บทที่ 633 ไป๋โม่เสวี่ยหัวโบราณ

ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี

บทที่ 633 ไป๋โม่เสวี่ยหัวโบราณ

บทที่ 633 ไป๋โม่เสวี่ยหัวโบราณ

เคล็ดวิชาขุนเขาขจี หิมะโรยรา ฟ้าเบิกแสง สำแดงปราณกระบี่วิถีสวรรค์ ของไป๋โม่เสวี่ยยังด้อยกว่าไป๋ชิวหรานมาก

เพราะการฝึกฝนของเขายังด้อยกว่ามาก มันจึงยากที่เขาจะบรรลุขอบเขตเช่นเดียวกับผู้เป็นบิดาแห่งบรรพชนเทพที่แท้จริงของทั้งห้วงแห่งความว่างเปล่า และกลิ่นอายที่เปรียบเทียบได้กับแม่น้ำแห่งความว่างเปล่าที่แท้จริง

แต่นี่ไม่ได้หมายความว่าการเคลื่อนไหวของเขาจะอ่อนแอ แม้เขาจะไม่สามารถจัดการกับผู้ฝึกตนขอบเขตจักรพรรดิหรือเหนือขอบเขตจักรพรรดิได้ แต่ก็ยังไม่มีปัญหาที่จะจัดการกับผู้ฝึกตนปีศาจขอบเขตเซียนที่กำลังบาดเจ็บสาหัสและใกล้ตายเต็มที

เทียนเหอโอบล้อมผู้ฝึกตนปีศาจเอาไว้ คลื่นภายในพัดกรรโชก ปราณกระบี่โคจรหมุนรอบกายทุบตีร่างของผู้ฝึกตนปีศาจออกเป็นชิ้น ๆ

หลังจากบดขยี้ร่างกายแล้ว พลังนี้ยังไม่หายไป แต่ยังคงก่อตัวพร้อมทุบตีจุดจื่อฝู จุดชีพจร เส้นลมปราณ แคว้นชางไห่ แคว้นโฮ่วถู และปฐมวิญญาณของผู้ฝึกตนปีศาจออกเป็นเศษซาก หลังจากเสร็จสิ้นทุกสิ่งแล้ว มันจึงค่อยสงบลงอย่างช้า ๆ

บนพื้นดิน มีหลุมลึกขนาดเทียบเท่ากับร่างกายมนุษย์ก่อตัวขึ้นหลังจากถูกทุบตีด้วยปราณกระบี่รุนแรง

และหลังจากสูญเสียพลังไปมาก หลินฉีเยว่ก็ล้มลง

ทว่าเป็นไป๋โม่เสวี่ยที่คว้าร่างของนางไว้ได้ทัน

“ศิษย์พี่ ท่านเป็นอะไรมากหรือไม่?”

เขาโอบกอดหลินเยว่เอาไว้ก่อนจะรักษาบาดแผลของกระบี่ที่หน้าท้องของนาง แล้วยังคอยปลอบประโลมนางอย่างต่อเนื่อง

“ข้าสัมผัสได้ เมื่อครั้งที่ใช้กระบี่เล่มนั้น ปราณกระบี่ของข้าผ่านช่องท้องของท่านก่อนที่พลังจะระเบิดออก มันไม่ได้ทำร้ายอวัยวะภายใน เอาล่ะ ข้าศึกษาทักษะแพทย์มาแล้ว จึงสามารถรับรองได้ว่าเป็นเพียงการฟกช้ำเล็กน้อยเท่านั้น”

หลินฉีเยว่อ้าปากพร้อมอดทนกับอาการคันยิบที่หน้าท้อง ก่อนที่ความรู้สึกนี้จะสูญสลายไปในที่สุด จากนั้นนางจึงเหลือบมองเขาทั้งโกรธระคนขบขัน

“หากไม่มีใบหน้าหล่อเหล่านี้ เหล่าสตรีคงจะชื่นชอบเจ้าได้ยากยิ่งแล้ว”

“คงจะไม่ถูกต้องแล้ว”

ไป๋โม่เสวี่ยกล่าวตอบจริงจัง

“ข้าคุ้นเคยกับทักษะทุกอย่างภายในสำนักเหอฮวน จึงง่ายดายมากที่จะทำให้สตรีตกหลุมรัก”

อีกด้านหนึ่ง ไป๋ซวี่เซียงเริ่มสั่งการกลุ่มทำภารกิจลับให้จัดการทำความสะอาด และผู้ช่วยของนางก็ได้ช่วยเหลือหลี่ลี่ได้แล้ว

“โม่เสวี่ย!”

โม่เสวี่ยเห็นว่าหญิงสาวผมสีเกาลัดกำลังโบกมืกและวิ่งมาหาเขาอย่างมีความสุข

“โอ้ เป็นคนรักของเจ้านี่เอง!”

หลินฉีเยว่ชำเลืองมองหลี่ลี่ด้วยแววตาอิจฉา ก่อนจะค่อย ๆ ผลักร่างกายของเขาออกห่าง

“ไปได้แล้ว อาการบาดเจ็บข้าไม่หลงเหลือ จึงไม่ต้องการเจ้า”

หลังจากที่นางผลักเขาออก ไป๋โม่เสวี่ยละทิ้งหลินฉีเยว่อย่างไม่คิดไยดีก่อนจะพุ่งเข้าหาหลี่ลี่และกอดอีกฝ่ายไว้แน่น

“แม้ว่าเจ้าจะได้เรียนรู้ทักษะความรักมากมาย แต่จิตใจของเจ้านับว่าแข็งกระด้าง”

หลินฉีเยว่มองไป๋โม่เสวี่ยแล้วส่ายศีรษะ ขณะเดียวกันนางก็รู้สึกอิจฉาหลี่ลี่ที่ถูกเขาสวมกอดแนบแน่น

เจ้ามาจากแดนเซียนหรือไรกัน?

สาวผมทองคิดเรื่องเหล่านี้ในใจ

เพราะตอนนี้ข้าไม่มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะยืนเคียงข้างเขา แต่ข้าก็คือผู้ฝึกตนในขั้นสร้างรากฐาน ตราบใดที่ข้าฝึกฝนอย่างหนักและรอดพ้นจากภัยพิบัติ ข้าจะเข้าสู่แดนเซียนและจะยืนเคียงข้างเจ้าด้วยพลังของข้าเอง รอข้าก่อนเถิดโม่เสวี่ย…

หลังจากจัดการเรื่องราวเสร็จสิ้นแล้ว ไป๋โม่เสวี่ยพลันเปลี่ยนใส่ชุดของบุรุษ และไม่ต้องไปที่สำนักอีก

ขณะเดียวกัน นักแสดงผู้สมบูรณ์แบบนามซีฮวาที่เคยโด่งดังในโรงละครก็ค่อย ๆ เลือนหายไปจากสายตาสาธารณชน

เขายังคงอาศัยอยู่ในบ้านหลังใหญ่นี้กับหลี่ลี่เป็นการชั่วคราว และกลายเป็นพ่อบ้านอย่างช่วยไม่ได้ เวลานี้เขารอให้ไป๋ซวี่เซียงจัดการกับภารกิจให้เสร็จสิ้น และยุติความวุ่นวายทั้งหมดจากผู้ฝึกตนปีศาจคนนั้น

ช่วงเวลานี้คือช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดของหลี่ลี่และไป๋โม่เสวี่ย พวกเขาใช้ชีวิตเฉกเช่นคู่รักที่แท้จริง ไม่เพียงแต่อยู่ด้วยกัน แต่พวกเขามักจะออกไปเดตกันอยู่เสมอ ซึ่งสิ่งนี้ทำให้ไป๋ซวี่เซียงยิ่งขุ่นเคืองอย่างไม่มีเหตุผล

อย่างไรก็ตาม เวลานี้เมื่อไป๋โม่เสวี่ยสวมใส่เสื้อผ้าของบุรุษ หลี่ลี่ก็รู้สึกเสียใจลึก ๆ เช่นเดียวกับไป๋ซวี่เซียง

นางต้องกลับสู่สำนักเพื่อศึกษา แต่ไป๋โม่เสวี่ยบอกกล่าวกับบิดามารดาแล้วว่าเขาจะย้ายหลี่ลี่มาอยู่เคียงใกล้

นางได้รับอนุญาตจากไป๋ชิวหรานและซูเซียงเสวี่ย แม้เวลาตอนนี้ไป๋โม่เสวี่ยจะต้องการเลิกกับอีกฝ่าย แต่ไป๋ชิวหรานและซูเซียงเสวี่ยไม่อาจยินยอมแล้ว เพราะเหตุผลนี้หลี่ลี่จึงมุ่งหน้าสู่เก้ามหาทวีปสิบแผ่นดินพร้อมกับไป๋โม่เสวี่ย นางจะต้องเข้าฝึกฝนที่สำนักกระบี่ชิงหมิงซึ่งเป็นนิกายเลื่องชื่อในเก้ามหาทวีปสิบแผ่นดิน

พวกเขาอยู่ร่วมกันประมาณหนึ่งเดือนกว่า และไม่ทราบว่าไป๋ซวี่เซียงจงใจชะลอความเร็วของภารกิจหรือไม่ กลุ่มทำภารกิจแต่เดิมนั้นมีความสามารถที่จะจัดการทุกสิ่งอย่างรวดเร็ว แต่คราวนี้การจัดการเรื่องราวทั้งหมดให้เสร็จสิ้นในหนึ่งเดือนกลับไม่อาจทำได้ ไป๋ชิวหรานและซูเซียงเสวี่ยต้องการให้นางกลับบ้านหลังจากเรื่องราวจบลง แต่ไป๋ซวี่เซียงกลับปฏิเสธ

จนกระทั่งไป๋โม่เสวี่ยไปรับหลี่ลี่จากนิกาย เมื่อเขาเปิดประตูออก เขาก็ได้พบกับแมลงตัวใหญ่อยู่ภายในโถงนั่งเล่น

แมลงตัวนี้ร่างกายเพรียวบาง สีดำขลับ และมีลวดลายสีทองงดงามบนลำตัว แมลงสองตัวขยับไปมาเล็กน้อยแต่ยังไม่เคลื่อนไหวใด ๆ

“สัตว์ประหลาดงั้นหรือ?”

หลี่ลี่ที่ติดตามไป๋โม่เสวี่ยอุทานออกมาและเตรียมพร้อมต่อสู้โดยไม่รู้ตัว อีกทั้งยังต้องการปกป้องไป๋โม่เสวี่ยที่แข็งแกร่งกว่านางด้วย

“ไม่ต้องกังวล”

ไป๋โม่เสวี่ยจับไหล่ของหลี่ลี่อย่างแผ่วเบาก่อนจะดันหน้าไปด้านหลัง

“มันไม่ใช่สัตว์ประหลาดอะไร แต่เป็นฝูงแมลงของท่านแม่รั่วเวย”

“เอ่อ… มันคือสัตว์วิญญาณ?”

หลี่ลี่ตกตะลึง

“ก็ไม่เชิง”

ไป๋โม่เสวี่ยอธิบาย

“ประมาณสองสามร้อยปีก่อน เกิดหายนะครั้งใหญ่ขึ้นในห้วงแห่งความว่างเปล่า เวลานั้นเผ่าพันธุ์แมลงที่น่ากลัวปรากฏตัวขึ้น มันวิ่งไปทั่วแม่น้ำแห่งความว่างเปล่าตั้งแต่ต้นสายจนปลายสาย แดนเซียนและจักรวาลทั้งหมดตกอยู่ในความวุ่นวาย ท่านพ่อของข้าคือผู้นำแดนเซียน และร่วมมือกับพันธมิตรเอเดนเพื่อเอาชนะเผ่าพันธุ์แมลงห้วงแห่งความว่างเปล่านี้ เขาจับกุมราชินีแมลงได้ตัวหนึ่ง และท่านแม่รั่วเวยใช้ทักษะแยกความคิดเพื่อควบคุมราชินีแมลง จากนั้นมันจึงกลายเป็นร่างจำแลงของนาง แม้แมลงพวกนี้จะก้าวร้าว แต่สุดท้ายมันก็ถูกควบคุมจากแดนเซียน วิถีสวรรค์ และเทพหุ่นกลโดยสมบูรณ์ เวลานี้พวกมันกลายเป็นเผ่าพันธุ์ย่อย ๆ ของแดนเซียนแล้ว ทั้งยังทำงานได้หลากหลายรูปแบบ ทั้งการขนส่ง เดินทาง คุ้มกัน ส่วนแมลงตัวนี้น่าจะเป็นแมลงส่งสารของท่านแม่รั่วเวยส่งมาน่ะ”

เขาก้าวไปด้านหน้าก่อนจะแตะตัวแมลง แล้วหยิบเสาสัญญาณสื่อสารออกจากกระเป๋าด้านหลังของมัน

หลังจากสัมผัสกับสิ่งนั้นแล้ว เสาสื่อสารพลันเปล่งประกาย ม่านลำแสงปรากฏขึ้นเป็นสตรีผมสีดำอยู่ในชุดสีเหลืองงดงาม

นางมองไปรอบ ๆ ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงเหม่อลอยเล็กน้อย

“หลานจื่อ แม่บอกกี่คราวแล้วว่าหน่มน้มทรงมะละกอนั้นไร้ประโยชน์ …ที่แม่พูด ทั้งหมดล้วนแต่เป็นประสบการณ์ชีวิตของแม่เอง มันผสมด้วยโลหิตและน้ำตามากมาย หากลูกต้องการจะสู้ อย่าได้กลัวความเจ็บปวด จงฝึกฝน ‘วิชาหลอมสร้างกาย’ กับพ่อของเจ้าเสีย”

“ท่านแม่รั่วเวย”

ไป๋โม่เสวี่ยตะโกนเรียกสตรีตรงหน้า

“อ่า คงจะเพียงเท่านี้”

ถังรั่วเวยซึ่งเป็นหญิงสาวที่แต่งงานแล้วหันหน้ามองโดยรอบ ก่อนที่สายตาจะหยุดลงเมื่อพบเจอหลี่ลี่

“เด็กสาวผู้นี้คือผู้ที่พี่สาวซวี่เซียงกล่าวก่อนหน้าหรือไม่? นางคือสตรีที่เจ้ากำลังคบหา?”

“ถูกต้องแล้ว”

ไป๋โม่เสวี่ยเขินอายเล็กน้อย แต่เขาก็ยังคงประคองมือหลี่ลี่ไว้แน่น ทั้งสองโค้งคำนับต่อถังรั่วเวยด้วยใบหน้าแดงก่ำ

“ฮิ ๆ หากว่าพ่อแม่เจ้าชื่นชอบ ข้าก็ไม่คิดขัดแย้ง อีกอย่างเจ้าสองคนดูเหมาะสมกันดีแล้ว”

ถังรั่วเวยยิ้มก่อนจะกล่าวต่ออย่างสงบ

“อย่างไรเสีย พวกเจ้าคิดจะกลับบ้านเมื่อใดกัน? ท่านแม่ของซวี่เซียงบ่นถึงหลายคราวแล้ว”