ตอนที่ 38 เพลิงพิฆาตวารีอาสัญ (1)
ผ่านไปอีกสักพัก ในที่สุดหัวใจของข้าก็สงบแล้วเริ่มครุ่นคิดคำนวณว่าจะรับมือกับสถานการณ์ตอนนี้อย่างไร สี่ร้อยต่อกรกับสามพัน สองฝ่ายต่างเป็นทหารฝีมือเยี่ยม แต่ฝ่ายเรามีข้าคนนี้เป็นตัวถ่วง เกรงว่าอยากหนีก็คงหนีไม่รอด เรื่องลู่ช่านค่อยคิดหลังจากนี้ก็ไม่สาย ตอนนี้หนีเอาชีวิตรอดเป็นภารกิจเร่งด่วน
ข้าบังคับตนเองให้ลืมเลือนความจริงที่ว่าตนกำลังอยู่ภายในรถม้าโคลงเคลงดำมืด แล้วพินิจพิจารณาว่าจะช่วยตนเองกับคนอื่นๆ เช่นไร ครู่หนึ่งข้าก็พลันเกิดความคิด แม่ทัพเฟยหู่ผู้นั้นถ่ายทอดคำสั่งว่าให้จับเป็นข้า สังหารฉีอ๋อง สำหรับเขาแล้วความสำคัญของข้ากับฉีอ๋องไม่เท่ากัน ดูจากเงินรางวัล เหมือนข้าจะสำคัญกับพวกเขามากกว่าหน่อย แต่ในสายตาข้าอาจมิใช่เช่นนั้น
สำหรับแม่ทัพผู้นำทหาร ความเป็นความตายของฉีอ๋องย่อมสำคัญกับพวกเขามากกว่า เกรงว่าแม่ทัพเหล่านี้คงไม่เข้าใจความสำคัญของข้า สำหรับพวกเขา ข้าอาจเป็นเพียงภารกิจที่พวกเขาต้องทำให้สำเร็จ บางทีอาจเป็นเพราะเหตุนี้ เงินรางวัลของข้าจึงสูงกว่าอยู่บ้าง คงทำเช่นนี้เพื่อไม่ให้แม่ทัพนายทหารเหล่านี้สนใจแต่ไล่ล่าฉีอ๋องท่าเดียวกระมัง ต่อให้ข้าคาดการณ์ผิด แล้วพวกเขาเห็นข้าสำคัญยิ่งกว่าฉีอ๋อง ก็ไม่เป็นอุปสรรคอันใดต่อแผนการของข้า
ข้ากำลังคิดเช่นนี้ ทันใดนั้นประตูรถม้าก็ถูกคนกระชากเปิดออก ข้าเห็นฉีอ๋องผู้อาภรณ์เต็มไปด้วยเลือดตะโกนบอกข้า “สุยอวิ๋น พวกเราต้องแยกกันจึงจะรอด”
ข้าคิดในใจ วีรบุรุษช่างมีความคิดคล้ายกันจริงๆ จากนั้นรีบเอ่ยว่า “เจียงเจ๋อก็คิดเช่นนั้นพอดี”
ข้ายื่นศีรษะออกไปก็เห็นว่าที่แท้พวกเรามาถึงถนนคับแคบสายหนึ่งแล้ว สองฝั่งล้วนเป็นภูเขาหิน ฉีอ๋องสั่งคนขวางปากทางไว้จึงต้านทหารที่ไล่ตามมาได้ชั่วคราว
ข้ารีบหยิบเสื้อคลุมสีเขียวที่ทำขึ้นเป็นพิเศษมาจากบนรถแล้วผูกไว้บนร่าง หลังจากนั้นจึงสั่งเสี่ยวซุ่นจื่อว่า “เจ้ารีบเปลี่ยนไปสวมชุดเกราะ หลังจากนั้นพาข้าขี่ม้า พวกเราจะแยกกับฉีอ๋อง ขอองค์ชายโปรดแบ่งกำลังพลให้ข้าอีกห้าสิบนาย ทำเช่นนี้ก็คงแบ่งกำลังของกองทัพศัตรูได้แล้ว”
ดวงตาของฉีอ๋องฉายแววโล่งใจแล้วเอ่ยว่า “สมควรเป็นเช่นนั้น แต่สุยอวิ๋น ท่านต้องระวัง หากเป้าหมายของพวกเขาคือท่าน ข้าเป็นห่วงว่าท่านจะหนีพ้นยาก”
ข้าหัวเราะ “อาจเป็นเช่นนั้น แต่สำหรับแม่ทัพและเหล่าทหารเป่ยฮั่นแล้ว น่ากลัวว่าในสายตาพวกเขาท่านถึงจะเป็นเป้าหมายอันดับแรก ดังนั้นผู้ที่รับแรงกดดันมากที่สุดในครานี้น่าจะเป็นองค์ชาย”
หลังจากนั้นข้ากับฉีอ๋องก็วิเคราะสถานการณ์ศึกอย่างว่องไวอีกเล็กน้อย ผ่านไปครู่หนึ่ง ทหารม้าที่พิทักษ์ปากทางเข้าอยู่ก็เริ่มเหนื่อยล้าหมดแรง เวลานี้เสี่ยวซุ่นจื่อเตรียมทุกสิ่งพร้อมแล้ว เขาปลดอาชากำยำทั้งสองตัวที่ลากรถม้าอยู่ออกมาเป็นอย่างแรก อาชาสีขาวสองตัวนี้คัดเลือกอย่างดีมาล่วงหน้า พวกมันทำหน้าที่อาชาศึกได้ เสี่ยวซุ่นจื่อส่งอาชาตัวหนึ่งให้ทหารม้าอีกคนจูงไว้ หลังจากนั้นจึงเปลี่ยนมาสวมชุดเกราะสีขาวที่ทำขึ้นอย่างดี แล้วจึงหยิบทวนยาวสองท่อนออกมาจากใต้ท้องรถม้า ต่อมันเข้าด้วยกันกลายเป็นทวนยาวหนึ่งจั้งสองฉื่อเล่มหนึ่ง
เสี่ยวซุ่นจื่อเดินมาประคองข้าขึ้นอาชาศึก แล้วตัวเขาเองจึงค่อยกระโดดขึ้นมา ให้ข้านั่งอยู่ด้านหลัง เขาใช้สายคาดเอวมัดข้ากับเขาไว้ด้วยกันอย่างใส่ใจ เวลานี้ราชองครักษ์หู่จีร้อยนายกับองครักษ์ของฉีอ๋องห้าสิบนายแยกออกมาตั้งกลุ่มแล้ว ข้าสบตาฉีอ๋องจากบนหลังม้าแล้วเอ่ยอย่างเยือกเย็น “องค์ชาย กระหม่อมไปก่อน”
กล่าวจบ เสี่ยวซุ่นจื่อพลันออกคำสั่ง ทหารม้าของพวกเรากองนี้ซึ่งประกอบไปด้วยราชองครักษ์หู่จีหนึ่งร้อยนายกับองครักษ์คนสนิทของฉีอ๋องห้าสิบนายพุ่งนำออกไปยังทุ่งกว้างก่อน หลังจากพุ่งออกไปได้สองสามลี้ ข้าจึงหันกลับไปมอง เห็นฉีอ๋องนำทหารม้าอีกกองหนีไปยังอีกทิศหนึ่ง รถม้าคันนั้นที่ข้าทำมาเป็นพิเศษถูกผลักให้ล้มคว่ำอยู่ที่ปากทางเข้าเพื่อขวางทหารที่ไล่ติดตาม รถม้าของข้าค่อนข้างหนัก ดูท่าชั่วครู่ชั่วยามพวกเขาคงตามมาไม่ทัน
การแยกทัพครั้งนี้ ข้าครุ่นคิดพิจารณาอยู่นานจึงคิดออก แต่ฉีอ๋องกลับคิดเรื่องนี้ออกรวดเร็วปานนี้ ทำให้ข้านับถือนัก ก็เขาทำสงครามมาตลอดนี่หนอ
เป้าหมายของศัตรูมีอยู่สองประการ ต่อให้พวกเราอยู่รวมกัน กำลังก็ไม่ได้เพิ่มมากขึ้นเท่าไร แต่ศัตรูกลับโถมเข้ามาเต็มกำลังได้ แม้ยามนี้พวกเราแบ่งทหาร กำลังลดทอนลง แต่ศัตรูก็จะสับสนเพราะต้องวางแผนว่าจะจัดแบ่งกองทัพอย่างไร กล่าวโดยสรุปก็คือพวกเราไม่มีทางเสียเปรียบ ยิ่งไปกว่านั้น หากเอาแต่หนีไม่โต้กลับย่อมพ่ายแพ้แน่ ตอนนี้กล่าวได้ว่าฉีอ๋องไม่มีห่วงให้พะวงแล้ว เขาย่อมคิดหาวิธีโต้กลับได้
เวลานี้เอง เสี่ยวซุ่นจื่อที่อยู่ด้านหน้าก็เอ่ยว่า “คุณชาย ด้านหลังมีทหารไล่ตามมาราวหนึ่งพันนาย พวกเราจะทำเช่นไร”
ในใจข้านึกยินดี เป็นดังคาด สำหรับแม่ทัพทหารกล้าเหล่านั้น ฉีอ๋องแม่ทัพใหญ่แห่งต้ายงผู้นี้จึงจะเป็นเป้าหมายสำคัญที่สุด แต่ทหารม้าหนึ่งพันนายก็มิใช่จำนวนน้อย หากมิกำจัดเสียให้หมด พวกเราก็ไม่อาจสลัดหนีแล้วไปช่วยฉีอ๋องได้ ข้ามองภูมิประเทศรอบด้านแล้วกล่าวว่า “ให้ฮูเหยียนโซ่วไปทางทุ่งร้าง ที่ตัวข้าพกเพลิงเทวาเหาะเหินมายี่สิบแท่ง”
เอ่ยนิดเดียวเสี่ยวซุ่นจื่อก็เข้าใจ เขาพยักหน้าตอบทันใด “ข้าเข้าใจแล้ว น้ำไฟไร้เมตตา เป็นวิธีการที่ดีจริงๆ”
กล่าวจบเขาก็หารือกับฮูเหยียนโซ่วผู้เป็นหัวหน้าทหารม้า ฮูเหยียนโซ่วเดิมทีเป็นองครักษ์คนสนิทข้างกายข้าตอนอยู่จวนยงอ๋อง ครั้งนี้ฝ่าบาทจงใจส่งเขามาก็ด้วยเหตุผลประการนี้ มิฉะนั้นผู้ที่เป็นถึงรองแม่ทัพแห่งกองราชองครักษ์หู่จีคนหนึ่งจะลดตัวลงมาทำงานนี้ได้เช่นไร
ข้าฟังเขากับเสี่ยวซุ่นจื่อหารือกันว่าจะล่อศัตรูมาติดกับอย่างไร แล้วก็คิดว่าเขาช่างเป็นแม่ทัพผู้ชำนาญการใช้ทหารจริงๆ ในใจข้าลอบสวดภาวนาให้ทำสำเร็จในครั้งเดียว มิเช่นนั้นชีวิตน้อยๆ ของข้าเกรงว่าคงต้องจบอยู่ที่นี่เสียแล้ว
เวลานี้เอง ทหารที่ไล่ตามมาด้านหลังก็ค่อยๆ ใกล้เข้ามา ช่วยไม่ได้ แม้ทักษะการขี่ม้าของเสี่ยวซุ่นจื่อจะยอดเยี่ยม แต่เทียบกับทหารม้าผู้แทบจะใช้ชีวิตอยู่บนหลังม้าทั้งวันเหล่านี้ก็ยังด้อยกว่ามาก โชคดีที่ฮูเหยียนโซ่วบัญชาการได้ไม่เลว สั่งให้อ้อมไปอ้อมมา จึงไม่ถูกกองทัพฝ่ายศัตรูด้านหลังโอบล้อม
ผ่านไปสักพัก กองทัพศัตรูก็ถูกพวกเราล่อเข้ามาในทุ่งกว้างที่มีหญ้ารกครึ้มผืนหนึ่ง ช่วงปลายสารท ทุ่งหญ้ากว้างแห้งเหี่ยวเป็นสีเหลืองติดไฟง่าย เมื่อเสี่ยวซุ่นจื่อเห็นว่าทิศทางลมเหมาะสมพลันตะโกนเสียงดัง ทุกคนเร่งความเร็วอาชา แต่ทหารม้าเป่ยฮั่นด้านหลังยังไล่ตามมาโดยคงความเร็วอาชาไว้ดังคาด
สิ่งนี้เป็นสิ่งที่พวกเราคาดเดาไว้แล้ว ยามทหารม้าไล่สังหารศัตรู สิ่งที่หวั่นเกรงที่สุดก็คือการควบอาชาเต็มกำลัง หากทำเช่นนั้น ยามอาชาหมดเรี่ยวแรงก็จะถูกสลัดทิ้งได้ง่าย ดังนั้นโดยปกติแล้ว หากมิได้ล้อมศัตรูไว้ หรือด้านหน้ากองทัพศัตรูไม่มีทางให้ไปต่อแล้ว ปกติพวกเขาจะไม่ควบอาชาเต็มกำลัง โดยพื้นฐานแล้วจะคุมความเร็วของอาชา ติดตามกองทัพศัตรูอย่างไม่รีบร้อนแต่ก็ไม่ชักช้า รอจนพวกเขาเหน็ดเหนื่อยทั้งคนทั้งอาชาค่อยโหมโจมตี เอาชนะในคราเดียว แน่นอนว่าเรื่องนี้ตั้งอยู่บนเงื่อนไขที่ว่ายามนั้นทหารม้าของฝ่ายศัตรูกับฝ่ายเรากำลังใกล้เคียงกัน หากกองทัพศัตรูอ่อนแอเกินไปย่อมมิอาจใช้วิธีการนี้ได้
ด้วยเหตุนี้เมื่อพวกเสี่ยวซุ่นจื่อเร่งฝีเท้าม้า ทหารที่ตามมาด้านหลังจึงถูกทิ้งห่างออกไปเล็กน้อย พวกเขาไม่ได้เร่งฝีเท้าม้าตามมาเพราะไม่ต้องการถูกพวกเราลากให้เหนื่อยไปด้วย
น่าเสียดาย ครั้งนี้พวกเขาทำเช่นนี้นับว่าผิดมหันต์ ขณะที่ระยะห่างของทั้งสองฝ่ายห่างกันเกือบจะถึงสองลี้ ทันใดนั้นฮูเหยียนโซ่วก็ผิวปาก ทหารฝ่ายข้าแยกออกเป็นกลุ่มย่อยสิบกว่ากลุ่ม กระจายออกไปรอบด้าน
ข้าได้ยินกองทหารเป่ยฮั่นด้านหลังหัวเราะลั่นเสียงดัง พวกเขาคงคิดว่าทหารฝ่ายเราจะแยกย้ายกันหลบหนี ถ้าเป็นเช่นนั้น พวกเขาย่อมชนะอย่างไม่ต้องสงสัย ข้าถึงขั้นได้ยินเสียงความสนุกสนานที่จะได้ไล่ล่าเหยื่อแฝงอยู่ในเสียงหัวเราะของพวกเขา
ในตอนนี้เอง เสี่ยวซุ่นพลันชักม้าหันหลังกลับ ในมือมีกระบอกสีเงินแท่งน้อยเพิ่มขึ้นมา จากนั้นกดกลไกบนนั้นติดๆ กัน เปลวเพลิงทะยานออกมาจากด้านใน ลุกติดทุ่งหญ้าที่มีแต่หญ้าแห้งอย่างรวดเร็ว
หากเป็นการจุดไฟปกติธรรมดา เกรงว่ายังไม่ทันที่ไฟจะโหมแรง กองทหารเป่ยฮั่นก็คงทะลวงฝ่าแนวเปลวเพลิงมาแล้ว แต่เพลิงเทวาเหาะเหินที่เสี่ยวซุ่นจื่อใช้ครั้งนี้ไม่ใช่ของธรรมดา เพียงชั่วครู่เปลวเพลิงกองโตก็แผ่ลาม
ในเวลาเดียวกันนี้ ทหารต้ายงที่แยกย้ายไปรอบด้านต่างก็จุดไฟกองโตจากตำแหน่งอื่นๆ เปลวเพลิงกองโตเชื่อมเข้าหากันอย่างรวดเร็วยิ่งนัก วงล้อมเปลวเพลิงทรงพระจันทร์เสี้ยวโถมเข้าหาทหารม้าเป่ยฮั่น รอบที่แห่งนี้ล้วนมีแต่หญ้ารกมากมาย ทหารม้าเป่ยฮั่นอยากจะอ้อมวงล้อมเปลวเพลิงมาไล่ตามก็ไม่ทันการแล้ว ทำได้เพียงถอยไปด้านหลังเท่านั้น แต่ทิศทางที่พวกเขาอยู่คือใต้ลม เปลวเพลิงพร้อมควันดำขโมงไล่ตามหลังพวกเขา พวกเขาเพิ่งหนีได้เจ็ดแปดลี้ก็ค้นพบอย่างสิ้นหวังว่าเปลวเพลิงกองโตแบบเดียวกันขวางหนทางกลับของพวกเขาเอาไว้แล้ว
ข้าได้ยินเสียงกรีดร้องชวนสลดจากด้านในทะเลเพลิง ในใจนอกจากหวาดกลัวก็รู้สึกลำพองเล็กน้อยอย่างช่วยไม่ได้ โชคดีที่เพลิงเทวาเหาะเหินรูปทรงเล็กกะทัดรัดแต่พลังมากยิ่งนัก ข้าจึงพกติดมาในรถม้าได้ถึงยี่สิบแท่ง แม้ยามนี้แทบจะใช้หมดเกลี้ยงแล้ว แต่ทำลายทหารม้าที่ไล่ตามมาได้นับพันก็ถือว่าใช้ของได้คุ้มค่า แม้ข้าทราบว่าจะทำลายกองทัพศัตรูทั้งกองทัพคงเป็นไปไม่ได้ แต่อย่างน้อยกำจัดคนกับม้าของพวกเขาได้เกินครึ่งก็เพียงพอแล้ว
ทว่าสิ่งที่ข้านึกเสียใจอยู่เล็กน้อยก็คือนายทหารสี่คนที่ส่งไปจุดไฟด้านหลังเกรงว่าคงยากจะรอด เพื่อกำจัดกองทัพศัตรูทั้งหมดให้สำเร็จสมประสงค์ ข้าให้ฮูเหยียนโซ่วส่งคนสี่คนผละออกไประหว่างทาง แล้วย้อนกลับไปตีกระหนาบสองฝั่ง เมื่อเห็นเปลวเพลิงลุกด้านหน้า ทหารเป่ยฮั่นทะยานหนีกลับมาก็ให้จุดไฟเพิ่มอีกสองกอง เมื่อเป็นเช่นนี้ เปลวเพลิงก็จะเชื่อมเข้าหากันจนขวางทางรอดของกองทัพศัตรูไว้ แต่เพลิงเทวาเหาะเหินร้ายกาจเกินไป แล้วตอนนี้ลมยังแรงเช่นนี้ พวกเขาคงกลับมามิได้แล้ว
หัวใจข้านับถือความกล้าหาญของพวกเขายิ่งนัก แม้รู้ดีว่ารั้งอยู่จุดไฟอันตรายมาก ทว่าพวกเขาแต่ละคนกลับแย่งกันขันอาสาจนข้ารู้สึกอับอายอย่างมิอาจห้าม
ตอนต่อไป