คำกล่าวของเจินซื่อเฉิงทำเอาฉีอ๋องตะลึงค้างราวกับถูกไม้หน้าสามฟาดเข้าให้ บุรุษหนุ่มหูอื้อตาลายในบัดดล
เจียงซื่อหลุบตาพยายามกลั้นยิ้ม
ในแง่ของอารมณ์ นางรู้สึกว่าอาจิ่นอยู่รั้งท้ายใต้เท้าเจินมากทีเดียว
จิ่งหมิงฮ่องเต้มองฉีอ๋องด้วยสายตาเย็นชาก่อนจะหันหน้าไปทางฮองเฮา “คนที่เข้ามาที่วังมีคนอื่นๆ อีกหรือไม่”
ฮองเฮาพยักหน้า “นอกจากพระชายาทั้งสองพระองค์แล้ว ยังมีสาวรับใช้และผอจื่ออีกสองสามคนเพคะ”
“พาตัวพวกนางมา”
พานไห่รีบหันไปสั่งข้าหลวง
ผ่านไปไม่นาน ผอจื่อและเหล่าหญิงรับใช้ซึ่งรวมถึงอาหมานก็ถูกพาตัวเข้ามา ทั้งหมดคุกเข่าเรียงเป็นแถว
อาหมานเงยหน้าหันไปมองเจียงซื่ออย่างอาจหาญ แต่เมื่อนางเห็นจิ่งหมิงฮ่องเต้ หญิงรับใช้ก็ตื่นตะลึงขึ้นมาทันที
นางได้เห็นฝ่าบาทแล้ว!
ไม่เคยคิดเลยว่าหญิงรับใช้ตัวเล็กๆ อย่างจะมีโอกาสได้เห็นพระพักตร์ของฝ่าบาท
เหอะๆ เกียรติยศอันน่าภาคภูมิใจเช่นนี้ควรแก่การเอาไปคุยโม้ต่อหน้าอาเฉี่ยวและบ่าวรับใช้ในจวนยิ่งนัก
หญิงรับใช้และผอจื่อคนอื่นๆ มิได้ตื่นเต้นอย่างอาหมาน พวกนางตัวแข็งทื่อ ขนาดหายใจยังไม่กล้าส่งเสียงดัง ฉะนั้นพวกนางไม่มีทางกล้าเงยหน้ามองฝ่าบาทอย่างแน่นอน
จิ่งหมิงฮ่องเต้กวาดตามองบ่าวรับใช้ที่คุกเข่าเรียงรายอยู่ที่พื้นพลางเอ่ยเสียงขรึม “ใครเป็นคนของจวนฉีอ๋อง”
หญิงรับใช้นางหนึ่งและผอจื่ออีกคนซบหน้าลงถึงพื้นพร้อมตอบด้วยอาการหวาดผวา “บ่าวเพคะ”
ไม่มีเสียงใดลอยมาจากด้านบน
ในเมื่อจิ่งหมิงฮ่องเต้มิได้ตรัส ฮองเฮาและคนอื่นๆ ก็ไม่กล้าพูดอะไร
ในชั่วขณะนั้น อณูความเงียบงันลอยฟุ้งทั่วตำหนัก ความกดดันทอดยาวจนข้ารับใช้จากจวนฉีอ๋องไม่อาจต้านทาน เนื้อตัวของพวกนางสั่นสะท้าน
เวลาเคลื่อนผ่านไปนานเท่าใดไม่อาจทราบได้ก่อนที่น้ำเสียงดุดันของจิ่งหมิงฮ่องเต้จะดังขึ้น “เหตุใดพระชายาของพวกเจ้าต้องปองร้ายพระชายาเยี่ยนอ๋อง”
ทันทีที่วาจานั้นลั่นออกไป ฉีอ๋องก็หันขวับมาทางฮ่องเต้ด้วยสายตาไม่พอใจอย่างยิ่งยวด
เสด็จพ่อหลอกถามนี่!
เจินซื่อเฉิงลูบเคราพลางผงกศีรษะเบาๆ
นี่มันวิธีที่พวกเขามักจะใช้เวลาสอบปากคำ ไม่คิดเลยว่าฝ่าบาทจะทรงมีพรสวรรค์เช่นนี้ด้วย คงเป็นคุณสมบัติที่ติดตัวมาสินะ
ในมุมของเจินซื่อเฉิง เขามองว่าวิธีการนั้นเหมาะกับสถานะของจิ่งหมิงฮ่องเต้มากกว่า
องค์จักรพรรดิหนึ่งเดียวของแผ่นดินสามารถสร้างแรงกดดันมหาศาลให้กับคนธรรมดาได้มากเกินกว่าที่ใครคนหนึ่งจะเดาได้ เมื่อจิ่งหมิงฮ่องเต้ทรงตรัสถามเช่นนี้ คนธรรมดาเก้าในสิบคงจะกลัวจนตัวสั่น และรับสารภาพออกมาเอง
แน่นอนว่าพวกขุนนางที่เถียงคอเป็นเอ็นยามที่ออกว่าราชการไม่ได้ถูกรวมอยู่ในกลุ่มในนี้ และส่วนขุนนางที่ซื่อสัตย์ก็จะไม่สั่นคลอนเพราะวิธีการเช่นนี้
ความคิดนี้แวบเข้ามาให้หัวของเจินซื่อเฉิงในขณะที่เฝ้าสังเกตอากัปกิริยาของหญิงรับใช้และผอจื่อจวนฉีอ๋อง
ในขณะที่ฮ่องเต้ตรัสถามคำถามนั้น ผอจื่อเผลอผงกศีรษะขึ้นมาเล็กน้อยภายใต้ใบหน้าสับสน สาวรับใช้ที่ก้มหน้าอยู่ข้างๆ เอียงศีรษะมาหาด้วยอาการแข็งทื่อ
ทุกสายตาไปหยุดอยู่ที่ร่างของสาวรับใช้
สายตาของจิ่งหมิงฮ่องเต้แข็งกระด้างขึ้นทันใด
พานไห่กระแอมไอดุดัน “บังอาจ ฝ่าบาทตรัสถามพวกเจ้า ยังไม่รีบตอบอีก! หากยังอ้อยอิ่งประวิงเวลาอยู่อย่างนี้ พวกเจ้าก็เตรียมตัวรับโทษประหารเจ็ดชั่วโคตรได้เลย!”
ท่าทีโหดเหี้ยมของพานไห่มิได้ทำให้จิ่งหมิงฮ่องเต้รู้สึกไม่พอใจ
ในช่วงเวลาเช่นนี้ เขาไม่อยากข่มขู่ใครจึงต้องให้พานไห่เป็นคนออกตัวแทน
หญิงรับใช้กลัวสุดชีวิต นางโขกศีรษะตัวเองกระแทกพื้น “บ่าวจะบอกความจริง บ่าวจะบอกความจริงเพคะ ขอฝ่าบาททรงเมตตา อย่าให้โทษของบ่าวตกแก่บิดามารดาของบ่าวเลยนะเพคะ…”
สายตาของจิ่งหมิงฮ่องเต้เย็นชาโดยสมบูรณ์
เมื่อหญิงรับใช้เอ่ยเช่นนี้ก็หมายความว่าพระชายาฉีอ๋องคงมีความผิดเป็นแน่แท้
ฉีอ๋องจ้องหญิงรับใช้อย่างเอาเป็นเอาตาย แววตาขับประกายเปลวเพลิง แต่เพียงไม่นานเขาก็รับรู้ได้ว่ามีสายตาของใครบางคนกำลังจ้องมองเขาอยู่ ในวินาทีนั้นหัวใจชายหนุ่มพลันหยุดนิ่ง เปลวเพลิงในตาแปรเปลี่ยนเป็นความตกใจและความเจ็บปวด
เรื่องดำเนินมาถึงขั้นนี้ หลี่ซื่อคงไม่รอดแล้ว การลงหมากตัวต่อไปเขาต้องระมัดระวังให้มาก ต้องมิให้ผู้ใดจับได้
เจียงซื่อถอนสายตากลับไปพร้อมรอยยิ้มที่มุมปาก
ช้าๆ ได้พร้าเล่มงาม นางไม่มีความจำเป็นต้องรีบร้อน เป้าหมายของนางกำลังจะสัมฤทธิ์ผลไปทีละน้อย
“หยุดพูดไร้สาระ รีบบอกมาเดี๋ยวนี้!” พานไห่ตวาด
หญิงรับใช้เอ่ยเสียงสั่น “พระชายา…พระชายามิได้ตรัสว่าเหตุใดถึงปองร้ายพระชายาเยี่ยนอ๋อง เพียงแต่สั่งให้บ่าวใส่เครื่องหอมอีกชนิดลงไปในกลิ่นเครื่องหอมที่ได้มาจากต่างแดนเพคะ เดิมทีเครื่องหอมทั้งสองชนิดมิได้ส่งผลเสียต่อร่างกาย แต่เมื่อนำมาผสมกันและผ่านความร้อน เมื่อสูดดมเข้าไปจะทำให้ร่างกายอ่อนแรงเพคะ…”
เมื่อเป็นเช่นนี้ก็สรุปได้แล้วว่าพระชายาฉีอ๋องจงใจปองร้ายเจียงซื่ออย่างไม่ต้องสงสัย
จิ่งหมิงฮ่องเต้ไม่ใส่ใจจะมองหญิงรับใช้อีกแล้ว เขาหันไปถามเจินซื่อเฉิง “คนรถรับสารภาพว่าอย่างไร”
“คนรถรับสารภาพว่าพระชายาฉีอ๋องกำชับเขาว่า หลังจากที่ม้าเริ่มมีอาการคลุ้มคลั่ง ให้เขาเฝ้าฟังเสียงจากด้านหลังให้ดี หากได้ยินเสียงวัตถุหนักตกลงจากรถม้า ก็ให้หันทิศทางรถม้าไปทางหน้าผาได้เลยพ่ะย่ะค่ะ”
“แล้วเหตุใดสุดท้ายคนที่ตกลงไปที่หน้าผาจึงกลายเป็นพระชายาฉีอ๋องเล่า”
เจินซื่อเฉิงชำเลืองไปที่เจียงซื่อด้วยหางตาพลางบอก “เมื่อคนขับรถได้ยินเสียง เขาก็หันหลังกลับไปมองแวบหนึ่ง ในตอนนั้นเขาคิดว่าพระชายาฉีอ๋องกระโดดลงจากรถม้าแล้ว จึงปล่อยให้รถม้าวิ่งไปทางหน้าผา แต่หลังจากนั้นถึงได้รู้ว่าเกิดข้อผิดพลาด เพราะคนที่ตกลงมาจากรถม้าคือพระชายาเยี่ยนอ๋อง ส่วนพระชายาฉีอ๋องยังอยู่ในรถม้าพ่ะย่ะค่ะ…”
ทั้งหมดหันไปมองเจียงซื่อเป็นตาเดียว
พระชายาฉีอ๋องตั้งใจจะทำร้ายพระชายาเยี่ยนอ๋อง แต่กลายเป็นว่าพระชายาเยี่ยนอ๋องกลับรอดมาได้ ส่วนคนที่เกือบตกลงไปในหน้าผากลับเป็นพระชายาฉีอ๋องเสียเอง นี่เป็นเพราะความโชคดีของพระชายาเยี่ยนอ๋องจริงๆ อย่างนั้นหรือ
เมื่อฮ่องเต้และฮองเฮาหันมาสบตากันทำให้ทั้งคู่หวนนึกถึงความสามารถอันลึกลับของเจียงซื่อ และความคิดของทั้งสองก็ต่างออกไป
เจียงซื่อกวาดตามองคนอื่นๆ อย่างไม่สะทกสะท้าน
ในเมื่อเป็นที่แน่ชัดแล้วว่าพระชายาฉีอ๋องตั้งใจปองร้ายนาง แต่ทุกคนคิดว่าผู้ที่เป็นเหยื่ออยู่เฉยๆ ในขณะที่มีคนจ้องจะทำร้ายตน ไม่มีสิทธิ์ปกป้องตัวเอง หรือสู้กลับอย่างนั้นหรือ
แน่นอนว่านางไม่มีทางยอมรับด้วยปากว่าตัวกระทำการตอบโต้ นางมิใช่คนขี้กลัวอย่างสาวรับใช้จวนฉีอ๋องเสียหน่อยที่จะยอมรับสารภาพออกมาเช่นนั้น
ไม่ว่าฝ่าบาทจะคิดเห็นกับนางอย่างไร เจียงซื่อก็ไม่กลัวทั้งนั้น
หากฝ่าบาทสงสัยว่านางตอบโต้แล้วจะอย่างไร กระต่ายที่ตื่นตระหนกก็กัดคนทั้งนั้น หากเรื่องแค่นี้ฝ่าบาทยังไม่เข้าใจ และไม่ยอมปล่อยผ่าน เขาคงมิใช่จิ่งหมิงฮ่องเต้ที่นางเคยรู้จัก
จิ่งหมิงฮ่องเต้มองเจียงซื่ออย่างพินิจพิเคราะห์แต่มิได้เอ่ยถาม
เป็นฉีอ๋องที่ถามด้วยอารมณ์ “น้องสะใภ้เจ็ด เจ้าบอกว่าตนเองก็ขยับตัวไม่ได้ แต่เหตุใดเจ้าถึงรอดมาได้ในขณะที่ภรรยาของข้ายังอยู่ในรถม้า”
ใบหน้าของเจียงซื่อหม่นลง นางถามย้อน “ในเมื่อมีหลักฐานเป็นตัวเป็นตนอย่างสาวรับใช้และคนขับรถแล้ว อีกทั้งยังมีหลักฐานที่เป็นวัตถุอย่างลูกตุ้มกำยานและซากม้า ตอนนี้หม่อมฉันก็แน่ใจแล้วว่าท่านพี่สะใภ้สี่จงใจจะทำร้ายหม่อมฉันถึงได้สร้างสถานการณ์นี้ขึ้นมา แล้วเหตุใดท่านพี่สี่ถึงไม่เชื่อเล่าเพคะ”
สายตาทุกคู่ที่กำลังมองมาที่ฉีอ๋องกดดันให้เขาจำยอมพยักหน้าเห็นพ้อง
ในเมื่อเรื่องมาถึงขั้นนี้ เขาคงต้องยอมรับว่าหลี่ซื่อมีความผิดจริง แต่เขายอมไม่ได้ที่จะปล่อยให้พระชายาเยี่ยนอ๋องกลายเป็นผู้บริสุทธิ์ หนำซ้ำยังได้ผลดีไปครอบครองแต่เพียงผู้เดียว
เมื่อเจียงซื่อเห็นว่าฉีอ๋องพยักหน้า นางก็หัวเราะเย้ยหยัน “ในเมื่อท่านพี่สี่ยอมรับแล้วว่าท่านพี่สะใภ้สี่ทำร้ายหม่อมฉัน ปฏิกิริยาแรกที่ท่านพี่เห็นหน้าหม่อมฉันผู้เป็นเหยื่อควรเป็นความรู้สึกละอายใจ และกล่าวขอโทษหม่อมฉันมิใช่หรือเพคะ แต่เหตุใดถึงได้ก้าวร้าวใส่หม่อมฉันถึงเพียงนี้ มันยิ่งทำให้หม่อมฉันอดคิดไม่ได้ว่า เรื่องที่ท่านพี่สะใภ้สี่ทำร้ายหม่อมฉันจะมิใช่แผนการของนางเพียงคนเดียว…”
“เปล่าเสียหน่อย!” ใบหน้าของฉีอ๋องเปลี่ยนไปในทันที เขาพยายามข่มความโกรธเกรี้ยวเอาไว้ “น้องสะใภ้สี่อย่าเพิ่งคิดไปเองสิ เรื่องนี้ข้าไม่รู้ไม่เห็นอะไรทั้งนั้น…”
เจียงซื่อเอ่ยเย็นชาอย่างไม่ไว้หน้าฉีอ๋อง “ท่านพี่สี่บอกว่าตัวเองไม่รู้เรื่องก็ถือว่าเลยตามเลยอย่างนั้นหรือเพคะ เช่นนั้นหม่อมฉันก็ไม่ทราบเช่นกันว่า ตนเองโชคดีกระเด็นออกจากรถม้าได้อย่างไรทั้งๆ ที่พระชายาฉีอ๋องที่วางแผนทำร้ายหม่อมฉันกลับยังอยู่ในรถม้า ท่านพี่สี่กล้าถามคำถามเหล่านี้โดยไม่รู้สึกอะไรเลยเพคะ”
พานไห่ที่ยืนอยู่ในมุมห้องพิศมองไปที่เจียงซื่อผู้ทรงสง่าพลางคิดในใจ ต่อหน้าฝ่าบาทและฮองเฮา พระชายาเยี่ยนอ๋องก็ไม่อ้อมค้อมเลยสักนิด
ในตอนนั้นจู่ๆ เสียงกล่าวฉะฉานของใครบางคนก็ดังขึ้น “บ่าวทราบสาเหตุเพคะ!”