บทที่ 498 บุกเมือง

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

บทที่ 498 บุกเมือง

ข่าวที่ว่าเมืองเย่ว์กู่กำลังจะเกิดสงครามแพร่ไปทั่วแล้ว ชาวเมืองที่หนีได้ก็ต่างพากันหนี ส่วนที่หนีไม่ได้ก็กักตุนเสบียงธัญหารและข้าวสาร ข้าวของในร้านรวงขายหมดเกลี้ยง กู้เฉิงเฟิงเองก็ดวงดี เดินเข้าไปร้านแรกก็บังเอิญเจอร้านที่มีข้าวสารเหลือพอดี ส่วนร้านอื่นๆ นั้นมีเหลือเพียงพอแค่สำหรับคนครอบครัวของตน

กู้เฉิงเฟิงเดินไปตามถนนอันเวิ้งว้างด้วยความเศร้าหมอง

เขาเป็นถึงท่านชายแห่งจวนโหว มีหรือจะต้องมาทุกข์ร้อนเรื่องข้าวปลาอาหาร

อาหารของเขาแต่ละมื้อนั้นละลานตามิใช่ราคาสองสามตำลึง แต่เป็นเท่ากับเสบียงหนึ่งวันของทหารหลายร้อยนาย

“อาจารย์หู ไม่มีที่ไหนขายข้าวแล้วจริงๆ หรือ” กู้เฉิงเฟิงถามอย่างหมดอาลัยตายอยาก

อาจารย์หูเห็นสีหน้าของกู้เฉิงเฟิงก็ถอนหายยาว “ร้านที่ขายข้าวสารก็ไปมาหมดแล้ว ก็มีเท่านี้แหละ”

หากหาไม่ได้ก็คงต้องไปเคาะประตูขอที่ละบ้าน เพียงแต่อาจารย์หูมิได้พูดออกไปก็เท่านั้น

เขาพอจะมองออกว่าใต้เท้าหนุ่มสองคนนี้คงถือตัวเหมือนเจ้านายที่เคยเจอ พวกเขาไม่มีทางขูดรีดจากชาวเมืองหรอก

“เช่นนั้นเสบียงที่พวกเรามีจะอยู่ได้อีกนานเท่าใด” กู้เฉิงเฟิงถาม

“เอ่อ…” อาจารย์หูลองคำนวณในใจอยู่ครู่หนึ่งพลางเอ่ย “หากตัดออกวันละหนึ่งมื้อ คงอยู่ได้สองวัน”

กู้เฉิงเฟิงเสียงพึมพำ “แต่กว่าพี่ใหญ่ข้าจะมาถึงก็อีกตั้งสี่วัน”

แล้วจะลดมื้ออาหารไม่ได้ด้วย

พวกเขาคือนักรบที่ปกป้องดินแดน จะให้พวกเขาท้องหิวออกไปทำศึกอย่างนั้นหรือ

ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ว่าหลายวันมานี้กองทัพแคว้นเฉินไม่บุกโจมตีเมือง แต่ทหารของพวกเขามาประชิดประตูเมืองแล้ว หากไม่ฉวยโอกาสนี้ยึดเมืองเย่ว์กู้ คิดว่าจะเจ้าพวกนั้นจะรอให้พี่ใหญ่มาเด็ดหัวพวกมันหรือ

ระหว่างที่ทั้งสองคุยกัน ก็ลากล้อเกวียนขนข้าวสารธัญพืชกลับไปยังค่ายละแวกป้อมประตูเมือง

กู้เฉิงเฟิงก้มหน้าก้มตาไม่ทันได้มองทาง อาจารย์หูเองก็เช่นกัน

ทันใดนั้นเอง ทหารที่ติดตามมาด้วยก็ส่งเสียงขึ้น “ใต้เท้า! ท่านอาจารย์! พวกท่านดูนั่นขอรับ!”

กู้เฉิงเฟิงและอาจารย์หูมองไปตามทางที่นิ้วของทหารนายชี้ไป นั่นเป็นโรงครัวที่อยู่ใกล้ๆ กับค่าย สิ่งที่เห็นคือห่อผ้าหน้าตาแปลกประหลาดที่วางกองอยู่หน้าประตูโรงครัว บางห่อกันพันเสียแน่น มองไม่ออกว่าข้างในมีอะไร บางห่อก็พันอย่างหลวมๆ เพียงมองผ่านก็เห็นข้าวสารและหมั่นโถวโผล่ออกมา

ทั้งยังมีกระจาดและบุ้งกี๋ที่เต็มไปด้วยข้าวโพด ผักกาด แป้งนึ่ง แผ่นแป้งทอด เนื้อตากแห้ง ไข่ไก่…

กู้เฉิงเฟิงเพิ่งตั้งสติได้ว่าเกิดอะไรขึ้น ก็เห็นเหล่าชาวเมืองพากันหอบหิ้วแป้งสาลีและแป้งข้าวโพดมากันคนละถุงสอง

พวกเขานำแป้งมาวางไว้แล้วก็เดินจากไป ไม่พูดไม่จาสักคำ

เด็กน้อยที่กู้เฉิงเฟิงคุยด้วยเมื่อครู่ก็มาเช่นกัน

เด็กน้อยมากับแม่ แม่ของเขาวางมันหวานที่เพิ่งปิ้งสดใหม่ลง ตัวเขาเองก็เหมือนจะอยากวางอะไรเหมือนกัน แต่พอล้วงกระเป๋ากางเกงตัวเองดูก็ไม่มีของสิ่งใดพอจะวางได้

สุดท้าย เขาทำท่าครุ่นคิดก่อนจะคายลูกกวาดที่อยู่ในปากออกมา สูดน้ำลายที่ไหลย้อน สีหน้าอาลัยอาวรณ์ แต่สุดท้ายตัดใจก็วางลูกกวาดไปกับบรรดามันหวาน

ลูกกวาดเป็นสิ่งที่เขาจะได้กินเฉพาะช่วงปีใหม่

แต่เพราะมีสงคราม ไม่รู้ว่าจะมีชีวิตรอดต่อไปหรือไม่ พ่อแม่ของเขาจึงให้เขากินล่วงหน้า

นั่นเป็นสิ่งที่ดีสุดที่เขาสามารถมอบให้ได้

ขอบตาของกู้เฉิงเฟิงร้อนผ่าว

พวกเขาคือชาวเมืองแคว้นเจาที่ท่านปู่ ท่านพ่อ และพี่ใหญ่ของเขาสาบานว่าจะปกป้อง แต่ไม่ได้มีเพียงทหารเท่านั้นที่ปกป้องชาวเมือง แต่ชาวเมืองเองก็ใช้วีธีของตนเองปกป้องพวกเขาด้วยเช่นกัน

ปกป้องกองทัพ ปกป้องเมืองแห่งนี้

นอกกำแพงเมือง ทหารแคว้นเฉินเริ่มเตรียมไม้กระทุ้งและบันไดเมฆที่จำเป็นสำหรับการบุกโจมตี และเพราะมีปราการน้ำล้อมเมืองอยู่ พวกเขาจึงต้องเตรียมก่อสะพานบิน

สะพานบินกำลังถูกเร่งก่อสร้าง ส่วนบันไดเมฆก็อยู่ระหว่างประกอบและยึดติดพื้น

ถังเย่ว์ซานประเมินความเร็วในการลงมือของพวกเขา คาดว่าพรุ่งนี้เย็นพวกเขาคงพร้อมโจมตี

หากมียุทโธปกรณ์สำหรับโจมตีแล้วก็ย่อมมียุทโธปกรณ์สำหรับต้านทานเช่นกัน ภายในเมืองไม่ได้มีเพียงช่างเหล็กที่กำลังรวมตัวกันหลอมเกราะและอาวุธ เหล่าช่างไม้เองก็ถูกถังเย่ว์ซานรวมพลมาเพื่อสอนเหล่าทหารให้ช่วยกันสร้างรถศึก แบกหิน และท่อนซุง

รถศึกเป็นอาวุธที่ใช้ต่อกรกับบันไดเมฆ บนโครงรถจะมัดท่อนไม้ยาวเอาไว้ เมื่อบันไดเมฆเข้ามาใกล้ก็จะใช้ท่อนไม้กระทุ้งทำลายหรือโค่นบันไดลง

นอกจากนี้ยังมีน้ำมันเชื้อเพลิงและลูกธนู

บรรดาลูกธนูนั้นต้องพึ่งฝีมือเหล่าช่างไม้ เหล่ามือธนูของตระกูลถังเองก็ทำเป็นเช่นกัน เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในทักษะพื้นฐานของพวกเขาอยู่แล้ว หากเป็นมือธนูแคว้นอื่นล่ะก็อาจจะไม่รู้วิธีประดิษฐ์ธนู ไม่อย่างนั้นมือธนูตระกูลถังจะเลื่องชื่อไปทั้งหกแคว้นได้เช่นไร

ถังเย่ว์ซานเตรียมกำลังทหารไว้พร้อมแล้ว รอเพียงแค่การมาเยือนของรุ่งอรุณ

นี่คือราตรีไร้นิทราสำหรับกองทัพแคว้นเฉิน เหล่าทหารแคว้นเจาเองก็เช่นกัน

ยามฟ้าเริ่มสาง งานที่ต้องเตรียมการก็เตรียมพร้อมพอสมควรแล้ว พวกเขามีกำลังทหารเพียงแค่เจ็ดพันนาย เป็นทหารศึกจริงไม่ถึงห้าพันนาย

ส่วนกองทัพสองหมื่นนายของแคว้นเฉินนั้นคือทหารศึกล้วนๆ กำลังทหารของทั้งสองฝั่งต่างกันลิบลับ นี่คือศึกชี้ชะตาก็ว่าได้

แต่ก็เหมือนอย่างที่กู้เฉิงเฟิงว่าไว้ ต่อให้จะสู้จนเหลือเพียงคนสุดท้าย ก็ต้องปกป้องเมืองนี้เอาไว้

สิ่งต้องแลกอาจจะเป็นชีวิตของทหารทั้งเจ็ดพันนาย รวมถึงชีวิตของถังเย่ว์ซานเองด้วย

“ท่านจอมพลถัง”

แสงตะวันลอดผ่านผืนผ้าใบของกระโจมเข้ามา พร้อมกันรองแม่ทัพใหม่สองนายของถังเย่ว์ซาน ทั้งเขามารายงาน

“จัดการเสร็จแล้วหรือ” ถังเย่ว์ซานถาม

รองแม่ทัพเฉินประสานมือเอ่ย “รายงานใต้เท้า รถศึก ก้อนหิน และท่อนซุงเตรียมพร้อมแล้วขอรับ ขนย้ายไปยังกำแพงเมืองแล้วด้วย”

“ดี” ถังเย่ว์ซานพยักหน้า ก่อนเหลียวไปมองรองแม่ทัพหลี่

รองแม่ทัพหลี่ก็ยังมือคำนับพลางเอ่ย “อาวุธและเกราะก็หลอมเสร็จแล้วขอรับ”

“ให้พวกทหารไปพักเถิด” ถังเย่ว์ซานเอ่ยก่อนจะชะงักไปแล้วพูดขึ้น “กินให้อิ่มหนำสำราญ คืนนี้เตรียมรับศึก”

ทั้งสองมองหน้ากันด้วยสีหน้าซับซ้อน สองมือคำนับก่อนจะรับคำพร้อมกัน “ขอรับ!”

รองแม่ทัพเฉินออกไปก่อน รองแม่ทัพหลี่ยื่นชุดเกราะใหม่ให้ถังเย่ว์ซาน “นี่คือเกราะที่ท่านสั่งขอรับ”

สายตาของถังเย่ว์ซานหยุดอยู่บนเกราะใหม่เนื้อเย็นเฉียบ ก่อนจะยื่นมือออกไปลูบเบาๆ “เยี่ยม”

กู้เจียวง่วนอยู่กับรักษาทหารบาดเจ็บในกระโจมทั้งคืน บรรดาหมอในเมืองได้ยินว่าในค่ายขาดคน ก็พากันมาจากทั่วสารทิศ พวกเขาเองก็เดินวุ่นจนเท้าแทบไม่ติดพื้นเหมือนกับกู้เจียว ไม่นอนกันทั้งคืน

หลังจากรักษาทหารบาดเจ็บกลุ่มสุดท้ายเสร็จ หมอทั้งหมดก็เหนื่อยจนแทบสิ้นแรงแล้ว

เหล่าหมอไม่มีกะจิตกะใจจะกลับบ้านไปพักผ่อน พวกเขานอนฟุบหลับกับโต๊ะ

กู้เจียวนั่งกับพื้น กอดทวนพู่แดงไว้ในอก แผ่นหลังพิงกับเสาของกระโจม ไม่นานก็เข้าสู่ห้วงนิทรา

นางตื่นขึ้นมาเพราะความร้อนอบอ้าว ลืมตาขึ้นมาก็เห็นว่าบนกายมีผ้าห่มผืนหนาเพิ่มขึ้นมา กู้เฉิงเฟิงสินะ

นางเลิกผ้าห่มออก ยืดแข้งยืดขา นั่งหลังตรงพลางยืดเอว นวดคลึงลำคอและบั้นเอวที่ปวดเมื่อย

ยามนวดบั้นเอวนั้น ปลายนิ้วของนางก็บังเอิญไปสัมผัสกับบางสิ่งที่เย็นเฉียบ นางกะพริบตาด้วยความประหลาดใจ พอเหลียวไปมองก็เห็นว่าข้างกายตนเองมีชุดเกราะวางอยู่

นางร้องตกใจ “เกราะของใครกัน”

หูตงเฉียงยกยาที่เพิ่งต้มเสร็จเข้ามาในกระโจม พอเห็นกู้เจียว เขาก็ตาเป็นประกาย “ใต้เท้า! ท่านตื่นแล้วหรือ! พอดีเชียว ยาที่ท่านสั่งให้ข้าต้ม ข้าต้มเสร็จแล้ว ให้ปลุกคนเจ็บมาป้อนเลยหรือไม่”

“อืม ป้อนเลย” กู้เจียวเอ่ย

“ขอรับ!” หูตงเฉียงปลุกเหล่าทหารบาดเจ็บที่ต้องกินยาให้ตื่นขึ้นมา

“เกราะนี่ของผู้ใดรึ” กู้เจียวถามเขา

“ของท่านกระมัง” หูตงเฉียงตอบ

“ของข้ารึ” กู้เจียวกะพริบตาปริบๆ

หูตงเฉียงเดา “เมื่อคืนช่างเหล็กในเมืองทั้งซ่อมทั้งหลอมเกราะใหม่ให้ทหารกันทั้งคืน อาจจะทำเผื่อใต้เท้าสักชุดก็เป็นได้”

กู้เจียวร้องอ๋อ ก่อนจะยืนขึ้นลองสวมดู

แถมยังพอดีตัวอย่างน่าประหลาด

นางสวมหมวกเกราะ ก่อนจะส่องภาพสะท้อนในอ่างน้ำ

ว้าว

ไม่เลว

กู้เจียวลองโคลงศีรษะไปมา

ที่ตั้งของเมืองเย่ว์กู่ค่อนข้างเสียเปรียบ มีเขาล้อมสามทิศ ในสถานการณ์ที่ไม่ต้องสู้ชิงไหวชิงพริบกันเช่นนี้ จู่โจมโดยตรงน่าจะง่ายที่สุด

ทหารสองหมื่นนายของแคว้นเฉินย่อมไม่กลัวทหารเจ็ดพันนายของเมืองเย่ว์กู่อยู่แล้ว ศึกนี้พวกชนะแน่นอนอย่างไม่ต้องกังวล

ผู้นำทัพทหารครั้งนี้คือลูกชายคนสุดท้องของหรงเหยา นามว่าหรงปิน

ผู้ว่าเฉิงสืบข่าวมาได้ว่าหรงเหยาไปคนนำทัพมาเอง แต่ความจริงแล้วหรงเหยาเป็นเพียงแม่ทัพใหญ่ที่ส่งทหารออกจากเมืองเย่ ส่วนผู้นำทัพที่แท้จริงนั้นคือลูกชายคนเล็กของเขา หรงปิน

ในความฝัน หลังจากหรงเยาถูกยิงตายที่เมืองเย่แล้ว ถึงได้เร่งเคลื่อนทัพไปยังเมืองถู

คนที่ยิงหรงเหยานั้นมิใช่มือธนูจากตระกูลถังแต่อย่างใด เป็นเพียงทหารเฝ้าเวรยามนายหนึ่ง ทหารเวรยามผู้นั้นยิ่งโดยไม่ได้เล็งเป้าด้วยซ้ำ แม้แต่เขาเองยังมึนงงว่ายิงโดนหรงเหยาได้อย่างไร

ทว่าหรงปินนั้นอนาจยิ่งกว่า

หรงปินเป็นคู่แข่งกับกู้ฉังชิง ทั้งสองล้วนแต่นำทั้งตั้งแต่อายุยังน้อย แถมยังอายุรุ่นราวคราวเดียวกันอีกต่างหาก

ศึกนี้สำหรับหรงปินแล้วนับว่าเป็นศึกครั้งสำคัญครั้งหนึ่ง คนมุ่งมั่นว่าจะคว้าชัยมาให้ได้

ส่วนหรงปินจะถูกยิงตายหรือไม่นั้น กู้เจียวเองก็ไม่แน่ใจนัก

ในเมื่อเหตุการณ์หลายอย่างเปลี่ยนไป กองทัพของถังเย่ว์ซานเข้ามาในเมืองแล้ว เขาและกู้เฉิงเฟิงเองก็เข้าเมืองมาได้เช่นกัน เช่นนั้นทหารเวรยามที่ยิงหรงปินตายคนนั้นก็ต้องถูกถังเย่ว์ซานสั่งการให้ประจำตำแหน่งที่ไหนสักที่ การต้านศึกแคว้นเฉินครั้งนี้จึงต่างจากในฝันไปมาก

ยามย่ำคำ หรงปินสั่งโจมตีเมือง