เล่ม 1 ตอนที่ 164-1 พี่ซิวใจเหี้ยม

หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก

ตอนที่ 164-1 พี่ซิวใจเหี้ยม

เทศกาลไหว้พระจันทร์ เป็นวันดีที่ครอบครัวได้อยู่พร้อมหน้า แต่ก็จนใจด้วยสำหรับสวีซื่อแล้ว กลับเป็นมหันตภัยที่ชอกช้ำเหลือประมาณ

ปีก่อนอยู่ในบ้านตระกูลเฉียว เรื่องกินอยู่ไม่จำเป็นต้องกังวล ชีวิตสุขสบาย ไม่ว่าเทศกาลใดนางเพียงแค่ต้องนั่งอยู่บนเก้าอี้กวนเม่า มีบ่าวไพร่เอารายการต่างๆ มาให้ดู นางเพียงพยักหน้าหรือไม่ก็ส่ายหน้า งานเลี้ยงอันยิ่งใหญ่ก็สามารถตระเตรียมได้จนพร้อมมูล

แต่เวลานี้อย่าว่าแต่งานเลี้ยงเลย นางไม่มีเงินแม้แต่จะซื้อเนื้อสักสองสามจินด้วยซ้ำ

“เจ้าไปดูที่หน้าประตูทีว่านายท่านกลับมาหรือยัง” นางเอ่ยสั่งหลินมามา

หลินมามารับคำสั่ง มองออกไปที่หน้าประตู ขณะที่กำลังจะหันมาบอกว่านายท่านยังไม่กลับมา ก็เห็นเด็กชายคนหนึ่งแต่งตัวคล้ายเด็กเตรียมยา กระโดดลงมาจากรถม้าที่ใช้กันเฉพาะในวังหลวงเท่านั้น เด็กเตรียมยาหันไปบอกบางอย่างกับคนรถ คนรถก็จอดรถม้าตรงปากซอย ส่วนเด็กเตรียมยาวิ่งอย่างรีบร้อนเข้ามาหาหลินมามา

พอเขาเดินเข้ามาใกล้แล้ว หลินมามาถึงได้จำได้ว่าเขาคือบ่าวเด็กข้างกายนายท่านรองตระกูลเฉียว มีนามว่าไห่ปัว

หลินมามาพลันยินดี “ไห่ปัว เจ้ากลับมาแล้วหรือ นายท่านเล่า”

ไห่ปัวอึ้งไป ทำท่าคล้ายอยากพูดบางอย่าง ก่อนจะเอ่ยกับหลินมามาว่า “ฮูหยินอยู่หรือไม่”

“อยู่ อยู่!” หลินมามาเห็นอีกฝ่ายไม่ตอบ จึงชะเง้อไปมองทางด้านหลัง ก็ไม่เห็นร่างของนายท่าน นางรู้สึกขึ้นมาตะหงิดๆ ว่ามีบางอย่างแปลกๆ แต่สวีซื่อที่อยู่ด้านในถามขึ้นว่าใช่นายท่านกลับมาหรือไม่ หลินมามาจึงไม่สะดวกจะรั้งตัวไห่ปัวไม่ให้เข้าไปรายงาน จำต้องเดินนำไห่ปัวเข้าไปในเรือน

“นายท่านเล่า” สวีซื่อถามอย่างรอคอย

ไห่ปัวทำท่าลังเล ก่อนจะทำความเคารพ “เรียนฮูหยิน นายท่านอยู่เวรที่สำนักหมอหลวง เกรงว่าคืนนี้คงจะกลับมาไม่ได้ขอรับ”

สีหน้าสวีซื่อพลันเปลี่ยน “อะไรนะ วันสำคัญเช่นนี้ เหตุใดถึงยังต้องอยู่เวรอีกเล่า”

ไห่ปัวกระซิบตอบเสียงเบาว่า “ก็เพราะเป็นวันสำคัญ ถึงได้ไม่อยู่เวรไม่ได้อย่างไรขอรับ ฮูหยินก็ทราบดี เพราะเรื่องที่คุณหนูวางยาใส่ยิ่นอ๋อง ทำให้นายท่านพลอยเดือดร้อนไปด้วย ฝ่าบาทเมินเฉยต่อนายท่านมาหลายวัน กว่าจะยอมอนุญาตให้นายท่านกลับมาอยู่ตำแหน่งเดิมได้ นายท่านย่อมต้องทำหน้าที่ให้ดีที่สุดถึงจะถูกขอรับ”

สวีซื่อเอ่ยอย่างไม่สู้จะเข้าใจว่า “เหตุใดถึงไม่ให้ผู้อื่นทำหน้าที่แทนเล่า”

น้ำเสียงของไห่ปัวยังคงเบาหวิวเช่นเดิม “นี่เป็นการวางแผนของสำนักหมอหลวง เผอิญจัดให้นายท่านอยู่เวรในวันนี้พอดี ขอฮูหยินได้โปรดเข้าใจด้วย”

สวีซื่อยิ้มประชด “หึ กลัวว่าเขาคงไม่ใช่ต้องอยู่เวรหรอก แต่ไม่อยากกลับมาอยู่บ้านผุๆ พังๆ เช่นนี้มากกว่ากระมัง เขาช่างสะบัดก้นหนีได้เรียบร้อยดีเหลือเกินนะ! ไปอยู่เสียที่สำนักหมอหลวง ทำราวกับเป็นเต่าหัวหดกระนั้น ตาไม่เห็น ใจไม่กังวล ไหนเลยจะเหมือนข้า วันๆ ต้องลำบากทำนู่น ลำบากทำนี่ จนผมขาวเต็มหัวไปหมดแล้ว!”

“ฮูหยินโปรดใจเย็นก่อน นายท่านปลีกตัวมาไม่ได้จริงๆ ยิ่งไปกว่านั้น นายท่านทำงานมากขึ้นวันหนึ่ง ก็หาเงินได้เพิ่มวันหนึ่งมิใช่หรือ ตามวันเทศกาลเหล่านี้ ไปตรวจชีพจรให้เจ้านายทั้งหลายอย่างไรก็ต้องมีรางวัลให้ นายท่านคิดอยากจะใช้หนี้ข้างนอกนั่นให้หมดเร็วๆ น่ะขอรับ” ไห่ปัวพูดพลาง คล้ายกลัวว่าสวีซื่อจะมาระบายความอัดอั้นให้ตนฟัง จึงแทบจะควักถุงเงินออกจากอกเสื้อมาด้วยความเร็วระดับเทพเซียน “ฮูหยิน นี่เป็นเงินที่นายท่านให้บ่าวนำกลับมาให้ เบี้ยหวัดของเดือนนี้อยู่ในนี้หมดแล้ว ให้ท่านกับคุณชายได้ฉลองเทศกาลกันขอรับ”

สวีซื่อมองก้อนเงินสองก้อนในถุงเงินที่ดูช่างน้อยนิดแล้วแค่นหัวเราะออกมาทีหนึ่ง นางตกต่ำถึงเพียงนี้แล้วหรือ กับเงินแค่สิบตำลึง เมื่อก่อนหากทำหล่น นางยังคร้านจะก้มลงไปเก็บด้วยซ้ำ แต่เวลานี้กลับเกิดความรู้สึกยินดีอย่างน่าเวทนา

สุดท้ายไห่ปัวกลับไปด้วย “ความโล่งอก”

สวีซื่อเก็บเงินไว้ พาหลินมามาไปยังตลาดสดสกปรกๆ ที่มีเพียงชาวบ้านยากจนเท่านั้นถึงจะไป พวกนางซื้อส้มมาตะกร้าหนึ่ง กับขนมไหว้พระจันทร์เปลือกร่วนอีกสองกล่อง

เมื่อวาน สถานศึกษาหยุดเรียน นางไม่มีรถม้า ไม่กล้าเดินเท้าไปรับบุตรชาย จึงบอกให้หลินมามาไปส่งข่าวที่บ้านเดิมของนาง ให้พวกเขาไปรับเฉียวอวี้หลินกลับไปพักที่บ้านตระกูลสวีคืนหนึ่ง

เวลานี้ นางอยากไปรับบุตรชายกลับมา

บิดามารดาของนางเสียชีวิตไปหมดแล้ว คนที่ดูแลบ้านในเวลานี้คือพี่ใหญ่กับพี่สะใภ้

ตอนที่นางเป็นนายหญิงตระกูลเฉียว นางส่งเงินกลับไปจุนเจือบ้านเดิมของนางไม่น้อย พี่ชายกับพี่สะใภ้จึงปฏิบัติต่อนางราวกับนางเป็นเทพเซียน แต่ก็เป็นที่น่าเสียดายยิ่งนัก ที่สีหน้าทั้งอิจฉาทั้งต้องเอาใจเช่นนั้น นางจะไม่มีวันได้เห็นอีกแล้ว

คนที่ออกมาต้อนรับนางคือมามาผู้ดูแลของตระกูลสวี มามาผู้ดูแลยิ้มพลางเชื้อเชิญนางเข้าไปยังเรือนใน “ช่างมาได้ไม่พอดีนัก วันนี้บ้านเดิมของฮูหยิน สะใภ้ของหลานชายคลอดบุตร นายท่านกับฮูหยินจึงรีบกลับไปเยี่ยมแล้วเจ้าค่ะ เดิมทีจะพาคุณชายไปด้วย แต่ก็กลัวว่ากูหน่ายนายกลับมาแล้วไม่พบ จะร้อนใจเสีย”

ระหว่างที่พูด มามาผู้ดูแลก็เผอิญปรายตาไปเห็นส้มกับขนมไหว้พระจันทร์ในมือสวีซื่อ มุมปากจึงเบะออกอย่างดูแคลน

สวีซื่อจึงได้รับตัวเฉียวอวี้หลินไป

เฉียวอวี้หลินพอเห็นสวีซื่อก็เอ่ยตัดพ้อว่า “ท่านแม่ ข้าไม่อยากกลับมาบ้านท่านลุงอีกแล้ว! พวกเขาไม่ชอบข้าสักนิด! ของกินอร่อยๆ ก็เอาไปซ่อนไม่ให้ข้ากิน! ข้าเห็นหมดเลย!”

สวีซื่อไม่ได้พูดอะไร พาบุตรชายออกจากบ้านตระกูลสวีไป

สาวใช้เห็นขนมไหว้พระจันทร์กับส้มบนโต๊ะก็ถามว่า “มามา ของพวกนี้…”

มามาผู้ดูแลกรอกตาใส่ “เอาออกไปเถอะ จะเอาไปให้นายท่านกับฮูหยินดูจริงๆ หรือ”

เสียงที่นางพูดไม่ดังแต่ก็ไม่เบา สวีซื่อได้ยินตอนท้าย จึงโกรธจนกำหมดแน่น เดิมทีตอนนางเป็นนายหญิงจวนตระกูลเฉียว คนชั้นต่ำพวกนี้คุกเข่าเลียแข้งเลียขานางอย่างไร เพียงพริบตากลับขึ้นมาขี่หัวนางแล้ว!

พวกหมาป่าเลี้ยงไม่เชื่อง!

“ท่านแม่ รถม้าเล่า” เฉียวอวี้หลินถาม

“พวกเราเดินกลับกัน” สวีซื่อบอก

เฉียวอวี้หลินขมวดคิ้วด้วยความไม่ชอบใจ “ตั้งไกลเพียงนั้น ข้าเดินไม่ไหว!”

เรื่องกวนใจมีมากพอแล้ว บุตรชายยังจะมางอแงอีก ในใจสวีซื่ออัดอั้นยิ่งนัก เอ่ยด้วยความโกรธเกรี้ยว่า “เดินไม่ไหว เช่นนั้นก็อยู่บ้านท่านลุงของเจ้าไปจนกว่าฟ้าถล่มดินทะลายก็แล้วกัน!”

“ท่านแม่! ท่านแม่!” เฉียวอวี้หลินรีบตามไป

สวีซื่อไม่อยากสนใจเขา

เฉียวอวี้หลินดึงมือนางไว้แล้วมองไปรอบๆ “ท่านแม่ พวกเราเดินผิดทางแล้ว กลับบ้านต้องไปทางนั้น!”

สวีซื่อหงุดหงิดจนไม่อยากพูดอะไร

เฉียวอวี้หลินพร่ำพูดต่อว่า “ท่านแม่ ท่านได้ยินที่ข้าพูดหรือไม่ พวกเราเดินผิดทางแล้ว! ไม่ใช่ทางนี้! เป็นทางนั้น! ทางนั้นไง!”

สวีซื่อหยุดเดินทันที มองบุตรชายด้วยสายตาเย็นยะเยือก สายตาดุดันเช่นนั้น เล่นเอาเฉียวอวี้หลินตกใจจนตัวสั่น

สวีซื่อตะคอกบอกว่า “จะกลับบ้านตระกูลเฉียวใช่หรือไม่ ดี เจ้ากลับไปเองเลย! ข้าไม่ห้ามเจ้าแน่! เจ้าไปเลย! ไปสิ!”

เฉียวอวี้หลินกลัวจนหดตัวถอยไปด้านหลัง ต่อให้เขาเกเรยิ่งกว่านี้ แต่เนื้อแท้แล้วก็ยังเป็นเพียงเด็กแปดเก้าขวบ เมื่อถูกมารดาดุด่าเช่นนี้ จึงเสียใจจนเกือบร้องไห้ออกมา

เขาไม่เข้าใจ แค่ไม่ได้พบกันไม่กี่วัน เหตุใดมารดาผู้อบอุ่นและยิ้มง่ายผู้นั้นถึงหายไปเสียแล้ว ท่านแม่ใจร้ายมาก น่ากลัวมาก

สวีซื่อพาเฉียวอวี้หลินกลับไปยังเรือนที่เช่าพักอยู่ ตลอดทางมานี้ เฉียวอวี้หลินไม่พูดอะไรอีกเลย เมื่อเข้าไปในเรือนที่ผุพังซอมซ่อ ใจก็สั่นสะท้านไปหมด แต่กลับไม่กล้าพูดอะไรจนคำเดียว

เมื่อจัดการบุตรชายเรียบร้อยแล้ว สวีซื่อก็เอาเงินออกไปเดินตลาด นางคิดอยากซื้อผักสดสักหน่อย นางตั้งใจเลือกมาในเวลาที่ตลาดใกล้วาย ผักถึงแม้จะไม่สดใหม่เท่าไร แต่กลับมีราคาถูก

แผงขายเนื้อหมูเหลือสันในหมูอยู่เส้นสุดท้าย นางเดินเข้าไปที่ร้าน “เถ้าแก่ หมูชิ้นนี้..”

“ข้าซื้อแล้ว!” สตรีร่างท้วมคนหนึ่งตะโกนบอกพลางเข้ามาขวางหน้านางแล้วคว้าเอาหมูชิ้นนั้นไป “เถ้าแก่ ช่างดูที กี่จินหรือ!”

สวีซื่อเดินตีหน้าดุเข้าไป “เจ้าจะเอาอย่างไร ทั้งๆ ที่ข้าบอกจะเอาก่อนแท้ๆ”

สตรีร่างท้วมถ่มน้ำลายเอ่ยว่า “เจ้าจะเอาก่อน? เจ้าตาบอดหรือ ไม่เห็นหรือว่าข้าหยิบได้ก่อน”

สวีซื่อก้าวถอยหลังด้วยความรังเกียจ “แต่ข้าตะโกนบอกแล้ว”

สตรีร่างท้วมแค่นเสียงพูดว่า “ตะโกนบอกก็เป็นของเจ้าแล้วหรือ เจ้าเพิ่งมาซื้อกับข้าววันแรกหรือไร”

สวีซื่อเห็นน้ำลายแตกฟองของอีกฝ่ายแล้วรู้สึกรังเกียจจนน้ำเปรี้ยวๆ ในกระเพาะตีขึ้นมา “นี่คนเช่นเจ้าเหตุใดถึงไม่มีเหตุผลเช่นนี้นะ ไม่ว่าเรื่องใดล้วนต้องมีมาก่อนมาทีหลังทั้งสิ้น!”

สตรีร่างท้วมเอ่ยกลั้วหัวเราะเสียงประชดว่า “ตายๆๆ อยากจะใช้เหตุผล อย่ามาซื้อของที่นี่สิ! เจ้าไปซื้อตามร้านนู่น มีเนื้อให้ซื้อเยอะแยะ! มีเหตุผลกันทั้งนั้น! ที่นั่นคนเขาเอาใจเจ้าเป็นชนชั้นสูง! ไม่แย่งไม่ชิง ดีออกจะตาย!”

“เจ้า…” สวีซื่อโกรธจนแทบหงายหลัง

สตรีร่างท้วมผู้นั้นเอ่ยน้ำลายแตกฟองว่า “เจ้าอะไร แค่มีเงินไม่กี่สตางค์ ทำมาเป็นวางท่าวางทางที่นี่! คิดว่าตัวเองเป็นใครมาจากไหนกัน!”

“ยี่สิบสามอีแปะ คิดเจ้ายี่สิบอีแปะก็แล้วกัน” เถ้าแก่บอก

สตรีร่างท้วมเปิดถุงเงินแล้วหยิบเงินออกมา

สวีซื่อจับมือเถ้าแก่ที่จะส่งเนื้อให้อีกฝ่ายเอาไว้ “ข้าเป็นคนจะเอาก่อน เมื่อครู่เจ้าก็ได้ยินแล้ว”

เถ้าแก่มองสวีซื่อ แล้วมองสตรีร่างท้วม ก่อนเอ่ยด้วยความจนใจว่า “มีเนื้ออยู่แค่ชิ้นเดียวนี้ พวกเจ้าสองคนใครจะซื้อกันแน่”

“ข้า!” ทั้งสองประสานเสียงขึ้นพร้อมกัน

สตรีร่างท้วมผลักสวีซื่อให้ทีหนึ่ง “ข้ากำลังควักเงินอยู่แล้วโว้ยๆๆ! ไม่สั่งสอนเจ้าเสียบ้าง เจ้าคงคิดว่าข้ารังแกกันได้ง่ายๆ สินะ”

สวีซื่อถูกผลักจนเกือบล้ม นางจ้องอีกฝ่ายเขม็ง “ทำไมถึงลงไม้ลงมือด้วยเล่า”

“ข้าจะลงไม้ลงมือ เจ้าจะทำไม มาแย่งของกับข้า ก็วอนโดนตีน่ะสิ!” สตรีร่างท้วมเอ่ยหาเรื่องอย่างไม่สบอารมณ์ ก่อนจะผลักสวีซื่อล้มลงกับพื้น

สวีซื่อไม่เคยคิดว่าตนจะต้องมาตบตีกับใครเพียงเพื่อเนื้อสันในก้อนเดียว นี่เป็นตลาดที่ถูกที่สุด เป็นแผงที่ถูกที่สุด สุดท้ายหากเนื้อชิ้นนั้นนางซื้อไม่ได้ คืนนี้คนทั้งบ้านคงไม่มีเนื้อสัตว์ให้กิน

พอคิดถึงจุดนี้ ก็ไม่รู้ว่านางไปเอาเรี่ยวแรงมาจากไหน โถมตัวเข้าไปผลักสตรีร่างท้วมผู้นั้นล้มลงกับพื้น!

นางขึ้นคร่อมอีกฝ่ายแล้วดึงทึ้งผมเผ้าจนกระเจิดกระจิง ตบซ้ายทีขาวที เล่นงานจนสตรีร่างท้วมจมูกเขียวหน้าบวมไปหมด

สตรีร่างท่วมก็ไม่ใช่คนที่จะให้ใครมาหาเรื่องง่ายๆ หลังจาก “ตกเป็นรอง” ในช่วงสั้นๆ นางก็ยกหัวเขากระแทกใส่หลังสวีซื่อหนักๆ ทีหนึ่ง

สวีซื่อนิ่งไปด้วยความเจ็บ สตรีร่างท้วมอาศัยจังหวะนั้นดึงสวีซื่อออกจากตัว ก่อนจะลุกขึ้นแตะต่อยอีกฝ่าย

สวีซื่อกอดขาอีกฝ่ายไว้ ก่อนจะงับลงไปโดยแรง

“อ๊าก…นังหมาบ้า! เจ้ากล้ากัดข้า” สตรีร่างท้วมถูกกัดจนได้เลือด เมื่อเห็นสวีซื่อที่ท่าทางคล้ายเสียสติไปแล้ว ในใจพลันสะอึก ไม่กล้าสู้ต่ออีก นางคว้าเอาถุงเงินที่ตกอยู่บนพื้นแล้วรีบวิ่งหนีไป

สวีซื่อหอบหายใจ ใช้มือเช็ดเลือดตรงมุมปากแล้วลุกขึ้นด้วยสภาพดูไม่จืด “เถ้าแก่ เนื้อสันในนั้นข้าเอา…”

“ท่านถือดีๆ นะ” เถ้าแก่เอาเนื้อสันในส่งให้ชายร่างกำยำอีกคนหนึ่ง ชายร่างกำยำเอาแผ่นทองแดงโปรยลงบนโต๊ะ

เนื้อสันในที่ใช้ชีวิตต่อสู้เพื่อให้ได้มา สุดท้ายแล้วถูกบุคคลที่สามซื้อเอาไป…

ช่างสาแก่ใจเหลือเกิน

เฉียวเวยพาซาลาเปาน้อยสองลูกพร้อมด้วยป้าหลัวขึ้นนั่งบนรถวัวของตาเฒ่าซวนจื่อ จุดหมายคือไปซื้อของที่ตลาดในเมือง

นอกจากปี้เอ๋อร์ที่กลับเข้าเมืองไปฉลองเทศกาลกับบิดามารดาแล้ว คนอื่นๆ ล้วนอยู่ฉลองกันบนเขา

เฉียวเวยในชาติที่แล้วไม่ใช่คนที่ชอบฉลองตามเทศกาลเท่าไรนัก แต่เมื่อมาอยู่ที่นี่ เรื่องราวต่างๆ ก็เปลี่ยนไปไม่สู้จะเหมือนเดิม

ครั้งนี้ นางนับว่าเฝ้ารออยู่พอดู

ไม่นานรถก็แล่นมาถึงตัวเมือง อาจเพราะเป็นช่วงเทศกาล วันนี้ในตลาดจึงคนแน่นจนแทบระเบิด เฉียวเวยจูงมือบุตรคนหนึ่งไว้ เดินเบียดเสียดกับผู้คนไปในตลาด

ป้าหลัวสะพายตะกร้าอยู่สองใบ แต่เพราะคนมากเกินไป จึงเบียดเสียดจนเดินไม่ได้ นางจำต้องยกตะกร้าขึ้นเหนือศีรษะ “วันนี้คนเหตุใดถึงมากกว่าตอนปีใหม่เสียได้”

เฉียวเวยยิ้ม “ไม่ใช่คนซื้อมาก แต่เพราะคนขายน้อย จึงไปเบียดรวมกันอยู่ที่เดียว”

ป้าหลัวเขย่งปลายเท้าขึ้นมอง “จริงเสียด้วย!”

“อยากกินอะไร” เฉียวเวยถามจิ่งอวิ๋นกับวั่งซู

จิ่งอวิ๋นคิดแล้วตอบว่า “หมูสามชั้นน้ำแดง”

หมูสามชั้นน้ำแดงที่ท่านแม่ทำอร่อยมาก ออกเค็มๆ ติดหวานหน่อยๆ อร่อยมากทีเดียว

“ได้ หมูสามชั้นน้ำแดง” เฉียวเวยยิ้มพลางลูกศีรษะบุตรชาย นางหันไปถามบุตรสาวต่อว่า “วั่งซูเล่า”

วั่งซูตอบว่า “ข้าอยากกินเกาลัดคั่วน้ำตาล!”

เกาลัดคั่วน้ำตาลเวลานี้เห็นจะไม่มี ต้องเป็นช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วง ต้นฤดูหนาวถึงจะมีขาย เฉียวเวยจึงบอกว่า “เกาลัดคั่วน้ำตาลเอามากินเป็นกับข้าวไม่ได้ เย็นนี้เจ้าอยากกินกับข้าวอะไร”

“เกาลัดคั่วน้ำตาล” วั่งซูบอก

เจ้าเด็กคนนี้ ติดใจเกาลัดคั่วน้ำตาลเขาเสียแล้ว แต่ดูเหมือนนางจะไม่เคยกินมาก่อนเลยนี่

“อาจารย์สอนมาอีกแล้วหรือ” เฉียวเวยถาม

วั่งซูหัวเราะแหะๆ

จิ่งอวิ๋นอธิบายว่า “อาจารย์สอนเรื่อง ‘ซือจิง’ ประโยคที่ว่า ‘ต้นเกาลัดอยู่นอกประตูบูรพา หาได้อยู่ในสวน ต้องเดินหาเองจึงจะรู้’ น้องสาวจึงถามว่าเกาลัดคืออะไร กินได้หรือไม่ อาจารย์บอกว่าเกาลัดคั่วน้ำตาลนั้นอร่อยที่สุดแล้ว”

“เจ้าเด็กคนนี้นี่!” เฉียวเวยดีดหน้าผากบุตรสาวอย่างทั้งโกรธทั้งขำ อาจารย์เขากำลังสอนความหมายในกลอนอยู่ดีๆ นางก็ช่างกระไร คิดถึงแต่เรื่องกินอยู่นั่น

“แต่ว่าข้าอยากกินนี่” วั่งซูเอ่ยอย่างออดอ้อน

เฉียวเวยจึงบอกว่า “เวลานี้ที่นี่ยังไม่มีขาย ต้องทางใต้ถึงจะมี ไว้รออากาศเย็นขึ้นแล้ว แม่ค่อยซื้อให้เจ้านะ”

วั่งซูยิ้มแปล้ “ท่านแม่ใจดีจริงๆ!”

เฉียวเวยส่งเสียงหึหึ “ถ้าไม่ซื้อให้เจ้ากินแล้วยังจะดีอยู่หรือไม่”

วั่งซูเอ่ยทันทีโดยไม่ต้องคิดว่า “ดีๆๆ! ท่านแม่ดีที่สุดเลย!”

เจ้าเด็กขี้ประจบ เรื่องนี้ไม่เหมือนทั้งนางไม่เหมือนทั้งหมิงซิว ก็รู้ไปได้มาจากใคร

เฉียวเวยกับป้าหลัวซื้อหมูสามชั้นสดๆ ไปหนึ่งจิน เนื้อวัวหนึ่งจิน ปลากะพงหกตัว ตัวละไม่ถึงสองจิน ซึ่งอยู่ในช่วงน้ำหนักที่เนื้อแน่นที่สุด

สิ่งที่ควรกล่าวถึงก็คือ หน่วยน้ำหนักเป็นจินของยุคโบราณกับปัจจุบัน มีคำจำกัดความที่ไม่เหมือนกันนัก หนึ่งจินของปัจจุบัน หนักสิบตำลึง แต่ละตำลึงหนักห้าสิบกรัม แต่ในยุคโบราณ หนึ่งจินเท่ากับสิบหกตำลึง ไม่อย่างนั้นเหตุใดถึงพูดกันว่าครึ่งจินแปดตำลึงเล่า ครึ่งจินในสมัยโบราณก็คือแปดตำลึงนั่นเอง

เพียงแต่ว่า แต่ละตำลึงในสมัยโบราณ น้อยนักที่หนักถึงห้าสิบกรัม ตัวเลขที่แน่ชัดเปลี่ยนไปตามแต่ละยุคแต่ละราชวงศ์ ตัวอย่างเช่นหนึ่งตำลึงของราชวงศ์ฮั่นตะวันตกมีเพียงสิบหกกรัมเท่านั้น หนึ่งจินเท่ากับสองร้อยห้าสิบแปดกรัม ส่วนราชวงศ์ถัง หนึ่งตำลังเท่ากับสามสิบเจ็ดกรัม หนึ่งจินคือไม่ถึงหกร้อยกรัม… หน่วยวัดของต้าเหลียงเหมือนกับราชวงศ์ถัง ปลาที่หนักหนึ่งจินกว่า หากเปลี่ยนมาเป็นหน่วยในปัจจุบัน อันที่จริงก็เท่ากับหนึ่งจิน

เป็ดไก่กับพวกผักเล็กๆ น้อยๆ ที่บ้านมีหมดแล้ว ไม่จำเป็นต้องซื้อ

หลักออกจากตลาด วั่งซูจู่ๆ ก็ชี้ไปยังร้านแผงลอยเล็กๆ แล้วกระโดดโลดเต้นขึ้นมา “ท่านแม่ ท่านแม่! ท่านดูสิ!”

เฉียวเวยมองตามนางไป ร้านนั้นเป็นร้านขายน้ำตาลวาด น้ำตาลวาดของเขาทำจากน้ำตาลเคี่ยว มีตุ๊กตาอ้วนตัวเล็กๆ หมาน้อย แมวน้อย นกตัวน้อย… โปร่งใสเป็นประกาย ราวกับมีชีวิต

เฉียวเวยจำได้ว่าตอนเด็กๆ ตนเองเคยกินน้ำตาลวาดเช่นนี้มาก่อน ใหญ่กว่าหน้านางเสียอีก แต่กลับขายเพียงตัวละสองเหมา[1]เท่านั้น เรื่องรสชาติน่ะหรือ อันที่จริงก็ธรรมดามาก แต่ต้านทานพวกสัตว์ตัวน้อยที่ดูราวกับมีชีวิตเหล่านั้นไม่ไหว พอได้กินจึงรู้สึกแปลกใหม่เป็นพิเศษ

“อยากกินอันไหนจ้ะ” เฉียวเวยยิ้มถาม

วั่งซูสูดน้ำลาย จิ่งอวิ๋นเองก็ทานทนความยั่วยวนของน้ำตาลวาดไม่ไหวเช่นกัน ถึงกับกลืนน้ำลายเบาๆ

เฉียวเวยพาทั้งสองไปที่แผง ตรงนั้นมีคนยืนรออยู่ไม่น้อยแล้ว พ่อค้าฝีมือดีมาก ลูกค้าอยากได้อะไร เขาวาดให้ได้ทั้งหมด ไม่นานก็มาถึงตาจิ่งอวิ๋นกับวั่งซู

จิ่งอวิ๋นตัดสินใจได้อย่างรวดเร็วว่าจะเอาลิง

“ได้สิ!” พ่อค้าตักน้ำตาลมาช้อนหนึ่ง แล้วเริ่มวาดลงบนแผ่นหิน เขาวาดพลางถามวั่งซูว่า “แม่นางน้อยอยากได้ตัวอะไร”

“ข้าก็อยากได้ลิงเหมือนกัน! ไม่สิๆ ข้าอยากได้เสือ! เอ๊ะ… ข้าอยากได้ผีเสื้อ… อยากได้เสี่ยวไป๋… โอ้ย! ข้า ข้า ข้าอยากได้…” อยากได้อะไรกันแน่

วั่งซูอยากได้นู่นอยากได้นี่ แต่ก็ตัดสินใจไม่ได้สักที

เฉียวเวยเอ่ยยิ้มๆ ว่า “ทำลิงอีกตัวก็แล้วกัน”

หากเอาที่ไม่เหมือนพี่ชาย อีกเดี๋ยวจะไปอยากได้ของพี่ชาย ไม่อยากได้ของตัวเองเสีย

พ่อค้าเอาน้ำตาลเคี่ยวมาทำเป็นเม็ดกลมๆ ให้ซาลาเปาน้อยคนละลูก พวกเขาเลียไปคำหนึ่งอย่างอดใจรอไม่ไหว

หวานจริงๆ!

ในยุคโบราณน้ำตาลแพง น้ำตาลวาดจะถูกหรือ อันละสิบห้าอีแปะ นับว่าเป็นขนมที่ฟุ่มเฟือยมากทีเดียว

เฉียวเวยซื้อไปให้จงเกอร์กับเสี่ยวไป๋และจูเอ๋อร์คนละตัว

พวกเขาขึ้นนั่งรถวัวของตาเฒ่าซวนจื่อกลับหมู่บ้าน

เสี่ยวไป๋กับจูเอ๋อร์เหมือนรู้ว่าเฉียวเวยจะซื้อของอร่อยมาให้พวกมันกินกระนั้น พวกมันนั่งเรียงแถวอยู่หน้าประตูบ้าน มองตาแป๋วไปทางตีนเนิน ดูคล้ายหินสลักสองก้อนยิ่งนัก

เฉียวเวยงูน้ำตาลให้เสี่ยวไป๋ ลูกท้อน้ำตาลให้จูเอ๋อร์

สัตว์สองตัวถือน้ำตาลวาดของตนเอาไว้ แล้วกัดเสียงดังกร๊อบๆ

เฉียวเวยเอาน้ำตาลรูปเสือตัวสุดท้ายส่งให้จงเกอร์ เพราะจงเกอร์เกิดปีขาล

จวิ้นเกอร์ที่อายุได้แปดเดือนยื่นมือออกมา ดูจะอยากได้บ้าง

เฉียวเวยหยิกแก้มอ้วนท้วมของเขาทีหนึ่ง “เจ้ายังเด็ก ยังกินอันนี้ไม่ได้นะ”

จวิ้นเกอร์พลันปากมุ่ย ร้องไห้จ้าออกมาเสียงดังลั่น!

ไม่ใช่เพราะอยากกิน แต่เพราะเจ็บ

ท่านป้าหยิกเจ็บเกินไปแล้ว!

ชุ่ยอวิ๋นอุ้มจวิ้นเกอร์กลับห้องไปป้อนนม เด็กคนอื่นๆ ที่เหลืออยู่เล่นสนุกกันในลาน เฉียวเวยกับป้าหลัวไปทำกับข้าวที่ห้องครัว

เทศกาลไหว้พระจันทร์ในต้าเหลียงนั้น เป็นรองเพียงเทศกาลโคมไฟและวันขึ้นปีใหม่ นอกจากท่านลุงหลัวที่งานรัดตัวจนไม่อาจลากลับมาได้แล้ว แม้แต่หลัวหย่งเหนียนยังกลับมาจากร้านเหล็กด้วย

ไม่ได้พบกันครึ่งปี หลัวหย่งเหนียนสูงขึ้นอีกแล้ว ก่อนหน้านี้สูงกว่าเฉียวเวยแค่หนึ่งข้อนิ้ว เวลานี้ทะลึ่งขึ้นไปสูกว่านางเป็นครึ่งช่วงศีรษะแล้ว รูปร่างก็ดูล่ำสันขึ้นมาก ผิวพรรณถูกแดดจนออกสีน้ำผึ้งอ่อนๆ ดูมีกลิ่นอายของเด็กหนุ่มกำยำที่เต็มไปด้วยกำลังวังชา

ป้าหลัวพอเห็นเขา มองปราดแรกเกือบจำเขาไม่ได้

“แม่!” เขาเอ่ยยิ้มๆ

เสียงก็เปลี่ยนไปด้วย กลายเป็นผู้ใหญ่แล้วจริงๆ!

ป้าหลัวตื่นเต้นจนน้ำตาเอ่อ นางยกกระโปรงขึ้นเช็ด “เหตุใดเจ้าถึงกลับมาโดยไม่บอกไม่กล่าวกันสักคำเล่า ดีร้ายอย่างไรก็ควรให้ใครกลับมาส่งข่าวบ้าง ข้าจะได้ให้พี่ชายเจ้าไปรับ!”

หลัวหย่งเหนียนเอ่ยยิ้มๆ “ข้าไม่ได้กลับไม่ถูกเสียหน่อย!”

“ป้าหลัว นี่ลูกชายคนเล็กของป้าหรือ” ชีเหนียงที่กำลังหั่นผักอยู่ถามขึ้น

ป้าหลัวเปลี่ยนจากร้องไห้เป็นยิ้ม จับมือหลัวหย่งเหนียนพลางตอบว่า “ก็คนที่ข้าพูดถึงบ่อยๆ นั่นแหละ เจ้าเด็กอันธพาลบ้านข้า!”

ปากบอกว่าเด็กอันธพาล แต่ใบหน้ากลับยิ้มจนแทบมองไม่เห็นตา

ชีเหนียงยิ้มพลางเอ่ยทักทาย “หย่งเหนียนกระมัง”

หลัวหย่งเหนียนไม่รู้จักชีเหนียง ตอนเขาไป บนเนินยังเป็นเพียงบ้านผุๆ พังๆ ที่ลมฝนทะลุผ่านเข้ามาได้ เวลานี้ไม่เพียงสร้างเป็นบ้านหลังงามหลังใหม่ แต่ยังมีแขกที่เขาไม่รู้จักเพิ่มเข้ามาด้วย

ป้าหลัวบอกว่า “นี่คือพี่กู้ เวลานี้เป็นผู้ดูแลของโรงงาน เก่งมากเลยนะ”

ใช่แล้ว พี่สาวของเขาเปิดโรงงาน ให้คนกว่าครึ่งหมู่บ้านไปทำงานที่นั่น เขาเพิ่งได้ยินคนพูดมาตรงหน้าหมู่บ้าน

พี่สาวเขาเก่งจริงๆ!

หลัวหย่งเหนียนเอ่ยเรียกอย่างปากหวานว่า “พี่กู้”

ชีเหนียงยิ้ม “เรียกข้าชีเหนียงก็ได้”

หลัวหย่งเหนียนกับป้าหลัวพูดคุยกันอีกหลายประโยค ก่อนสายตาบุตรชายจะพลันเปลี่ยน “พี่สาวข้าเล่า”

ป้าหลัวชี้นิ้วพลางบอกว่า “ล้างผักอยู่เรือนหลังน่ะ”

“ข้าจะไปดูหน่อย”

ป้าหลัวตบมือบุตรชายเบาๆ “ไปเถิด”

หลัวหย่งเหนียนหอบหิ้วของห่อเล็กห่อใหญ่เดินไป

“พี่สาวน้องชายช่างรักใครกันดีจริง” ชีเหนียงเอ่ยยิ้มๆ

ป้าหลัวหยิบเห็ดขึ้นมาดอกหนึ่ง “ก็ใช่น่ะสิ เขาสนิทกับเสี่ยวเวยที่สุดแล้ว”

หลัวหย่งเหนียนไปที่เรือนหลัง แค่ยืนอยู่ตรงระเบียบทางเดินไกลๆ ก็เห็นร่างที่คุ้นตานั้นแล้ว ใจเขาพลันเต้นตุบตับๆ ติ่งหูอยู่ดีๆ ก็พลันแดงก่ำขึ้นมา

[1] เหมา หน่วยเงินของจีนเทียบเท่ากับสตางค์