ตอนที่ 631 ยอมเป็นภรรยาผู้อยู่เบื้องหลังสามี
ฮ่องเต้หยวนชิงแย้มโอษฐ์พลางทอดพระเนตรนาง “เจ้าได้สร้างคอกเลี้ยงวัวไว้ที่ภาคตะวันตกเฉียงเหนือไม่ใช่หรือ ? ทุกครั้งที่ถึงฤดูเพาะปลูกก็จะปล่อยเช่าให้ชาวบ้านในราคาต่ำจนไม่มีเงินจ้างคนมาเลี้ยงสัตว์…ถ้าต้าเซี่ยมีฝูเหรินที่ไม่เห็นผลประโยชน์ส่วนตัวเช่นนี้เพิ่มอีกหลายคนก็คงดี ! ”
หลินเว่ยเว่ยรีบพูด “ฝ่าบาทเพคะ ไม่ว่าพระองค์จะส่งบัณฑิตน้อยไปอยู่ที่ใด หม่อมฉันก็จะสร้างฟาร์มปศุสัตว์ขึ้นที่นั่น และหม่อมฉันไม่ใช่ผู้ที่ไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัวอย่างที่พระองค์ตรัสขนาดนั้น…พระองค์ลองดำรินะเพคะ มูลวัวสามารถนำมาใช้ทำปุ๋ยคอกได้ พอได้ปุ๋ยในปริมาณที่เพียงพอแล้ว ผลผลิตก็จะสูงขึ้น ผลผลิตมวลรวมจะเพิ่มมากขึ้น นมวัวที่รีดออกมาก็ยังสามารถนำมาทำเนย ลูกอมรสนม…ของพวกนี้ราคาสูงมากด้วยเพคะ ในฟาร์มของหม่อมฉันไม่ได้มีแค่วัว เพราะยังมีหมู กระต่าย…เจ้าพวกนี้ล้วนนำรายได้มาให้หม่อมฉัน อันที่จริงหม่อมฉันไม่ได้ขาดทุนเลยสักนิด ! ” ไม่เพียงไม่ขาดทุน แถมยังทำเงินได้มหาศาลอีกด้วย !
“ถ้าเช่นนั้น…ให้เจ้าสร้างฟาร์มปศุสัตว์ที่เมืองหลวง เจ้าจะยินดีหรือไม่ ? ” ฮ่องเต้หยวนชิงทอดพระเนตรนางด้วยรอยแย้มพระโอษฐ์…เท่าที่ทรงเข้าพระทัยคือเด็กคนนี้หาเงินเก่ง แม้แต่ที่ดินรกร้างของภาคตะวันตกเฉียงเหนือ พอไปอยู่ในมือนางแล้วก็กลายเป็นศูนย์เพาะเมล็ดพันธุ์คุณภาพสูง แค่รายได้จากการจำหน่ายเมล็ดพันธุ์ในแต่ละปีก็มากกว่าที่ผู้อื่นทำได้นับ 10 เท่า !
หลินเว่ยเว่ยเหลือบมองเจียงโม่หานแล้วทูลตอบเบา ๆ ว่า “ฝ่าบาททรงดำริ…ให้บัณฑิตน้อยอยู่รับตำแหน่งในเมืองหลวงอย่างนั้นหรือเพคะ ? ”
“ทำไม ? สามีเจ้าอยู่ที่เมืองหลวงต่อ เจ้าก็จะไม่สร้างฟาร์มให้เจิ้นแล้วหรือ ? ” ฮ่องเต้หยวนชิงทอดพระเนตรนางด้วยดวงพักตร์เปื้อนยิ้มแสนคลุมเครือ
หลินเว่ยเว่ยพูดด้วยน้ำเสียงลังเล “เอ่อ คือ…การเลี้ยงวัวเลี้ยงม้าแทนฝ่าบาทก็ไม่ได้มีกองไท่ผู (ควบคุมโรงม้า เพาะพันธุ์ม้า เลี้ยงม้าพันธุ์ดีและดูแลเรื่องราชรถ) ทำหน้าที่อยู่แล้วหรือเพคะ ? หม่อมฉันเป็นแค่ภรรยาของขุนนางขั้นหกตัวเล็ก ๆ เข้าไปยุ่งด้วยก็คงไม่เหมาะสมหรอกเพคะ…”
“ทำไม ? หรือเจ้าอยากเป็นขุนนางหญิงคนแรกของต้าเซี่ย ! ย่อมได้ ถ้าเจ้าอยากเป็น เจิ้นจะให้เป็นเจ้าหน้าที่กรมไท่ผูขั้นเจ็ด เจ้าว่าอย่างไร ? ” ฮ่องเต้หยวนชิงตรัสด้วยแววพระเนตรขี้เล่น
หลินเว่ยเว่ยไม่ได้คิดเป็นจริงเป็นจัง อีกประการคือนางสนใจเงินก้อนโตมากกว่า เพราะเป็นขุนนางต้องโดนคนอื่นควบคุมและต้องออกไปทำงานทุกวัน…ได้เงินไม่คุ้มค่าแรง
“ทูลฝ่าบาท หม่อมฉันไม่ได้มีคุณสมบัติจะเป็นขุนนางหรอกเพคะ ! ฟาร์มปศุสัตว์เหล่านี้หม่อมฉันสร้างได้ แต่ตำแหน่งขุนนางนี้ พระองค์เก็บไว้เถิดเพคะ ! ” หลินเว่ยเว่ยปฏิเสธอย่างไม่ลังเล…นางคิดว่าตนเองเหมาะกับการเป็นสตรีผู้อยู่เบื้องหลังบัณฑิตน้อยดังเดิมมากกว่า
ฮ่องเต้หยวนชิงเผยนัยน์เนตรแต้มยิ้ม “เจ้าคิดให้ดี ถ้าเป็นขุนนางแล้ว ไม่เพียงได้กินเงินหลวง ตอนอยู่ในบ้านยังได้นั่งระดับเดียวกับสามีอีกด้วย ไม่ว่าจะเดินไปที่ใดก็มีคนเคารพ เจ้าไม่อยากเป็นจริงหรือ ? ”
หลินเว่ยเว่ยพูดด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด “หม่อมฉันคิดดีแล้วเพคะ ขอพระองค์ทรงเรียกกลับคืนไปเถิดเพคะ ! ”
เงินหลวง ? ขุนนางขั้นเจ็ดจะได้เงินเบี้ยหวัดสักเท่าไรกันเชียว ? เงินเดือนรวมกันทั้งปียังไม่ได้เท่าเงินที่นางหาแค่ครึ่งเดือนในเวลานี้เลย ! นอกจากนี้ตอนอยู่ในบ้านนางก็ใหญ่สุด แล้วยังต้องการที่นั่งระดับเดียวกันอีกทำไม ? นางคือบุตรสาวหมินอ๋องและองค์หญิงเว่ยเว่ยที่ฮ่องเต้ทรงแต่งตั้ง แม้จะไม่มีตำแหน่งขุนนางก็มีคนเคารพ…แล้วจะเอาตำแหน่งขุนนางขั้นเจ็ดไปทำอะไร ?
“เอ่อ คือ…ฝ่าบาท หม่อมฉันใช้ตำแหน่งขุนนางนี้แลกกับตำแหน่งงานใกล้เมืองหลวงของบัณฑิตน้อยแทนได้หรือไม่เพคะ ? ” หลินเว่ยเว่ยลองถามหยั่งเชิง
ฮ่องเต้หยวนชิงแกล้งครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง “เดิมทีเจิ้นคิดจะให้สามีเจ้าดำรงตำแหน่งเจ้าเมืองซูโจว แต่ในเมื่อเจ้าพูดแล้ว ก็ให้เขาเป็นรองผู้ตรวจการเขตปกครองซุ่นเทียนแล้วกัน ดูแลที่ดิน เครื่องบรรณาการและเงินตราในเขตปกครองซุ่นเทียน ! ”
องค์รัชทายาทเงยดวงพักตร์เพื่อทอดพระเนตรฟู่หวง ‘เรื่องตำแหน่งของเจียงโม่หาน ฟู่หวงตัดสินพระทัยไว้ตั้งนานแล้ว โดยให้เขาย้ายไปทำความคุ้นเคยกับระบบการปกครองในเขตปกครองซุ่นเทียนก่อน จากนั้นก็ให้ไต่เต้าจากตำแหน่งนี้ หลังรอให้ชื่อหลางของกรมคลังลาออกก็ค่อยให้เขาไปทำงานในกรมคลัง ส่วนเรื่องให้เป็นเจ้าเมืองซูโจว…เขาเพิ่งเข้ารับตำแหน่งได้ไม่ถึงปี ที่ฟู่หวงตรัสไปแบบนั้นคงอยากจะแกล้งองค์หญิงเว่ยเว่ยมากกว่า ! ’
หลินเว่ยเว่ยเกาศีรษะ ก่อนจะหันไปมองเจียงโม่หานแล้วบ่นพึมพำออกมาว่า “ที่จริง…เจ้าเมืองซูโจวก็ดี…”
แม้ตำแหน่งเจ้าเมืองและรองผู้ตรวจการจะเป็นขุนนางขั้น 4 เหมือนกัน แต่เจ้าเมืองคือผู้ปกครองหนึ่งเมืองจึงอยู่เหนือกว่ารองผู้ตรวจการที่มีผู้ตรวจการ (ขุนนางขั้น 3) อยู่เบื้องบนอีกขั้น…นางคงไม่ได้ทำเรื่องดีให้เป็นเรื่องแย่หรอกกระมัง ?
“เอาเถิด ตกลงตามนี้แล้วกัน ! รองผู้ตรวจการขั้นสี่ แค่ครู่เดียวก็เลื่อนไปอยู่ขั้นสี่แล้ว เจ้ายังมีอะไรไม่พอใจอีก ? ” ฮ่องเต้หยวนชิงไม่เปิดโอกาสได้นางได้เปลี่ยนใจ ทรงโบกพระหัตถ์ให้สามีภรรยาคู่นี้ออกไป
หลินเว่ยเว่ยเหมือนภรรยาตัวน้อยที่กำลังสำนึกผิด ขณะเดินตามหลังเจียงโม่หาน นางก็เงยหน้ามองเขาเป็นระยะอยู่อย่างนั้น…
“เหตุใดต้องทำท่าทางประหลาดด้วย ? ” เจียงโม่หานชะลอฝีเท้าลง แล้วใช้แขนเสื้อขนาดใหญ่ปกปิดการจับมือกับหลินเว่ยเว่ยพลางเดินออกจากวังหลวง
“เมื่อครู่ข้าไม่น่าพูดจาเหลวไหลเลย ! เจ้าเหมาะสมกับตำแหน่งเจ้าเมืองซูโจวมากกว่ารองผู้ตรวจการซุ่นเทียนหรือเปล่า ? ” หลินเว่ยเว่ยเริ่มตาแดง…ตอนอยู่ที่อำเภอหนิงซี บัณฑิตน้อยทั้งทำงานหนัก อดทนกับความลำบากจนผอมลงด้วยซ้ำ แต่ผลงานที่แลกมาได้กลับโดนนางทำลายด้วยคำพูดประโยคเดียว ตอนนี้นางอยากหยิบเข็มขึ้นมาเย็บปากตัวเองเหลือเกิน !
เจียงโม่หานหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาซับน้ำตาให้ภรรยา “เจ้าเชื่อคำพูดของฮ่องเต้จริงหรือ ? ถ้าพระองค์อยากให้ข้าเป็นเจ้าเมืองซูโจวจริง ๆ แค่คำพูดประโยคเดียวของเจ้าจะเปลี่ยนพระทัยได้หรือ ? เจ้าเมืองซูโจวเพิ่งเข้ารับตำแหน่งเมื่อปีที่แล้ว ตอนอยู่ที่ซูโจวก็ทำผลงานออกมาได้ดี แล้วข้าจะไปทำอะไร ? หรือซูโจวแค่เมืองเดียวจะต้องมีเจ้าเมืองถึงสองคน ? ”
หลินเว่ยเว่ยสูดน้ำมูกพลางรับผ้าเช็ดหน้ามาจากสามีแล้วเช็ดน้ำตาอย่างลวก ๆ “เจ้าหมายความว่า…เดิมทีตำแหน่งที่ฮ่องเต้เตรียมไว้ให้เจ้าก็คือรองผู้ตรวจการซุ่นเทียนอยู่แล้ว ? เหตุใดฮ่องเต้ทรงทำแบบนี้ ? แกล้งคนโง่หรืออย่างไร ? ”
“ก็มีแต่คนโง่อย่างเจ้าเท่านั้นที่เชื่อ ! ” เจียงโม่หานเกาปลายจมูกน้อย ๆ ของนาง
“เฮ้อ ! สังคมนี้ช่างอันตรายจริง ๆ ต้องโทษที่ข้าไร้เดียงสาเกินไป ! ” หลินเว่ยเว่ยกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง
เมื่อเดินไปถึงหน้าประตูวังหลวง จู่ ๆ ก็มีร่างของผีเสื้อน้อยตัวหนึ่งกระโจนเข้ามา “พี่เว่ยเว่ย เหตุใดท่านเพิ่งออกมา ? ปล่อยให้เจียวเจียวรอตั้งนาน”
เรื่องนี้จะโทษนางได้หรือ ? ถ้าจะโทษก็ต้องโทษฮ่องเต้ที่เอาคนอื่นมาสร้างความสุขให้ตัวเองสิ ! หลินเว่ยเว่ยรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย
สามปีผ่านไป เจียวเจียวได้เติบโตเป็นสาวน้อยร่างผอมเพรียว ทั้งตัวมีประกายของสาวแรกแย้ม หลังกอดหลินเว่ยเว่ยแล้ว นางก็หย่อนกายนั่งบนรถม้าสกุลเจียงด้วยความเกียจคร้าน “พี่เว่ยเว่ยรีบขึ้นรถม้าเถิด ! ข้ามีเรื่องมากมายจะคุยกับท่าน ! ”
หลินเว่ยเว่ยขึ้นมานั่งข้างนาง “คุยกับข้า ? คุยเรื่องว่าที่ราชบุตรเขยหรือเปล่า ? ”
“มีสิ่งใดให้พูดถึงเขากัน ? พี่เว่ยเว่ย ที่ท่านเขียนจดหมายมาบอกข้าว่าใช้ธนูสุริยันสังหารแม่ทัพศัตรูได้แล้วยังมีเรื่องที่ไปปราบโจรกับแม่ทัพเฉาด้วย รีบเล่าให้ข้าฟังหน่อยสิ ! ” องค์หญิงเจียวเจียวกอดแขนนางไว้แล้วพูดกระตุ้นไม่หยุด
เจียงโม่หานส่ายหน้า ตอนนี้เขากำลังนั่งอยู่นอกตัวรถ แต่กลับได้ยินเสียงสนทนาของเด็กสาวเต็มรูหู ภายในสามปีนี้ ภรรยาของเขาได้เขียนจดหมายถึงองค์หญิงเจียวเจียวและพี่น้องอีกสองสามคนในเมืองหลวงตลอดเวลา น้องสะใภ้ที่นางคิดว่าจะได้ดองกันในอนาคตอย่างติงหลิงเอ๋อร์…ออกเรือนไปแล้ว โดยแต่งงานกับลูกพี่ลูกน้องคนหนึ่ง ปีก่อนสามีของติงหลิงเอ๋อร์สอบได้จิ้นซื่อ ติงหลิงเอ๋อร์จึงตามไปรับตำแหน่งกับเขา
น้องสาวของหยานจิงหยูอย่างหยานชิงชิงก็ออกเรือนแล้ว โดยแต่งกับหยวนเจี๋ย ทั้งสองตระกูลเป็นขุนนางจึงถือว่าฐานะเหมาะสมกัน แม้แต่โม่ชิงหลีที่อายุน้อยที่สุดในกลุ่มก็เริ่มดูตัวแล้ว…