ตอนที่ 495 พฤติกรรมสับสนของเจ้าสำนัก (1)

ศิษย์พี่ของข้าจะมั่นคงเกินไปแล้ว

ตอนที่ 495 พฤติกรรมสับสนของเจ้าสำนัก (1)

สามผลให้หลิงเอ๋อร์ สามผลให้อาจารย์ และสามผลให้โหย่วฉิน…

หลี่ฉางโซ่วคำนวณจำนวนผลท้อเซียนที่เขาสามารถใช้ได้คร่าวๆ และพบว่าหากเขาไม่พยายามใช้ผลท้อเซียนเพื่อหลอมโอสถ เขาจะเสียบางส่วนไปโดยเปล่าประโยชน์

ผลท้อเซียนที่เขานำกลับมาที่สำนักนั้นมากเกินพอ

เพื่อความปลอดภัย ไม่อาจให้ท่านเจ้าสำนักส่งผลท้อเซียนได้โดยตรง เพราะในท้ายที่สุดแล้ว เจ้าสำนัก…

เขารู้มากเกินไป!

หลี่ฉางโซ่วรู้สึกด้วยซ้ำว่า เจ้าสำนักรู้บางสิ่งที่เขาไม่รู้ ทุกครั้งที่เขาคาดการณ์ปฏิกิริยาของเจ้าสำนัก จะมีการเบี่ยงเบนเล็กน้อยอยู่ตลอดเวลา

หากสามารถหลอมโอสถที่เขาสามารถสร้างฤทธิ์โอสถของ “ผลท้อเซียน” ซ้ำๆ ได้ หลี่ฉางโซ่วก็จะมอบบางส่วนให้เจ้าสำนักและสำนัก เขาอยากจะช่วยเพิ่มอายุขัยให้ผู้อาวุโสเซียนเสิ่นซึ่งใกล้จะสิ้นอายุขัยของพวกเขาแล้ว

นอกจากนั้น ยิ่งทำมาก ก็ยิ่งมีข้อผิดพลาดมาก

ในชีวิตชาติก่อนของเขา หลี่ฉางโซ่วเคยมีประสบการณ์กับหลักการที่ว่า ‘มอบข้าวหนึ่งถุง รำลึกเป็นบุญคุณ แต่เพิ่มข้าวเป็นหนึ่งกระสอบ กลับนำมาซึ่งความแค้น[1]’

หลังจากส่งมอบผลท้อเซียนแล้ว หลี่ฉางโซ่วก็ตระหนักว่า เขาจัดการศิษย์น้องหญิงจอมพิษตัวอันตรายนั้น ได้ง่ายที่สุด เขาไม่จำเป็นต้องชี้แจงใดๆ เลย

หลี่ฉางโซ่วคว้าผลท้อเซียน และนางก็ยกมือขึ้นทำการสาบานว่า นางจะเข้าปิดด่านหลังจากที่กินมันแล้ว

นั่นทำให้หลี่ฉางโซ่วกังวลเล็กน้อย เขากังวลว่า นางจะเดินไปในวิถีเดียวกันกับเมื่อก่อนที่นางจะกลายเป็นเซียน

ในยามนั้น นางมุ่งมั่นเพียงการฝึกบำเพ็ญอย่างเดียวเท่านั้นโดยที่ไม่รู้วิธีรวบรวมฐานเต๋าของนาง และทำให้ผลเต๋าของนางอ่อนแอเล็กน้อย

โหย่วฉินเสวียนหย่ายังอยู่ห่างไกลจากทัณฑ์สวรรค์เซียนจินนัก เขาจึงไม่ต้องกังวลเรื่องของนางมากเกินไป

มันไม่สายเกินไปที่จะคอยแอบชี้แนะเรื่องการฝึกบำเพ็ญให้นางหลังจากที่สถานการณ์ของเขาในสำนักตู้เซียนมีเสถียรภาพมั่นคงมากขึ้นแล้ว

หลังจากคิดถึงเรื่องนี้ นอกเหนือจาก ‘แวดวงของตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์’ แล้ว หลี่ฉางโซ่วก็ยังมีเครื่องมือเวทที่ไว้ใจได้เพียงไม่กี่ชิ้น แค่กๆ สหายที่ดีในโลกบรรพกาล…

หลังจากไปถึงเซียนจินแล้ว หลี่ฉางโซ่วก็ตระหนักถึงความสำคัญของการมีสหายมากขึ้นเรื่อยๆ ทุกครั้งที่เขาคิดว่า เขาจะเป็นเพียงคนเดียวที่อยู่บนยอดเขาหยกน้อยได้อย่างไรหลังจากเวลาผ่านไปหลายหมื่นหลายแสนปี

ไม่ว่าเขาจะครองฐานพลังสูงมากมายเพียงใดและปลอดภัยมากเพียงใด เขาก็ยังคงรู้สึกว่ามีบางอย่างขาดหายไป

“เขาชอบความสงบ แต่ก็ปรารถนาจะได้เห็นความครึกครื้นมีชีวิตชีวาในโลกของเขาเอง ยามเมื่อเขารู้สึกเหนื่อยล้าในใจเล็กน้อย เขาจะได้มองจากระยะไกลและรู้สึกว่าเขาอยู่ท่ามกลางความครึกครื้น”

ดังนั้น หลี่ฉางโซ่วจะช่วยผู้ที่สร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับยอดเขาหยกน้อยเท่าที่เขาจะสามารถทำได้ ตราบใดที่พวกเขาไม่มีกรรม

ในขณะนั้น เขากำลังขี่เมฆไปในระดับความสูงปานกลาง เขากำลังลอยไปทางยอดเขาตันติ่งเพื่อมอบผลท้อเซียนให้… ผู้อาวุโสว่านหลินหยุน

เวลานี้ มีกล่องผ้าไหมคาดอยู่บนข้อมือของเขา มีผลท้อเซียนสามผล กลับแกล้มสองสามอย่าง และสุราเจิ่งโซ่วเล็กน้อยอยู่ในกล่องผ้านั้น

วันนี้ หลี่ฉางโซ่วจะใช้โอสถพิษ’เพลิงหัวใจ’สัมผัสเซียนรับรู้ เป็นแนวทางและแอบแนะนำผู้อาวุโสว่านหลินหยุนอย่างลับๆ ด้วยเต๋าหลอมโอสถขององค์ไท่ชิงที่เขาเชี่ยวชาญ

เมื่อผู้อาวุโสว่านหลินหยุนมีปฏิกิริยาตอบสนอง เขาก็จะใช้โอกาสที่ได้รับคำชี้แนะจากเหล่าปรมาจารย์แห่งสำนักบำเพ็ญเต๋าหยินเพื่อปิดบังอำพรางมัน จากนั้น เขาก็จะหยิบ “โอสถวิญญาณรู้แจ้ง” และผลท้อเซียนออกมา

หากเขาไม่ได้ชี้แจงใดๆ และมอบเพียงเม็ดโอสถและผลท้อเซียนให้เท่านั้น ก็เป็นไปได้มากที่ผู้อาวุโสว่านหลินหยุนจะไม่ไถ่ถามติดตามเรื่องนี้ ทว่ามันก็จะทิ้งหนามเอาไว้ ติดอยู่ในใจของผู้อาวุโสอย่างง่ายดาย…

หลี่ฉางโซ่วคิดเรื่องนี้อย่างถี่ถ้วนเป็นเวลานานก่อนจะตัดสินใจเสี่ยงด้วยตัวเอง เขาเริ่มที่จะเปิดเผยข้อมูลบางอย่างให้ผู้อาวุโสว่านหลินหยุนเพื่อขจัดความสงสัยในใจของผู้อาวุโส

หลังจากเข้าสู่ยอดเขาตันติ่งและเห็นผู้อาวุโสว่านหลินหยุนแล้ว หลี่ฉางโซ่วก็โค้งคำนับให้เขา จากนั้น พวกเขาทั้งสองต่างก็มองหน้ากันแล้วยิ้มให้กัน

แม้รอยยิ้มใจดีของผู้อาวุโสว่านหลินหยุนยังทำให้ผู้คนตระหนกจนขนลุกชัน…

หลี่ฉางโซ่วยิ้มและกล่าวว่า “ผู้อาวุโส ท่านสบายดีหรือไม่ขอรับ?”

ผู้อาวุโสว่านหลินหยุนพยักหน้าพลางยิ้มและเชิญให้หลี่ฉางโซ่วนั่งลง

จากนั้นเขาก็วางจานสองสามใบลงบนโต๊ะ หยิบสุราชั้นดีออกมาหนึ่งไห ตามด้วยบทที่คัดมาของคัมภีร์พิษสองถึงสามบท จากนั้นก็ใช้เวลาสองชั่วยามผ่านไปเช่นนั้น

แผนของหลี่ฉางโซ่วค่อนข้างราบรื่น ผู้อาวุโสว่านหลินหยุนตระหนักได้อย่างรวดเร็วว่าความสำเร็จในการหลอมโอสถของหลี่ฉางโซ่วนั้นเกินกว่าที่เขาจะเข้าใจได้

จากนั้น หลี่ฉางโซ่วก็นำโอสถเพลิงหัวใจออกมาและแบ่งปันกระบวนการหลอมโอสถและการปรับปรุงโอสถพิษสัมผัสเซียนรับรู้กับผู้อาวุโสว่านหลินหยุน…

“ฉางโซ่ว” ผู้อาวุโสว่านหลินหยุนกล่าวอย่างเต็มไปด้วยความรู้สึกทอดถอนใจ

เขายิ้มอย่างเย็นชาพลางถอนหายใจและกล่าวว่า “ความสำเร็จในเต๋าหลอมโอสถของเจ้าไม่ใช่สิ่งที่ข้าจะเปรียบเทียบได้ มันทำให้ข้าปลื้มใจจริงๆ ข้ารู้ว่าเจ้ามีคุณสมบัติ มีความสามารถและศักยภาพที่ครบถ้วน ทว่า… เจ้าไม่ไปเร็วเกินไปสักหน่อยหรือ?”

“อืม ศิษย์พอมีโชคอยู่บ้างขอรับ”

หลี่ฉางโซ่วมองออกไปนอกหน้าต่างและจงใจลดเสียงลง

จากนั้นเขาก็กล่าวเบาๆ ว่า “วอนผู้อาวุโส โปรดอย่าบอกผู้อื่นว่าศิษย์ได้รับคำสั่งสอนจากปรมาจารย์แห่งสำนักบำเพ็ญเต๋าหยินและการหลอมโอสถสามเล่ม

เมื่อไม่นานมานี้ ศิษย์ได้ปรับปรุงโอสถวิญญาณที่สามารถช่วยให้ผู้ฝึกบำเพ็ญได้เพิ่มพูนการรับรู้เข้าใจของพวกเขาและช่วยทะลวงผ่านจุดตีบตันไปได้ ศิษย์จึงมาที่นี่เพื่อมอบมันให้ท่านผู้อาวุโสโดยเฉพาะขอรับ!”

ขณะกล่าว หลี่ฉางโซ่วก็หยิบขวดกระเบื้องออกมาสองสามขวดแล้ววางไว้ตรงหน้าผู้อาวุโสว่านหลินหยุน

สายตาจ้องมองของผู้อาวุโสว่านหลินหยุน ค่อยๆ เปลี่ยนจากความพึงพอใจเป็นความโล่งใจอย่างช้าๆ

“เอาล่ะ เอาล่ะ… ข้ารู้ว่าเจ้ามีอนาคตที่สดใสในการหลอมโอสถ มันเพียงพอที่จะให้เจ้าอยู่อย่างสบายไปตลอดชีวิตที่เหลือของเจ้า”

ชายชราโบกมือและกล่าวว่า “โอสถเม็ดนี้ล้ำค่ามาก วิถีสู่ความเป็นอมตะนั้นยาวไกลนัก เจ้าควรเก็บมันเอาไว้ใช้เอง

ต่อให้เจ้าจะมอบให้ข้า ก็ยังเป็นเรื่องยากที่ข้าจะก้าวหน้าต่อไปอีกขั้นได้ ฐานพลังก็เป็นเฉกเช่นการปีนเขา และภูเขาของข้าก็สูงเพียงแค่นี้เท่านั้น”

ทันใดนั้น หลี่ฉางโซ่วก็ขมวดคิ้วแล้วโค้งคำนับอย่างสุดซึ้งให้ผู้อาวุโสว่านหลินหยุน

จากนั้นเขาก็กล่าวว่า “ผู้อาวุโส เต๋านั้นไร้ที่สิ้นสุดและมีอุปสรรคในใจของท่าน หากท่านพบอุปสรรคขัดขวาง ย่อมยากที่จะก้าวออกไปข้างหน้าแม้สักก้าวเดียวได้ วอนท่านผู้อาวุโสได้โปรดรับโอสถเหล่านี้ไปเถิด หากท่านปรารถนาที่จะก้าวไปอีกขั้น บางทีโอสถเหล่านี้ก็อาจช่วยท่านได้ขอรับ!”

ผู้อาวุโสว่านหลินหยุนขมวดคิ้วเล็กน้อย ดวงตาของเขายังคงสงบขณะกล่าวว่า “เอาล่ะ อย่า…”

“ท่านผู้อาวุโส!”

………………………………………………………………..

[1] หากจะให้ความช่วยเหลือหรือทำงานใดๆ ก็ตาม ให้เดินทางสายกลาง อย่าทำดีมากเกินไปจนผู้รับชินชาและไม่รู้ซึ้งถึงคุณค่าของความช่วยเหลือที่เคยมอบให้นั้น เปรียบดั่งคนรวยที่ให้ความเมตตาเพิ่ม จากมอบข้าวเป็นถุง ก็กลายเป็นมอบให้เป็น “กระสอบ” โดยให้อย่างสม่ำเสมอ กระทั่งอยู่มาวันหนึ่งคนรวยประสบปัญหา จึงได้ลดปริมาณการช่วยเหลือลงโดยให้ข้าวทีละถุงแทน ทำให้คนจนกลับไม่พอใจ และโกรธแค้น คิดว่าคนรวยตระหนี่ ไม่ยอมมอบข้าวให้ตนเป็นกระสอบเหมือนก่อน