงได้วิ่งมาเจอกับองค์ชายสิบสามถึงที่นี่ได้?

ฉีหานเว่ยยังยืนอึ้งอยู่ รู้สึกว่าเป็นเช่นนี้ต่อไปคงไม่ใช่วิธีการที่ดี อีกอย่างอวี้ชิงลั่วก็เพิกเฉยเขาอย่างสมบูรณ์ เขาที่เป็นรัชทายาทยืนอยู่ตรงนี้กลับคล้ายมนุษย์ล่องหนผู้หนึ่งเท่านั้น

ฉีหานเว่ยจึงหันกลับไปส่งสายตาให้ฉีหานเทียน เพื่อให้เขาพูดอะไรสักหน่อย

ฉีหานเทียนไม่พอใจ บุ้ยปากละสายตาไปทางอื่น เขาทำให้นางขุ่นเคืองแล้ว ตอนนี้เขามิอาจทำให้อวี้ชิงลั่วเกลียดเพิ่มได้อีก

ฉีหานเว่ยมุมปากกระตุกวูบ ถลึงตาใส่ฉีหานเทียนก่อนจะก้าวเท้าไปด้านหน้าสองสามก้าว ยืนคั่นระหว่างสองพ่อลูกคู่นั้นที่กำลังมองหน้ากัน กล่าวเคล้ารอยยิ้มว่า “แม่นาง เมื่อครู่เราก็ได้ยินใต้เท้าอวี้พูด คิดว่าแม่นางมีทักษะทางการแพทย์ขั้นสูง จึงอยากให้แม่นางช่วยดูแลคุณชายน้อยตระกูลอวี้ให้หน่อย”

อวี้ชิงลั่วเหลือบมองเขาปราดหนึ่ง รัชทายาทฉีผู้นี้คงว่างมากกระมัง ถึงได้คิดจะสนใจเรื่องในครอบครัวของขุนนางอาณาจักรอื่น

ฉีหานเว่ยสบตานางอย่างเงียบสงบ ราวกับกำลังบอกนางว่าเขา ‘เป็นคนฉลาด เมตตา เอาใจใส่เรื่องของผู้ใต้บังคับบัญชา แม้กระทั่งเรื่องในครอบครัวของขุนนางก็เช่นกัน’

อวี้ชิงลั่วหันกลับมายิ้มเยาะ “เป่าเอ๋อร์สบายดี เขาป่วยตรงไหนกัน? ใต้เท้าอวี้ลองว่ามาสิ หมอที่ไหนถึงได้ไร้วิชาเช่นนี้ วินิจฉัยว่านายน้อยที่อาการดี ๆ กลายเป็นคนสติฟั่นเฟือนเสียได้”

อวี้เจี้ยนต๋าชะงัก “มีหมอหลายคนที่มาดูอาการ…”

“ใต้เท้าอวี้เป็นคนเชิญหมอเหล่านั้นมาด้วยตนเองรึ? หมอเหล่านั้นบริสุทธิ์ใจทั้งหมดหรือไม่? หมอเหล่านั้นเก่งเรื่องทักษะทางการแพทย์รึ?”

อวี้เจี้ยนต๋าถึงกับพูดไม่ออก การเผชิญหน้ากับอวี้ชิงลั่วที่กดดันผู้อื่นเช่นนี้ ทำให้เขาชะงักจนไม่รู้ว่าควรจะตอบกลับไปอย่างไร ความละอายใจที่เก็บซ่อนอยู่ใต้ก้นบึ้งหัวใจมากหลายปีเหล่านั้น เมื่อมายืนอยู่ตรงหน้านาง กลับทำให้เขาไม่มีความมั่นใจไปชั่วขณะหนึ่ง น้ำเสียงที่พูดก็มิอาจเปล่งให้ดังขึ้นได้

ฉีหานเว่ยกลับพอจะได้ยินบางอย่าง ไม่ว่าจะไปที่ใดก็หนีไม่พ้นการทะเลาะเบาะแว้งในครอบครัวจริง ๆ นายน้อยตระกูลอวี้ผู้นี้ช่างน่าสงสารนัก ไม่สิ บางทีควรพูดว่า อวี้ชิงลั่วก่อนหน้านี้ก็เป็นเหยื่อของการต่อสู้เบื้องล่างเหล่านั้น

แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ตอนนี้เปลี่ยนนิสัยอย่างสมบูรณ์แล้ว

ดูเหมือนว่าเขาคงต้องให้คนไปตรวจสอบเรื่องนี้อย่างละเอียดสักหน่อยแล้ว

“ใต้เท้าอวี้ ทักษะทางการแพทย์ของข้าเป็นเช่นไร รัชทายาทฉีและองค์ชายสิบสามรู้ดีที่สุด ข้าบอกว่าเป่าเอ๋อร์ไม่ได้เป็นคนสติฟั่นเฟือนก็คือไม่เป็น หากใต้เท้าอวี้เป็นห่วงลูกชายคนนี้จริง ๆ ก็คิดให้ดีว่าเพราะเหตุใดหมอเหล่านั้นถึงได้พูดโกหก เรื่องนี้เป็นประโยชน์ต่อใครมากที่สุด อย่าได้ถูกคนอื่นหลอกเหมือนคนโง่มาหลายปีแต่ยังอิ่มเอมใจ” อวี้ชิงลั่วขมวดคิ้ว นางรู้สึกได้ว่าอวี้เป่าเอ๋อร์กำลังดึงแขนเสื้อของนางอย่างเงียบ ๆ

ดูเหมือนว่า อวี้เป่าเอ๋อร์ก็คงจะใจอ่อน และทนดูสภาพของพ่อตัวเองเป็นเช่นนี้ไม่ได้

อวี้เจี้ยนต๋าชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะหันไปมองฉีหานเว่ย

อีกฝ่ายพยักหน้า พูดอย่างจริงใจว่า “เราและองค์ชายสิบสามเกือบตาย โรคที่แม้แต่หมอหลวงก็รักษาไม่ได้ แต่แม่นางกลับรักษาให้หายได้” เขาย่อมไม่พูดถึงเจียงอวิ๋นเซิงและคนอื่น ๆ ทว่าเจียงอวิ๋นเซิงเป็นลูกศิษย์ของหัวหน้าไท่อีเยวี่ยนคนก่อน เช่นนั้นก็ถือว่าใช้ได้แล้ว

อวี้เจี้ยนต๋าถึงกับขมวดคิ้วมุ่น ทักษะทางการแพทย์ของชิงลั่วดีขนาดนี้เชียวรึ? หกปีมานี้เกิดอะไรขึ้นกันแน่ นางหนีออกมาจากทะเลเพลิงในตอนนั้นได้อย่างไรกัน แล้วศพที่อยู่ในวัดร้างนั้นคือผู้ใดกัน?

ภายในใจของเขาเกิดความสงสัยมากมาย ทว่าคำพูดเหล่านั้นของอวี้ชิงลั่วกลับกระแทกเข้ากลางใจของเขา

อวี้เจี้ยนต๋าก้มหน้ามองอวี้เป่าเอ๋อร์ปราดหนึ่ง ทว่ากลับพบว่าลูกชายคนที่เขาปล่อยปะละเลยมาโดยตลอด กลับมีดวงตาที่สว่างสดใสบริสุทธิ์ราวกับดวงดารา มองไม่เห็นสิ่งผิดปกติแม้แต่น้อย

คำพูดของอวี้ชิงลั่วกระแทกเข้ากลางใจของเขา อวี้เจี้ยนต๋าถึงกับตกตะลึงไปชั่วขณะหนึ่ง นึกถึงเฉินจีซินที่แม้ว่าอารมณ์ร้อนไปสักหน่อยแต่ก็ปฏิบัติกับทุกคนเป็นพิเศษ นึกถึงฉากในตอนนั้นที่เกิดเรื่องกับชิงลั่วนางก็พยายามพูดโน้มน้าวใจตนเองอย่างยากลำบากแต่ก็ถูกเขาใช้เท้าเตะ นึกถึงท่าทางของเฉินจีซินที่ร้องห่มร้องไห้อยู่บ่อย ๆ หลังจากได้ยินหมอบอกว่าอวี้เป่าเอ๋อร์สติฟั่นเฟือน

แต่ไม่ว่าจะคิดอย่างไร เขาก็ไม่เห็นว่านางจะเป็นสตรีที่มีความเหี้ยมโหดประเภทนั้นได้เลย

อวี้ชิงลั่วรู้ดีว่าเขาคงไม่เชื่อ มิเช่นนั้นเขาคงไม่กักขังอวี้เป่าเอ๋อร์อยู่ในเรือนเป็นเวลาหลายปี เพราะคำพูดของเฉินจีซินเพียงไม่กี่ประโยค

เมื่อเห็นว่าอวี้เป่าเอ๋อร์กระตุกแขนเสื้อของนางอีกครั้ง อวี้ชิงลั่วก็ถอนหายใจอย่างห้ามไม่อยู่ ย่อตัวจับมือของเขาไว้ กล่าวเสียงทุ้มต่ำว่า “ไม่ต้องกังวล หลังจากนี้ข้าจะปกป้องเจ้าเอง พ่อของเจ้าเชื่อเจ้าก็ดี ไม่เชื่อเจ้าก็ไม่เป็นไร หลังจากนี้เจ้ายังมีข้าอยู่ข้าง ๆ ใครก็ทำอะไรเจ้าไม่ได้ เขาอยากจะทำเช่นไรก็เป็นเรื่องของเขา ข้าไม่คิดจะสนใจ และคงทำอะไรไม่ได้ แต่หลังจากนี้จะไม่มีใครมองว่าเจ้าเป็นคนบ้าอีกแล้ว…เข้าใจหรือไม่?”

อวี้เป่าเอ๋อร์พยักหน้าด้วยท่าทางเหมือนจะเข้าใจแต่ก็ไม่เข้าใจ

ทว่าอวี้เจี้ยนต๋ากลับประหลาดใจ ความละอายใจที่มีต่ออวี้เป่าเอ๋อร์ปะทุขึ้นภายในใจ

อวี้ชิงลั่วพูดจบ ก็ลุกขึ้นยืนอีกครั้ง พูดกับฉีหานเว่ยและคนอื่น ๆ ว่า “รัชทายาทฉี วันนี้รบกวนพวกท่านแล้ว ตอนนี้ก็สายแล้ว ข้าต้องขอตัวกลับก่อน”

“นี่? แม่นาง เรายังไม่ได้ตอบแทนบุญคุณเจ้าเลยนะ” ฉีหานเว่ยไม่เคยคิดว่าจะปล่อยนางกลับไปเช่นนี้ เขายังอยากได้ยินจากปากนางว่านางคือแม่นางชิง หมอปีศาจคนนั้นที่ผู้คนกำลังพูดคุยกันอย่างครึกครื้นภายในเมืองหลวงใช่หรือไม่?

อวี้ชิงลั่วได้ยินเช่นนี้จึงก้มหน้าเงียบขรึมไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าตอบว่า “ท่านว่ามาก็ถูก บุญคุณในครั้งนี้ต้องตอบแทนแน่นอน รัชทายาทฉีมีคุณธรรมอันสูงส่งรู้จักตอบแทนบุญคุณคน ข้าเองก็รู้สึกไม่ดีที่จะปฏิเสธความกรุณาของรัชทายาท เอาเช่นนี้ดีหรือไม่ ท่านคืนแผ่นป้ายนั่นให้ข้า รอถึงเวลาที่ข้าเผชิญหน้ากับเรื่องวิกฤต ข้าก็หวังว่ารัชทายาทฉีจะช่วยเหลือได้”

พูดจบ นางก็ยื่นมือไปหาฉีจ้าน

……………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

ใต้เท้าอวี้โดนหลอกมาหลายปีก็น่าสงสารเขาอยู่เหมือนกันนะคะ แต่ก็จงใช้กรรมที่หูเบาเชื่อสตรีอสรพิษจนไม่ดูดำดูดีลูกทั้งสองคนไปแล้วกัน

ไหหม่า(海馬)