บทที่ 503 พี่น้องควบม้า

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

บทที่ 503 พี่น้องควบม้า

ตกกลางคืน กู้เฉิงเฟิงรอท่านพี่กลับมาไม่ไหวจนต้องยอมเข้านอนแต่โดยดี

หึ พรุ่งนี้ท่านพี่จะต้องมาหาข้าแน่ๆ

วันถัดมา กู้ฉังชิงเดินทางออกนอกเมือง…

เขาออกเดินทางไปพร้อมกันกับกู้เจียว

แม้สถานการณ์ที่เมืองเย่ว์กู่ได้คลี่คลายลง แต่ยังมีวิกฤตอีกสองอย่างที่กำลังรอพวกเขาอยู่ อย่างแรกคือที่กู้ฉังชิงถูกคนทำร้ายจนขาหักทั้งสองข้าง และอีกอย่างคือกองทัพทหารของตระกูลกู้กำลังจะสิ้นแรง

อันที่จริงเรื่องทั้งสองก็มีความเกี่ยวพันอยู่ และตัวต้นเหตุคือเมืองหลิงกวนอันเป็นที่กบดานของพวกกบฏของราชวงศ์ก่อน

พวกเขาทำทุกวิถีทางเพื่อต่อกรกับกองทัพทหารของตระกูลกู้ ไม่รู้ว่าพวกเขาไปหาคนที่มีอาการป่วยมาจากที่ไหน และใช้วิธีแพร่เชื้อนี้ให้ราษฎรทั้งเมือง กองทัพตระกูลกู้ยึดเมืองหลิงกวนได้โดยหารู้ไม่ว่าขณะนั้นทั้งเมืองเต็มไปด้วยโรคระบาด

กว่าจะรอให้พวกหมอตรวจจนพบว่าเกิดโรคระบาดขึ้น กองทัพตระกูลกู้ก็ติดเชื้อเข้าเสียแล้ว

โรคระบาดที่ว่ามีความเป็นไปได้อย่างมากที่จะเป็นวัณโรค ระยะเวลาฟักตัวสั้น ออกอาการเร็วและรุนแรง อีกทั้งความเสี่ยงเสียชีวิตยังสูงอีกด้วย

กองทัพตระกูลกู้พยายามสกัดทุกวิถีทางแต่ก็สายเกินแก้ เชื้อนั้นลุกลามในคนหมู่มากไปแล้ว

เพราะไม่ได้รับการช่วยเหลือที่ถูกต้อง ทุกวันจะมีทหารนับร้อยที่ล้มตายอยู่ในเพิงกักกัน

ศพของพวกเขาจะถูกกำจัดด้วยวิธีการเผาเท่านั้น และไม่สามารถนำเถ้ากระดูกกลับไปได้ เพื่อกันไม่ให้เชื้อแพร่กระจาย

ส่วนกู้ฉังชิงถูกลอบทำร้ายขณะที่กำลังตามหาตัวยา โดยคนที่เล่นงานกู้ฉังชิงเรียกได้ว่าเป็นหน่วยกล้าตายที่มีฝีมือเก่งกาจไม่แพ้ทหารหลงอิ่ง เพียงแต่อีกฝ่ายไม่ได้จงใจเอาชีวิตกู้ฉังชิง แต่กลับใช้วิธีหักขาของเขาแทน

เป้าหมายของอีกฝ่ายคือต้องการให้กู้ฉังชิงใช้ชีวิตที่เหลือด้วยความทรมาน กำจัดกองทัพ กำจัดครอบครัว ทิ้งไว้แค่กู้เฉิงหลินน้องชายคนเล็กของเขา ให้เขาอยู่เฉกเช่นคนตายทั้งเป็นแต่กระนั้นก็ยังตายจากไปไม่ได้

ให้เขาใช้ชีวิตด้วยความทุกข์และอัปยศอดสู

กู้เจียวลองครุ่นคิดอย่างจริงจัง หากต้องช่วยเหลือกองทัพ ก่อนอื่นต้องหยุดโรคระบาดนี้ไว้ให้ได้เสียก่อน

จากนั้นค่อยมาหยุดเรื่องราวโศกนาฏกรรมของกู้เฉิงเฟิงโดยการห้ามไม่ให้เขาออกไปหาตัวยา จากนั้นก็ตามหาทหารหน่วยกล้าตายคู่อริคนนั้นแล้วจัดการฆ่าทิ้งเสีย

ตอนนี้กู้เจียวไม่รู้ว่าทหารคนนั้นกบดานอยู่ที่ไหน จึงทำได้แค่หาวิธียับยั้งโรคระบาดก่อน

ระหว่างทางไปเมืองหลิงกวน หนุ่มสาวทั้งสองควบม้าท่ามกลางพื้นหิมะหนา กู้ฉังชิงหันมามองกู้เจียว พลางเอ่ย “ทักษะควบม้าของเจ้าดีขึ้นเยอะเลยนะ”

ช่วงที่ยังอยู่ที่เมืองหลวง กู้เจียวยังขี่ม้าไม่เป็น

กู้เจียวเอ่ยกลับ “การเดินทางจากเมืองหลวงมายังที่นี่ต้องใช้ม้า เลยต้องขี่ให้เป็น”

ที่จริงนางไม่ได้ขี่ม้าเก่งอะไรมาก แต่เป็นเพราะได้ม้าดี จึงไม่ต้องใช้วิชาอะไรมาก ตัวม้าเองก็ดูวิ่งอย่างมีความสุข

แต่การที่น้องสาวมีพัฒนาการ แม้จะเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่ก็ใหญ่มากสำหรับคนเป็นพี่

กู้ฉังชิงมองกู้เจียวที่กำลังควบม้าด้วยแววตาเปล่งประกาย

“จริงสิ” กู้ฉังชิงนึกขึ้นได้ว่าคราวนี้ต้องเดินทางไปเมืองหลิงกวน จึงเอ่ยปากถาม “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าที่เมืองหลิงกวนมีโรคระบาด”

กู้เจียวเอ่ยตอบด้วยสีหน้าคงเดิม “คราวก่อนข้าไปที่เมืองหลิงกวน และไปที่จวนผู้ว่ามาด้วย”

แต่ที่ข้าบอกไป ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องที่ข้ารู้เกี่ยวกับโรคระบาดแต่อย่างใดหรอก

กู้เจียวเอ่ยต่อในใจ

ส่วนกู้ฉังชิงพอฟังจบก็กลับเพิ่มข้อมูลเข้ามาในหัวเสียเองว่ากู้เจียวไปหาผู้ว่าฝู่แถมยังไปแอบฟังแผนการลับของพวกกบฏราชวงศ์ก่อน

ว่าก็ว่าเถอะ การเพิ่มข้อมูลเองในหัวแบบนี้เรียกได้ว่าเป็นทักษะอันช่ำชองของพ่อลูกตระกูลกู้

ข่าวที่ว่ากองทัพของตระกูลกู้กวาดล้างกองกำลังสองหมื่นคนของแคว้นเฉินแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว การป้องกันเมืองหลิงกวนก็เข้มงวดกว่าเดิมเช่นกัน ทว่าหลิงกวนไม่ได้ล้อมรอบด้วยกำแพงเหมือนเมืองหลวง มีเพียงแค่ด่านตรวจเพียงไม่กี่ด่านเท่านั้น

และการจะผ่านด่านตรวจก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไรสำหรับพวกเขา ก็แค่นำม้าไปซ่อนไว้ในป่าสักจุด จากนั้นใช้วิชาตัวเบาเพื่ออ้อมผ่านด่านไปก็เป็นอันหลุดพ้น

จุดที่อันตรายที่สุดไม่ใช่ที่ผู้ว่าฝู หากแต่เป็นที่ที่พวกราชวงศ์ก่อนซุกซ่อนผู้ป่วยติดเชื้อไว้ตรงหมู่บ้านเล็กๆ ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของเมือง

ทั้งสองมุ่งหน้าไปยังหมู่บ้านแห่งนั้น

ซึ่งตั้งอยู่ที่เชิงเขา ล้อมรอบด้วยภูเขาทั้งสามด้านและหันหน้าไปทางแม่น้ำ

การจะเดินทางเข้าไปยังหมู่บ้านต้องผ่านสะพานไม้ที่พาดข้ามแม่น้ำ

ทั้งสองหมอบลงหลังพุ่มไม้และสังเกตความเคลื่อนไหวอย่างระมัดระวัง

หมู่บ้านแห่งนี้มีขนาดเล็กมาก มีบ้านเล็กๆ เพียงสิบหลังที่ทำจากโคลนและหญ้า ประตูและหน้าต่างของบ้านหลังเล็กๆ นั้นถูกปิดหมด และบางครั้งจะมีเสียงไอดังเล็ดลอดออกมา

พวกเขาซุ่มดูอยู่สักพัก กู้ฉังชิงก็พลันสงสัย “แปลกจริง ไม่เห็นมีใครคอยคุ้มกันสักคน”

“แถมประตูก็ไม่ได้ลงกลอนด้วย” กู้เจียวเสริม

กู้ฉังชิงพยักหน้า

ทุกอย่างที่นี่ดูพิลึกพิลั่นนัก

คนที่อยู่ในนั้นหลักๆ คือผู้ป่วยโรคระบาด แม้อีกฝ่ายต้องการจะใช้เพื่อต่อกรกับกองทัพทหารตระกูลกู้ แต่ ณ ตอนนี้ ทหารตระกูลกู้ยังมิได้มีการโจมตีเมืองหลิงกวนแต่อย่างใด ผู้ที่ประจำการอยู่ที่นี่ควรจะเป็นกองกำลังกบฏจากราชวงศ์ก่อนหน้า

บนถนนเต็มไปด้วยทหารของราชวงศ์ก่อน

พวกเขาไม่กลัวติดเชื้อกันหรืออย่างไร

กู้เจียวเองก็รู้สึกแปลกมากเช่นกัน ในความฝัน กู้เจียวเห็นเพียงเรื่องที่เกิดขึ้นแล้ว แต่ไม่ได้เห็นที่มาที่ไป ก็เลยไม่อาจล่วงรู้ได้ว่าอีกฝ่ายซุ่มขายยาแปลกๆ อะไรไว้

แต่ในเมื่อพวกเขามาถึงนี่แล้ว อย่างไรก็ต้องสืบให้รู้ให้ได้

“มีคนมา” กู้ฉังชิงย่อตัวลงพลางเอามือกดหัวกู้เจียวลง

มีทหารสองนายเดินเข้ามา แต่ละคนถือกล่องอาหารขนาดใหญ่และเดินส่งเสียงดังเอี๊ยดอ๊าดท่ามกลางพื้นหิมะหนา

ด้วยความที่กู้ฉังชิงและกู้เจียวใช้วิชาตัวเบา จึงไม่ได้ทิ้งรอยเท้าไว้บนพื้นหิมะ ทหารทั้งสองเดินผ่านพวกเขาไป

พอมาถึงที่หมู่บ้าน ทหารทั้งสองวางกล่องลงบนพื้น จากนั้นก็เดินจากไป

“มาส่งข้าวอย่างนั้นรึ” กู้เจียวเอ่ย

“เหมือนจะใช่นะ นี่ก็เวลาทานข้าวกลางวันแล้ว เจ้าหิวหรือยัง” กู้ฉังชิงจู่ๆ เปลี่ยนเรื่องอย่างรวดเร็ว

ขณะที่กู้เจียวกำลังจะตอบว่าไม่หิว กู้ฉังชิงกลับหยิบบางอย่างที่ห่อด้วยกระดาษออกมาจากอกของเขา และเมื่อเขาเปิดมัน ปรากฎว่าเป็นห่อเนื้อแห้ง

กู้เจียว “…”

ยังไม่ทันจะได้กิน จู่ๆ เสียงเปิดประตูจากกระท่อมหลังหนึ่งในหมู่บ้านก็ดังขึ้น

เป็นเสียงลั่นดังเอี๊ยดอ๊าดของประตูไม้ที่ถูกดึงเปิดจากด้านใน ปรากฏชายร่างสูงกำยำเดินออกมาช้าๆ

ร่างของเขาถูกห่อหุ้มด้วยผ้านวมหนา ถือชามเปล่า แต่ละย่างก้าวของเขาส่งเสียงดังอันหนักอึ้ง

กู้เจียวรู้สึกคุ้นเคยกับเสียงลมหายใจแบบนั้น ก่อนจะใช้นิ้วชี้เขียนคำบนหิมะ “หน่วยกล้าตาย”

กู้ฉังชิงขมวดคิ้วทันที

จากนั้นคว้ามือของกู้เจียวมากุมไว้เพื่อเพิ่มไออุ่น

ทั้งสองยังคงสังเกตการณ์ความเคลื่อนไหวต่อ

ท่าทีของทหารหน่วยกล้าตายผู้นี้มีบางอย่างผิดแปลกไป เห็นได้ชัดว่าเขาคือผู้ติดเชื้อ

เขาเปิดกล่องอาหารช่องซ้ายก่อน ค่อยๆ หยิบขนมนึ่งและซาลาเปาหนึ่งก้อนออกมา จากนั้นเปิดกล่องอาหารช่องขวา แล้วตักของเหลวสีเข้มซึ่งดูเหมือนเป็นโอสถขึ้นมาหนึ่งชาม

กินเสร็จก็เดินหันหลังกลับเข้าเพิงไป

ท่าทางการเดินของเขาดูเหนื่อยและเชื่องช้าราวกับพิษไข้ได้แผ่ซ่านไปทั่วร่างกายเรียบร้อยแล้ว

หลังจากที่เขาปิดประตู ประตูเพิงหลังอื่นๆ ก็เริ่มทยอยเปิดออก คราวนี้เป็นชาวบ้านทั่วไปที่มีอายุราวๆ ยี่สิบถึงสี่สิบปี ซึ่งอยู่ในวัยที่มีสมรรถภาพทางกายที่ดีอยู่

กู้ฉังชิงคิดในใจ คนพวกนี้ราวกับถูกคัดเลือกมาอย่างดี

ทุกๆ หลังจะมีชาวบ้านออกมาสองคน เขานับได้สี่สิบคน พวกเขาออกมาหยิบอาหารและยากลับไปเหมือนกับทหารเมื่อครู่นี้

“เจ้าได้กลิ่นอะไรหรือไม่” กู้ฉังชิงหยิบกริชออกแล้วเขียนลงบนหิมะ

กู้เจียวเขียนตอบ “ยารักษาโรคระบาด”

“รักษาได้จริงรึ” กู้ฉังชิงเขียนถามต่อ

กู้เจียวส่ายหัว

รักษาไม่ได้หรอก

หากเป็นกาฬโรคจริงๆ จะต้องใช้ยาสเตรปโตมัยซิน หรือเตตราไซคลีน คลอแรมเฟนิคอล หรือซัลโฟนาไมด์ ยาต้มนี้แม้สามารถบรรเทาอาการได้ในระดับหนึ่งทำให้ผู้ป่วยมีชีวิตอยู่ได้อีกสองสามวัน แต่สุดท้ายก็ไม่รอดอยู่ดี

กู้ฉังชิงครุ่นคิดอย่างหนัก

ทั้งสองนั่งยองๆ อยู่หลังพุ่มไม้อยู่พักหนึ่ง ทันใดนั้น ประตูห้องที่อยู่ด้านตะวันออกสุดก็เปิดออก ปรากฏชายอายุราวยี่สิบต้นๆ เดินออกมา

กู้เจียวสังเกตชายคนนี้ได้ตั้งแต่แวบแรกที่พวกชาวบ้านเดินออกมาหยิบอาหาร

ด้วยความที่นางเป็นหมอ ย่อมรู้ว่าอาการหนักเบาของแต่ละคนเป็นอย่างไร และชายคนนี้คือคนที่มีอาการป่วยน้อยที่สุด กู้เจียวถึงได้สังเกตเขาเป็นพิเศษ

ชายคนนั้นดูเหมือนกำลังวางแผนหลบหนี พยายามย่องมือย่องเท้าให้เบาที่สุดเพื่อมุ่งหน้าไปยังสะพานไม้

แต่ก่อนที่ชายคนนั้นจะขยับตัว จู่ๆ ร่างของเขาถูกกระแทกคว่ำลงกับพื้นอย่างแรง จนเลือดกำเดาไหลตกลงบนพื้นหิมะ

“อย่าให้เห็นว่ามีครั้งหน้าอีก ไม่เช่นนั้นข้าจะฉีกร่างของเจ้าให้สุนัขกิน!”

เป็นเสียงของทหารหน่วยกล้าตายคนนั้น

กู้เจียวและกู้ฉังชิงเริ่มเข้าใจแล้วว่าเหตุใดที่แห่งนี้ถึงไม่มีคนคุ้มกัน

แค่มีนายทหารหน่วยกล้าตายอยู่ด้วย ไม่มีชาวบ้านคนไหนรอดออกไปได้แม้แต่คนเดียว

แถมยังลดความเสี่ยงในการแพร่เชื้อไปยังทหารคนอื่นอีกด้วย

ชายคนนั้นเอามือปิดจมูกที่มีเลือดออก และยอมคลานกลับไปที่ของเขา

แววตาของกู้ฉังชิงพลันเย็นชา

เขาเข้าใจแล้วว่าอีกฝ่ายวางแผนอะไร

ท้ายที่สุด เมืองหลิงกวนจะต้องถูกโจมตี หากทหารตระกูลกู้แพ้ เมืองนี้จะยังคงตกเป็นของพวกมัน และคนเหล่านี้จะถูกกำจัด

แต่หากทหารตระกูลกู้ชนะ คนพวกนี้จะถูกปล่อยออกมาเพื่อแพร่เชื้อ

ประมาณว่า ถ้าไม่ได้ก็ทำลายทิ้งเสีย

สำหรับสาเหตุที่คนเหล่านี้ไม่ถูกส่งตรงไปยังเมืองเย่ว์กู่โดยตรง หนึ่งเป็นเพราะพวกเขาป่วยและไม่สามารถเดินได้ไกลขนาดนั้น อีกประการหนึ่งคือเสี่ยงเกิดเรื่องไม่คาดคิดระหว่างทาง

ถ้ามีใครแอบหลบหนีหรือไปปะทะกับทหารเข้าโดยไม่ตั้งใจ ผลที่ตามมาคือหายนะ

แววตาของกู้ฉังชิงเย็นชายิ่งกว่าเดิม เขาทิ้งกริชลงแล้วลุกขึ้นยืน “ข้าจะไปจัดการเจ้าทหารหน่วยกล้าตายนั่น”

กู้เจียวกุมมือเขา พลางเอ่ย “ข้าทำเอง”