บทที่ 661 ดั้นด้นมาตาย
บทที่ 661 ดั้นด้นมาตาย
ซูอันหัวเราะคิกคักและไม่พูดอะไรอีก เขาโอบนางและค่อย ๆ อุ้มตัวนางขึ้นมาคร่อมบนตัวเขา
ร่างกายของเจิ้งตานสั่นสะท้าน นางจะมีพลังต้านทานได้อย่างไร? นางกัดริมฝีปากแน่น กลัวว่าจะส่งเสียงครางโดยไม่รู้ตัว
เสียงของหวงฮุ่ยฮงก็ดังขึ้น “แม่นางเจิ้ง เจ้าเป็นอะไรหรือเปล่า?”
เจิ้งตานสะดุ้ง นางแสร้งทำเป็นสงบและควบคุมเสียงไม่ให้สั่น ขณะที่ตอบว่า “ข้า…ไม่ได้เป็นอะไร ทำไมท่านถึงถามแบบนี้?”
“อา…ข้าไม่ได้ยินเสียงอะไรเลยมาสักพักแล้ว ดังนั้นข้าคิดว่าอาจมีบางอย่างเกิดขึ้น ข้าแค่เป็นห่วงเจ้า” หวงฮุ่ยฮงกล่าวด้วยรอยยิ้ม เขาเป็นคนดูแลทั้งสองและเจิ้งตานเป็นภรรยาของเจ้าหน้าที่ทางการคนหนึ่ง มันคงไม่ดีสำหรับชื่อเสียงของเขา ถ้าปล่อยให้อะไรเกิดขึ้นกับนาง
ซูอันอารมณ์เสียทันที “หัวหน้าหวง ท่านกำลังพูดอะไร? ท่านคิดว่าข้าเป็นคนแบบไหนกัน?”
เจิ้งตานกำหมัดทุบหน้าอกของเขา มันคงแปลกถ้าเจ้าไม่ใช่คนแบบที่ว่า!
นางไม่รู้จริง ๆ ว่าเขากล้าพูดเรื่องไร้สาระแบบนี้ได้อย่างไร? จะเกิดอะไรขึ้นถ้าหวงฮุ่ยฮงสั่งให้ตรวจสอบสิ่งที่เกิดขึ้นภายใน?
ความคิดนี้ทำให้นางประหม่าอย่างมาก และร่างกายก็สั่นอย่างควบคุมไม่ได้
ซูอันมีสีหน้าแปลก ๆ เขาสูดหายใจเข้าลึก ๆ
หวงฮุ่ยฮงพ่นลมหายใจและพูดว่า “แม่นางเจิ้ง ถ้ามีอะไรเกิดขึ้น เพียงแค่ตะโกนให้เราได้ยิน เราจะเข้าไปช่วยเจ้าทันที”
เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ยอมรับซูอัน แต่ก็ไม่ต้องการที่จะยั่วยุอีกฝ่ายเช่นกัน ผู้ชายมากอุบายคนนี้ยากเกินกว่าจะรับมือ เขาไม่ต้องการสร้างปัญหาให้ตัวเองอย่างแน่นอน
“เข้าใจแล้ว ขอบคุณหัวหน้าหวง” เจิ้งตานตอบอย่างสุภาพ ในเวลาเดียวกัน นางก็ตีซูอันอีกสองสามครั้ง ผู้ชายคนนี้น่ารำคาญจริง ๆ!
ซ่างเชียนเอียงคอมองไปทางรถของซูอัน น่าเสียดายที่นอกจากรถม้าโยกเล็กน้อยแล้ว เขาก็ไม่เห็นอะไรอีกเลย
“หยุดมอง มองไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา” ซ่างหงอดไม่ได้ที่จะเตือนใจลูกชายของตัวเอง ผนึกบริเวณลำคอของพวกเขาถูกคลายออกไปแล้ว
ซ่างเชียนกัดฟัน “เราจะปล่อยให้ซูอันรังแกตานเอ๋อร์งั้นเหรอท่านพ่อ!?”
ซ่างหงจ้องหน้าเขา “เจ้าไม่เห็นเหรอว่าตอนนี้เราอยู่ในสถานการณ์ไหน? เจ้ายังกังวลอยู่กับผู้หญิงอีก! เราควรหาทางออกจากวิกฤตปัจจุบันก่อน! หากเรื่องราวยังคงเลวร้ายอยู่เช่นนี้ ต่อให้ข้ามีลูกสะใภ้อีกสักสิบคนก็ไม่ช่วยอะไร!”
“แต่ข้ายังรู้สึกว่าตานเอ๋อร์เหมาะกับข้าที่สุด!” ซ่างเชียนพึมพำกับตัวเอง “นอกจากนี้ ข้าไม่อยากเห็นไอ้สารเลวซูอันแย่งของของข้าไป!”
ซ่างหงทำได้เพียงส่ายหัวด้วยความสิ้นหวัง
เด็กคนนี้น่าผิดหวังนัก พวกเขาทั้งสองกำลังเผชิญหน้ากับความเป็นความตาย แต่ลูกชายของเขากลับยังกังวลกับเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้
เขาละทิ้งความหวังทั้งหมดในตัวลูกชายของเขาโดยสิ้นเชิง เขาแค่หวังว่าลูกสาวของเขาจะเป็นคนเด็ดเดี่ยวมากกว่าเล็กน้อยและไม่โง่เขลาเหมือนพี่ชายของนาง
เกิดแสงสะท้อนริบหรี่ในดวงตาของซ่างหงขณะที่เขามองไปที่ทิศทางของเมืองหลวง ความคิดหลายอย่างวิ่งวนในหัวของเขา
…
ในไม่ช้าขบวนรถก็เข้าไปในหุบเขา ทันใดนั้นก้อนหินจำนวนนับไม่ถ้วนก็ร่วงหล่นลงมาราวกับดินถล่ม
“ระวัง!” หวงฮุ่ยฮงตะโกนออกมา เขาเหวี่ยงฟาดโซ่เกี่ยววิญญาณไปที่ก้อนหินซึ่งกำลังร่วงหล่นลงมา
อำนาจทำลายล้างของโซ่ส่งผลให้ก้อนหินที่ร่วงหล่นระเบิดออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
ทหารคนอื่น ๆ ใช้อาวุธประจำตัวปะทะก้อนหินก้อนอื่น ๆ ให้เบี่ยงวิถีออกไป พวกเขาส่วนใหญ่สามารถทำลายก้อนหินที่ตกลงมาทางพวกเขาได้สำเร็จ แต่ผู้โชคร้ายบางคนที่ถูกหินเหล่านั้นหล่นทับและได้รับบาดเจ็บนอนโอดโอยอยู่บนพื้น
ขบวนรถม้าทั้งหมดตกอยู่ในความโกลาหล ทันใดนั้น หินก้อนใหญ่ก็ตกลงมาจากยอดเขา ใกล้จะบดขยี้รถม้าที่ซูอันอยู่
เมื่อพิจารณาจากน้ำหนักและขนาดของก้อนหิน รถม้าของหลิวเหย่าจะแบนราบราวกับแป้งทอดถูกเหยียบไม่ว่าจะแข็งแรงแค่ไหนก็ตาม
หวงฮุ่ยฮงละล้าละลัง พวกเขายังคงจัดการกับหินก้อนอื่น ๆ และไม่มีทางที่จะจัดการกับหินก้อนนี้ได้ทันเวลา
ทันใดนั้น พลังดาบสีเขียวก็ปรากฏขึ้นกลางอากาศ ตัดผ่านก้อนหินยักษ์เป็นสองซีกราวกับตัดเต้าหู้!
“ดาบพลังชี่ของท่านแม่ทัพ!” ทหารส่วนใหญ่จำดาบพลังชี่นี้ได้ และส่งเสียงร้องอย่างตื่นเต้น
แม้ว่าก้อนหินก้อนนี้จะมีขนาดใหญ่ แต่ก็ไม่มีทางที่จะทนต่อพลังของผู้บ่มเพาะระดับสูงได้!
มันถูกผ่าครึ่งด้วยดาบพลังชี่ ทั้งสองส่วนตกลงไปด้านข้างและระเบิดด้วยแรงกระแทก
หลิวเหย่ารีบพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า เท้าของเขาแตะเบา ๆ กับหน้าผา เกิดแรงส่งเขาขึ้นไปบนยอดผาอย่างรวดเร็ว
เสียงอาวุธปะทะกันสั้น ๆ ซึ่งแปรเปลี่ยนเป็นเสียงกรีดร้องที่น่าสังเวช จากนั้นทุกอย่างก็เงียบลง
อ๋องเหลียงพาคนมาตรวจรถม้าที่ซูอันอยู่ เขาเปิดประตูรถและได้เห็นว่าซูอันกับเจิ้งตานยังคงปลอดภัยอยู่ด้านใน
เขาถอนหายใจด้วยความโล่งอกเมื่อเห็นว่าซูอันไม่ได้รับอันตราย
จักรพรรดิจะไม่มีวันให้อภัยเขา หากเกิดอะไรขึ้นกับซูอัน
จ้องมองไปที่เจิ้งตานซึ่งอยู่ข้าง ๆ ซูอัน ตระกูลซ่างได้ลูกสะใภ้ที่ดี นางช่างสวยงามจริง ๆ
ว่าแต่…ทำไมนางหน้าแดงขนาดนี้?
เขากำลังจะถามนางเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่หลิวเหย่าร่อนลงมาจากยอดผาพอดี อีกทั้งยังพาตัวเชลยมาด้วยสองสามคน เชลยเหล่านี้ล้วนมีสีหน้าที่น่าสยดสยอง
“พวกเจ้าคือใคร? ใครส่งเจ้ามา?” อ๋องเหลียงซักถาม
เมื่อต้องเผชิญกับแรงกดดันของผู้บ่มเพาะระดับปรมาจารย์ พวกมันต่างพูดพล่ามอย่างกระตือรือร้น “พ…พวกเรามาจากค่ายเมฆาทมิฬ! ซูอันเป็นคนฆ่าเฉินเซวียนหัวหน้าของพวกเรา จนพวกเราต้องอยู่อย่างยากแค้น เมื่อเราได้ยินข่าวว่าเขากำลังเดินทางผ่านมา พี่น้องของเราจึงมาที่นี่เพื่อล้างแค้น เราสร้างกับดักนี้ขึ้น แต่ไม่เคยคิดมาก่อนว่าการคุ้มกันของเขาจะ…จะแข็งแกร่งขนาดนี้…”
“ค่ายเมฆาทมิฬ?” อ๋องเหลียงรู้สึกงงงวย มีคนรีบไปกระซิบเขาเกี่ยวกับค่ายเมฆาทมิฬทันที
“พวกเจ้ากล้าโจมตีกองทหารราชองครักษ์ด้วยระดับการบ่มเพาะเท่าขี้มดนี่เหรอ?” หลิวเหย่างงงันมากจนหัวเราะ เขาไม่เคยเห็นผู้บ่มเพาะระดับสี่กล้าโจมตีขบวนของเขามาก่อน
“เราเคยต่อสู้กับเจ้าหน้าที่ทางการมาก่อน ไม่มีเจ้าหน้าที่ผู้ใดแข็งแกร่งเกินกว่าที่เราจะจัดการได้!”
พวกมันรีบตอบ ย้อนกลับไปในตอนนั้นที่เฉินเซวียนเป็นผู้นำของพวกมัน พวกมันมักจะเป็นฝ่ายกำชัยอยู่ตลอดยามปะทะกับเหล่าคนของทางการจนหลงคิดไปว่าพวกมันเก่งกาจกว่าหากใช้แผนซุ่มโจมตี พวกมันไม่คิดเลยว่าคราวนี้เมื่อไม่มีหัวหน้าของพวกมันอยู่แล้ว พวกมันจะถูกสังหารจนย่อยยับจนน่าสังเวช
มันเป็นความผิดของซูอัน ไอ้สารเลวที่ฆ่าเจ้านายของพวกมัน!
—
ท่านยั่วยุค่ายเมฆาทมิฬสำเร็จ
ได้รับคะแนนความโกรธแค้น + 233…233…233…
—