ตอนที่ 43 ดวงใจข้าอาลัย (3)
ข้าอยู่บนรถม้าได้ยินบทสนทนาของพวกเขาชัดเจนแจ่มแจ้ง แม้ไกลอยู่บ้าง แต่สำหรับข้าแล้วย่อมไม่มีปัญหา ในใจอดถอนหายใจไม่ได้ ฉีอ๋องหลี่เสี่ยนห่วงใยแม่ทัพและทหารใต้บังคับบัญชายิ่งนักจริงๆ แม้ฮูเหยียนโซ่วแต่เดิมเป็นคนสนิทของยงอ๋อง แต่ขอเพียงเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาแล้ว ฉีอ๋องก็มองด้วยสายตาดุจเดียวกัน ไม่แปลกที่เขาจะครองใจทหารมากมายจนทำให้ขุนนางใหญ่ในราชสำนักกังวล
หากกล่าวถึงความสามารถและจิตใจ ความจริงแล้วหลี่เสี่ยนไม่ด้อยกว่าหลี่จื้อจักรพรรดิองค์ปัจจุบัน แต่เขามีข้อเสียใหญ่หลวงอยู่ประการหนึ่ง นั่นก็คือความดื้อดึงและความสุดโต่งของเขา แม้นิสัยนี้จะเป็นข้อบกพร่อง แต่ก็นับว่าเป็นข้อดีได้เช่นเดียวกัน เพราะเหตุผลที่หลี่เสี่ยนกลายเป็นยอดแม่ทัพแห่งต้ายงในวันนี้ได้ก็ด้วยนิสัยดันทุรังไม่ยอมแพ้ของเขา
นับจากหลี่เสี่ยนเริ่มนำทัพ มิใช่เขาไม่เคยปราชัย แต่หลี่เสี่ยนพ่ายแล้วมิย่อท้อ เมื่อผนวกกับเขาชำนาญการบัญชากระบวนทัพ ทั้งยังเกิดมานิสัยห้าวหาญ ทุกครั้งยามพ่ายศึกต้องนำทหารคนสนิทคุมท้ายด้วยตนเอง ด้วยเหตุนี้แม้พ่ายแพ้แต่มิเคยเจ็บหนักสาหัส
ยิ่งไปกว่านั้น หลี่เสี่ยนยังเก่งกาจในการใช้บทเรียนจากประสบการณ์ ยามยกพลหวนมาโจมตีอีกหนล้วนดุดันห้าวหาญกว่าก่อน ทำให้คนปวดเศียรยิ่งนัก หลังจากกรำศึกมาหลายปี แม้ต้ายงมีแม่ทัพผู้กล้าดุจมวลเมฆ แต่หากต้องการเฟ้นหาใครสักคนที่คุมเหล่าทหารผู้หยิ่งผยองกับขุนพลผู้กล้าหาญในกองทัพได้ นอกจากหลี่จื้อ ก็มีเพียงฉีอ๋องหลี่เสี่ยนเท่านั้น
หากเปรียบเทียบสองพี่น้อง หลี่จื้อมีความคิดถี่ถ้วน บุกครั้งใดมิเคยแพ้ รบคราใดมิเคยพ่าย เรียกได้ว่าเป็นเทพสงครามและผู้นำแห่งต้ายง ส่วนหลี่เสี่ยนคือดาบอันคมกริบแห่งต้ายงและเป็นผู้ที่บรรดาทหารแม่ทัพในกองทัพเลื่อมใส เพราะแม้หลี่เสี่ยนจะรบแพ้บ้างชนะบ้าง แต่ยามทำศึกมิเคยยอมจำนน เมื่อยกทัพออกรบคอยนำหน้าเหล่าทหาร ยามพ่ายคุมท้ายด้วยตนเอง ไม่มีทหารแม่ทัพนายใดไม่นับถือ
ความพยายามและความก้าวหน้าของหลี่เสี่ยนเป็นสิ่งที่ทุกคนล้วนมองเห็น สำหรับยงอ๋องผู้สูงส่ง สิ่งที่แม่ทัพและทหารทั้งหลายมีให้ส่วนมากคือความยำเกรง แต่สำหรับฉีอ๋อง กลับมีความรู้สึกใกล้ชิดมากกว่าหลายส่วน หากกล่าวถึงหัวใจของเหล่าทหาร ผู้ใต้บัญชาของยงอ๋องจงรักภักดีเท่าใด ลูกน้องของฉีอ๋องก็มิด้อยกว่า
ในอดีตครั้งศึกชิงบัลลังก์ ณ พระราชวังเลี่ยกง หากฉีอ๋องเลือกสู้ตัดสินเป็นตายกับยงอ๋อง แม้ยงอ๋องมีโอกาสคว้าชัยในตอนท้ายมากกว่าครึ่ง แต่กำลังพลของแคว้นต้ายงก็คงถดถอยเพราะเหตุการณ์นั้น เรื่องนี้เป็นสิ่งที่ทำให้ก่อนหน้านั้นยงอ๋องกับข้าปวดศีรษะที่สุด หากมิใช่ว่าสถานการณ์แปรผันไม่หยุดหย่อน ไม่แน่ก่อนเกิดเหตุในพระราชวังเลี่ยกง พวกเราก็คงลงมือกับฉีอ๋องไปแล้ว
ความดื้อรั้นและความสุดโต่งของฉีอ๋องทำให้เขากลายเป็นศัตรูบนสนามรบที่น่าปวดหัวที่สุดของกองทัพศัตรู หากเผชิญหน้ากับยงอ๋อง โดยทั่วไปแล้วกองทัพศัตรูมากกว่าครึ่งล้วนปราชัยอย่างมิต้องสงสัย ด้วยเหตุนั้นบ่อยครั้งจึงตัดสินรู้ผลในศึกเดียว ไม่มีสิ่งใดให้น่าพูดถึง
แต่หากเผชิญหน้ากับฉีอ๋อง แม้กองทัพศัตรูได้ชัย แต่ขอเพียงกำราบฉีอ๋องบนสนามรบไม่สำเร็จ พวกเขาก็จะเผชิญกับการโจมตีสวนกลับดุจพายุโหมกระหน่ำ และการแก้แค้นชนิดไม่ตายไม่เลิกรา แรงกดดันเช่นนั้นทำให้แม่ทัพฝ่ายศัตรูมากว่าครึ่งอยากจะพ่ายแพ้เสียตั้งแต่เริ่ม
เหตุที่ฉีอ๋องต้านทานหลงถิงเฟยผู้มีพรสวรรค์ดั่งฟ้าประทานได้ นอกจากความสามารถทางด้านการทหาร อีกส่วนสำคัญก็เป็นเพราะความมุ่งมั่นอันแน่วแน่ของเขา บีบบังคับให้หลงถิงเฟยมิอาจคว้าชัยได้ในคราเดียว นับจากเริ่มแรกที่พ่ายแพ้ติดกันหลายศึก จนกระทั่งต่อมาเสมอสูสี ความก้าวหน้าของฉีอ๋องทุกคนล้วนประจักษ์กับตา
ทว่าข้อดีอันโดดเด่นประการนี้ เมื่อมาอยู่ในราชสำนักกับครอบครัวกลับกลายเป็นข้อเสียอันเด่นชัดยิ่ง มิเช่นนั้นแล้วฉีอ๋องคงไม่ตกมาอยู่ในสถานการณ์ยากลำบากเช่นวันนี้ จากการสืบข่าวกับการพินิจพิเคราะห์ของข้า ตอนแรกฉีอ๋องตัดสินใจเข้าฝ่ายรัชทายาทหลี่อันก็เพื่อครอบครองตำแหน่งผู้นำกองทัพ การแต่งงานระหว่างเขากับฉินเจิงแห่งสำนักเฟิงอี้ย่อมมีนัยยะเป็นการแต่งงานทางการเมือง แต่หลี่เสี่ยนเคยรักฉินเจิงจากใจจริง ทว่าฉินเจิงตัดเยื่อใยกับสำนักไม่ขาด ด้วยเหตุนี้จึงไปแตะเกล็ดย้อนของฉีอ๋องเข้า
ฉีอ๋องผู้นี้มีความปรารถนาจะครอบครองแต่ผู้เดียวรุนแรงยิ่งนัก เพื่อกุมอำนาจยิ่งใหญ่ในฝ่ายทหาร ทั้งที่ทราบชัดว่าหลี่จื้อสมควรสืบทอดบัลลังก์ต่อมากกว่า แต่ก็ยังไปเข้าพวกกับรัชทายาท แล้วยังปิดกั้นฉินเจิงจากหัวใจเพราะความอ่อนแอและโลเลของนาง
หากฉีอ๋องมิดื้อดึงเช่นนั้น บางทีเขาก็คงภักดีกับยงอ๋องตั้งแต่ตอนนั้น และคงไม่มีทางตกมาอยู่ในสถานการณ์ที่เจ้าแผ่นดินกับขุนนางเฝ้าระแวงกันในวันนี้ หากฉีอ๋องไม่กระทำสุดโต่งเช่นนั้น เขาก็คงไม่ห่างเหินกับฉินเจิง หากเขายอมใส่ใจฉินเจิง บางทีท้ายที่สุดฉินเจิงอาจยอมละทิ้งสำนักเฟิงอี้ เกล็ดน้ำค้างยามอรุณมิต้องแปดเปื้อนโลหิต ไม่เกิดโศกนาฏกรรมสามีภรรยาพลัดพรากชั่วนิรันดร์
แต่กล่าวในอีกแง่หนึ่ง หากฉีอ๋องไม่ดื้อรั้นและสุดโต่งเช่นนั้น แล้วทุ่มเทสุดตัวร่วมมือกับรัชทายาท และสำนักเฟิงอี้ มิออกห่างรัชทายาทกับสำนักเฟิงอี้เพราะความดูแคลนและความบาดหมางในใจ เหตุการณ์ที่พระราชวังเลี่ยกง ผู้ใดจะตายด้วยน้ำมือผู้ใดก็ยังมิอาจทราบได้
ก็เพราะฉีอ๋องมีนิสัยประหลาดเช่นนี้ จึงเกิดสถานการณ์ลำบากของเขาในวันนี้ขึ้น ข้าได้ยินว่าฉีอ๋องมิยินยอมแต่งพระชายาองค์ใหม่เพราะใจโศกเศร้ากับการจากไปของพระชายาฉินเจิง นี่จึงเป็นต้นตอทำให้ข่าวว่าฝ่าบาทกับฉีอ๋องไม่ปรองดองกันเล่าลือไปทั่วทุกหนแห่ง แต่ในความเห็นของข้า แม้ฉีอ๋องมีความรักเฉกเช่นสามีภรรยาให้ฉินเจิง แต่ไม่แน่ว่าจะรักลึกซึ้งยากลืมเลือนเช่นนั้นจริง เป็นไปได้มากว่าในใจฉีอ๋องคงสำนึกเสียใจ คิดว่าในวันวานมิสมควรเลิกต่อสู้กับสำนักเฟิงอี้ ปล่อยให้ฉินเจิงถลำลึกในโคลนตมจนสุดท้ายปลิดชีพตน บางทีความรู้สึกนี้กระมังที่เป็นต้นเหตุให้ฉีอ๋องเกิดปมในใจอันมิอาจหลุดพ้น
ความจริงแล้วข้ารู้สึกว่าการที่ฉีอ๋องปฏิเสธเจตนาดีของฝ่าบาทหลายครั้งหลายครา มิใช่ว่าใจเขามิยอมคืนดีกับฝ่าบาท แต่น่าจะเป็นเพราะยังมีปมในใจที่ยากคลี่คลาย ไม่มีบันไดให้ลงมากกว่า แต่เป็นเช่นนี้ระยะยาวมิใช่เรื่องดี ฝ่าบาทอย่างไรก็คือฝ่าบาท อดทนได้หนึ่งปีสองปี แต่อดทนแปดปีสิบปีย่อมมิไหว
อีกประการหนึ่ง ต่อให้ฝ่าบาทอดทนได้ แต่ขุนนางใหญ่โตทั้งหลายเหล่านั้นคงถวายฎีกาครั้งแล้วครั้งเล่า นานวันเข้าก็คงกลายเป็นเรื่องจริง ต่อให้ฝ่าบาทเชื่อใจฉีอ๋องว่าไม่คิดกบฏก็มิอาจเอาแต่ความเห็นตนเป็นใหญ่เกินไปนัก ถึงเวลาเกรงว่าฉีอ๋องคงมิอาจนำทัพได้อีก เมื่อเป็นเช่นนี้ไยมิใช่ทำให้ฉีอ๋องยิ่งคับแค้น แม่ทัพเช่นนี้ย่อยยับไปอย่างเสียเปล่า ข้าย่อมไม่ยินดี
อีกประการหนึ่ง บุคคลเช่นฉีอ๋องหากกลับมาปรองดองกับฝ่าบาทได้ย่อมจงรักภักดี ถึงเวลาแผ่นดินต้ายงย่อมมั่นคงดุจปราการเหล็ก ข้าก็จะได้หลบเร้นจากโลกอย่างสบายใจ หายากที่ครั้งนี้ในที่สุดฉีอ๋องก็ยอมถอยก้าวหนึ่งออกมาตาหาข้าเพื่อแก้สถานการณ์ โอกาสดีครั้งนี้ข้าจะพลาดได้อย่างไร ฝ่าบาทเป็นคนฉลาด แม้ไม่ได้หารือกับข้าล่วงหน้าแต่กลับคิดเห็นตรงกัน ครั้งนี้พวกเราเจ้าแผ่นดินกับขุนนางร่วมมือกันอีกครั้ง ต้องทำให้ฉีอ๋องสวามิภักดิ์อย่างยินยอมพร้อมใจได้แน่
นอกจากนั้นจังหวะก็บังเอิญนัก คนหยิ่งทะนงดื้อรั้นเช่นฉีอ๋องกลับนึกรักเซิ่นเอ๋อร์อย่างยิ่งจนถึงขั้นรับปากจะแต่งพระชายาอีกครั้ง ขอเพียงฉีอ๋องเริ่มหวั่นไหว ข้าก็มีหนทางสลายน้ำแข็งในใจเขา ข้านึกภาพอันงดงามในวันหน้าแล้วหัวเราะออกมาเบาๆ อย่างอดไม่ได้ รอให้พวกเขาพี่น้อง เจ้าแผ่นดินกับขุนนางปรองดองกัน ก็น่าจะไม่มีเรื่องอันใดให้ข้าต้องเข้ามายุ่งแล้วกระมัง ส่วนตอนนี้น่ะหรือ ระหว่างพวกเขาก็เพียงขาดบันไดสักอันเท่านั้น ข้าคงต้องลำบากสักหน่อย เป็นบันไดอันนั้นให้เองก็แล้วกัน ส่วนเรื่องของกองทัพข้าคงไม่สอดมือเข้าไปยุ่ง
ข้ากำลังคิดอย่างดีอกดีใจ ทันใดนั้นฮูเหยียนโซ่วก็เคาะประตูรถม้าแล้วเอ่ยว่า “คุณชาย พระราชโองการของฝ่าบาทมาถึงค่ายใหญ่แล้ว องค์ชายถามว่าต้องการเร่งความเร็วการเดินทางหรือไม่”
ข้าขมวดคิ้ว นับตั้งแต่พบการจู่โจม ฉีอ๋องก็ไม่มีเวลาสนใจเก็บความลับอันใดอีก เพียงชั่วข้ามคืนก็ออกคำสั่งหลายสิบคำสั่ง ตอนนี้ภายในเขตเจ๋อโจว เจิ้นโจวต่างตื่นตระหนก ไม่ต้องพูดถึงสิ่งอื่น เพียงทหารคุ้มกันรอบตัวตอนนี้ก็มีหลายพัน อีกทั้งกองทหารที่ได้รับคำสั่งจากฉีอ๋องให้มุ่งหน้ามาคุ้มกันก็ยังทยอยตามกันมาไม่ขาดสาย การเคลื่อนพลกองทัพใหญ่เช่นนี้สิ้นเปลืองเสบียงนัก เมื่อแผนการเดินทางกำหนดไว้แล้ว ยังมิต้องพูดถึงว่าหากเร่งความเร็วการเดินทางตอนนี้คงส่งผลต่อการวางกำลังพลทั้งหมด เกรงว่าตัวข้าเองก็คงทนความลำบากของการเร่งเดินทางด้วยม้าเร็วไม่ไหว
เวลานี้เสี่ยวซุ่นจื่อจึงเอ่ยขึ้นเบาๆ “ฉีอ๋องเองก็คงมิต้องการรีบเคลื่อนพลกระมัง”
ในใจข้าฉุกคิดได้ เมื่อครุ่นคิดอย่างละเอียดแล้วก็เป็นดังนั้นจริง ฟังจากน้ำเสียงของฉีอ๋องแล้ว เขาเพียงไม่ต้องการมีความผิดโทษฐานเมินเฉยต่อผู้แทนพระองค์ จึงยกให้ข้าปฏิเสธก็เท่านั้น
ข้าหัวเราะในใจ ฉีอ๋องผู้นี้เองก็หวั่นไหวแล้วเหมือนกัน แม้เอาข้ามาเป็นโล่ แต่ก็มองออกว่าเขามีความคิดจะคืนดีกับฝ่าบาทอยู่ ข้าจะช่วยเขาสักหน่อยก็แล้วกัน เมื่อคิดถึงตรงนี้จึงเอ่ยว่า “โปรดบอกองค์ชายว่าเดินทางตามเดิมเถิด ผู้แทนพระองค์มาถ่ายทอดพระราชโองการน่าจะมีส่วนของข้าด้วย แต่หากรีบเร่งเดินทางเร็วขึ้น เกรงว่าชีวิตของข้าคงปลิดปลิวไปกับการเดินทางเป็นแน่”
เป็นดังคาด หลังข้ากล่าวจบ ฉีอ๋องก็ไม่มารบกวนอีก หากเป็นก่อนหน้านี้ น่ากลัวว่าฉีอ๋องถามก็คงไม่ถามแต่เร่งความเร็วเคลื่อนทัพทันที มิสนใจไยดี ทำตัวเฉกเช่นเดิม สำหรับข้า ความเปลี่ยนแปลงในตอนนี้เป็นสิ่งน่ายินดียิ่งนัก อย่างน้อยฉีอ๋องก็เลิกนิสัยดื้อดึงแล้ว แต่คิดจะใช้ข้าเป็นโล่ก็ต้องจ่ายค่าตอบแทนสักหน่อย สักวันข้าย่อมทวงคืนให้คุ้ม
ตอนต่อไป