ภาค 4 ตอนที่ 11 คุกเข่าขอให้ไปด้วยกัน

Jun Jiu Ling หวนชะตารัก

ได้ยินเซี่ยหย่งถามว่าเกิดเรื่องอะไร ผู้ดูแลใหญ่ก็ประหลาดใจอยู่บ้าง

ตั้งแต่คุณหนูจวินมาถึงที่นี่ ชาวบ้านเหล่านี้ไม่เคยเอ่ยถามเรื่องของนาง

ถึงต่อมาเปิดศึกกับชาวจิน คนเหล่านี้ก็ไม่สนใจใยดีไม่กังวลสักนิด หัวหน้าหมู่บ้านคนนี้ยิ่งไม่เคยเอ่ยถามสักประโยค

คล้ายกับข้างนอกฟ้าถล่มดินทลายก็ไม่เกี่ยวข้องอันใดกับพวกเขา ความกังวลโกรธแค้นของคุณหนูจวินก็ไม่เกี่ยวข้องอันใดกับพวกเขาเช่นกัน

ด้วยเหตุนี้ในใจเขาจึงไม่เคยขาดคำบ่น

ตอนนี้เป็นยามสงคราม รู้ไหมอาหารการกินที่คุณหนูจวินให้พวกเจ้าใช้เงินเท่าไร?

รู้ไหมครั้งนี้คุณหนูจวินจะไปทำเรื่องอันตรายมากเพียงไร?

คนที่คุณหนูจวินพาไปล้วนเป็นคนของนางเองก็เพียงพอพิสูจน์แล้วว่าการเดินทางครั้งนี้อันตรายมากจึงตัดใจให้คนเหล่านี้เสี่ยงอันตรายไม่ได้ ก่อนหน้าเดินทางยังเตรียมของกินของใช้ของที่นี่ไว้เพียงพอทั้งหมด

เลี้ยงดูเหมือนเด็ก เซ่นไหว้ดั่งบรรพบุรุษจริงๆ

ยังดีในที่สุดก็รู้จักเอ่ยปากถามสักคำแล้ว

“เจ้ารู้ว่าราชสำนักกำลังเจรจาสงบศึกสินะ?” ผู้ดูแลใหญ่เอ่ยขึ้น

เรื่องนี้ทำให้ครั้งก่อนคุณหนุจวินบันดาลโทสะต่อหน้าผู้คน ในหมู่บ้านเล่าลือไปทั่ว คุณหนูจวินก็ไม่ได้ปิดบังดังนั้นพวกเขาจึงรู้

เซี่ยหย่งพยักหน้า

“ขุนนางที่คัดค้านการเจรจาสงบศึกในราชสำนักที่เนรเทศก็เนรเทศแล้ว ที่ปลดออกจากตำแหน่งก็ปลดแล้ว ที่ประณามก็ประณามแล้ว ไม่มีใครกล้าคัดค้านแล้ว” ผู้ดูแลใหญ่เล่า “ใต้เท้าหวงกับชาวจินจึงบรรลุเนื้อหาเจรจาสงบศึกขั้นต้น แต่เฉิงกั๋วกงส่งฎีกามาจากแดนเหนือคัดค้านการเจรจาสงบศึกอย่างเด็ดขาด”

เซี่ยหย่งขานอืมอีกครั้ง ไม่เอ่ยวาจา

ผู้ดูแลใหญ่มองเขาพลันคิดถึงคำถามหนึ่งขึ้นมาได้

“เจ้ารู้สึกว่าเฉิงกั๋วกงเป็นอย่างไร?” เขาเอ่ยถาม

เซี่ยหย่งร้องอ้อทีหนึ่ง

“ก็ดี” เขาเอ่ย

ก็ดี?

“เจ้าไม่รู้สึกว่าเขาร้ายกาจมากหรือ?” ผู้ดูแลใหญ่เอ่ยถาม “สิบกว่าปีก่อนหน้าเฉิงกั๋วกงก็เริ่มขับไล่ชาวจินที่แดนเหนือ เป็นเขาเอาแดนเหนือคืนมา นี่ยังไม่ร้ายกาจรึ?”

เซี่ยหย่งริมฝีปากขยับนิดๆ

“สงครามแต่ไหนแต่ไรก็ไม่ใช่เรื่องของคนผู้เดียว” เขาเอ่ย

นี่คือ ไม่ยอมรับ?

ผู้ดูแลใหญ่เลิกคิ้ว มิน่าเฉิงกั๋วกงที่ทุกผู้ทุกคนเคารพประหนึ่งแม่ทัพสวรรค์ พวกเขาถึงมองเมินเฉยชาเช่นนี้

“เจ้าก็พูดเสียทีเถอะว่าเฉิงกั๋วกงเป็นอะไรแล้ว” เซี่ยหย่งเอ่ยต่อ เห็นชัดว่าไม่อยากต่อประเด็นนี้ “ไม่พูดอีก คุณหนูจวินจะไปไกลแล้ว”

นั่นแล้วอย่างไร? หรือเจ้ายังไล่ตามไปรึ? ในใจผู้ดูแลใหญ่พึมพำคำหนึ่ง

“เฉิงกั๋วกงคัดค้านการเจรจาสงบศึกอย่างเด็ดขาด บอกว่าโจรจินเจ้าเล่ห์ ไม่อาจเชื่อ นอกจากนี้วันนี้โจรชั่วบรรยากาศหดหู่ กำลังใจถดถอย แม่ทัพทหารประชาชนแดนเหนือบรรยากาศกำลังฮึกเหิม” เขาเอ่ยเล่า “บอกว่าตอนนี้เป็นช่วงเวลาตัดสินแพ้ชนะ หวังว่าฝ่าบาทจะไม่ถูกคนคดหลอกทำร้ายประเทศชาติ”

“หลังจากนั้นเล่า?” เซี่ยหย่งเอ่ยถาม “เฉิงกั๋วกงร้ายกาจปานนี้ ฮ่องเต้ฟังไหม?”

อ้อ นี่เสียดสีรึ? ผู้ดูแลใหญ่ถลึงตา คนซื่อนี่เป็นแบบนี้ได้ด้วยรึ?

แต่ตอนนี้เขาไม่มีอารมณ์เย้ยหยัน

“ฮ่องเต้ไม่ฟัง ฮ่องเต้ให้เฉิงกั๋วกงถอนทหารสามเมือง” เขาเอ่ยพลางมองเซี่ยหย่ง “เฉิงกั๋วกงปฏิเสธ”

เซี่ยหย่งมองเขา

“หลังจากนั้น ฮ่องเต้ก็ทรงพิโรธออกคำสั่งถอนทหารออกจากแดนเหนือ” ผู้ดูแลใหญ่เอ่ย

ฮ่องเต้ออกคำสั่งถอนทหาร ทหารที่แดนเหนือนี่บอกว่าเป็นของเฉิงกั๋วกง แต่ก็เป็นของฮ่องเต้ด้วย ไม่ใช่แม่ทัพทหารทั้งหมดจะกล้าปฏิเสธฮ่องเต้เหมือนเฉิงกั๋วกง

คิดดูก็รู้ว่าที่แดนเหนือ…

……………………………………….

คิดดูก็รู้ว่าแดนเหนือตอนนี้ต้องโกลาหลแน่

ถอยปุบกำลังใจดั่งน้ำหลากทะลัก ถอยปุบพ่ายพันลี้ ชาวจินต้องไม่หยุดยั้งประหนึ่งเสือหิวลงจากเขาแน่นอน

จูจั้นถือจดหมายในมือ มือสั่นเล็กน้อย

“ขุดหลุมฝังตัวเอง ขุดหลุมฝังตนเอง” เขาพลันหัวเราะสลด ฉีกจดหมายในมือทีสองทีแล้วชูขึ้น

กระดาษจดหมายปลิวละล่องประหนึ่งเกล็ดหิมะในฤดูหนาวอันอ้างว้าง

“ขึ้นเหนือ” เขาเอ่ย

เหล่าบุรุษหลังร่างสบตากันทีหนึ่ง

“พี่ใหญ่” คนหนึ่งในนั้นก้าวเข้ามาก้าวหนึ่งขวางเขาไว้ “แต่นายหญิงอยู่ที่เมืองต้าหมิงนะ”

ก้าวเท้าของจูจั้นชะงักนิดๆ

“พี่ใหญ่” บุรุษอีกคนก็ก้าวเข้ามาด้วย “ตอนนี้มีคำสั่งของฮ่องเต้ คนมากมายจะเอาใจออกห่าง ชิงเหอปั๋วเดิมก็ไม่ลงรอยกับเฉิงกั๋วกง นอกจากนี้ชะเลียเบื้องบนเป็นที่สุด ต้องจับนายหญิงไว้แน่ นายหญิงกำลังไปเมืองต้าหมิงย่อมตกอยู่ในอันตราย หากพวกเราไม่ไป…”

จูจั้นมองไปยังทิศของเมืองต้าหมิง แล้วมองไปทางแดนเหนือที่ไกลกว่าอีกครั้ง

“ท่านแม่ของข้าต้องรู้ข่าวแล้วแน่” เขากำหมัดเค้นคำพูดประโยคหนึ่งลอดไรฟัน “ท่านแม่ของข้านางร้ายกาจที่สุด ต้องมีวิธีปกป้องตนเองแน่นอน”

เหล่าบุรุษข้ายกายสีหน้าลังเล

“พี่ใหญ่” พวกเขาร้องเสียงดังพร้อมเพรียง น้ำเสียงร้อนรน

“แดนเหนือถอนทหาร ชาวจินต้องทำลายแนวป้องกันลงใต้แน่ หากเป็นเช่นนี้ประชาชนที่หนีไม่ทันก็แย่แล้ว” จูจั้นเอ่ยเสียงเข้ม “พวกเราต้องเร่งเดินทางไปช่วยท่านพ่อ นั่นไม่ใช่เรื่องที่ท่านพ่อของข้าตกอยู่ในสถานการณ์อย่างไรแล้ว นั่นเป็นเรื่องที่ข้องเกี่ยวกับความเป็นความตายของประชาชนพันหมื่น”

เขายกมือห้ามเหล่าบุรุษแล้วเอ่ยอีกครั้ง

“เร่งเดินทางวันคืนไม่พัก กล้ามีคนขัดขวาง ไม่ว่าทหารหรือโจร”

เขาเอาขวานที่ข้างเอวออกมาสะบัดทำท่าฟันลงทีหนึ่ง

“ไป”

บุรุษที่เหลือตะโกนตอบพร้อมเพรียง พากกันเอาขวานออกมาพลิกกายขึ้นม้า คนกลุ่มหนึ่งควบม้าเร็วรี่ไปบนทุ่งกว้าง

……………………………………….

เสียงเปาะทีหนึ่ง มีเสียงกิ่งไม้หัก เซี่ยหย่งที่ก้มหน้าขึ้นเขาอยู่เงยศีรษะมองไปก็เห็นบนต้นไม้ตรงหน้าจ้าวฮั่นชิงนั่งอยู่ข้างบน

ในอ้อมแขนนางกอดอะไรบางอย่างไว้ กำลังเหม่อมองออกไปไกล เท้าแกว่งไกวไม่รู้ตัว

“นิวหนิ่ว” เซี่ยหย่งเอ่ยเรียก

จ้าวฮั่นชิงมองเห็นเขาก็พลันกระโดดลุกขึ้น สองสามทีก็พุ่งเข้าป่าบนเขาไม่เห็นแล้ว

เซี่ยหย่งอึ้งจากนั้นก็ถอนหายใจ

เด็กคนนี้กลายเป็นเช่นนี้อีกแล้ว

เขาก้าวไวๆ บนทางภูเขามุ่งหน้ามาถึงที่ของเซียวจือฝั่งนี้อย่างรวดเร็ว เซียวจือกำลังนั่งทอผ้าอยู่ใต้แสงตะวันเหมือนเช่นที่ผ่านมา

แม้อาภรณ์ผ้าผ่อน คุณหนูจวินล้วนส่งมาเพียงพอ แต่เซียวจือก็ยังคงทำงานทุกวันไม่หยุด

บางทีนางอาจเพียงไม่อยากให้ตนเองว่าง

“นางไปแล้วหรือ?” เซียวจือเอ่ยถาม

เซี่ยหย่งพยักหน้า อยากพูดแล้วก็หยุดไป

“เจ้ามีอะไรอยากพูดก็พูดเถอะ” เซียวจือไม่เงยหน้าแต่เอ่ยขึ้น

“องค์หญิง” เซี่ยหย่งพลันเอ่ยเรียก

องค์หญิงคำเรียกขานนี้ทำให้เซียวจือที่ทอผ้าอยู่หยุด นางยิ้มแล้ว

“ยังองค์หญิงอะไรอีกเล่า แคว้นก็ล่มไปหลายสิบปีแล้ว” นางเอ่ย

เซี่ยหย่งคำนับ

“ถึงอย่างนั้นองค์หญิงก็คือองค์หญิง” เขาเอ่ย

เซียวจือมองไปหาเขา

“เจ้าอยากทำอะไร?” นางเอ่ยถาม

เซี่ยหย่งลังเลครู่หนึ่งก็รวบรวมความกล้าเงยหน้าขึ้น

“ขอองค์หญิงโปรดอภัย เซี่ยหย่งอยากไปเหอเจียนด้วยกันกับคุณหนูจวิน” เขาเอ่ยขึ้นมา

“เหล่าเซี่ย เจ้าพูดอะไรน่ะ!” เสียงของหยางจิ่งตวาดขึ้นข้างหลัง คนก็ก้าวไวๆ พุ่งมา ต่อยใส่เขาหนึ่งหมัดอย่างแรง “เจ้าลืมคำสั่งของพี่ใหญ่แล้วหรือ?”

เซี่ยหย่งโซเซถอยหลังหลายก้าว สีหน้ากลับยิ่งแน่วแน่

“ข้าไม่ได้ลืม พี่ใหญ่ให้พวกเราดูแลพี่สะใภ้กับนิวหนิ่วให้ดี ดูแลทุกคนให้ดี” เขาเอ่ยเสียงแหบพร่า “แต่ในใจข้าเสียใจมาตลอด ข้าเสียใจที่ตอนนั้นไม่ได้ตามพี่ใหญ่ไปข้างนอกพบทางการขอความยุติธรรม ข้าเสียใจที่เรื่องอะไรล้วนให้พี่ใหญ่ไปทำคนเดียว พี่ใหญ่เขาเหนื่อยมากแล้วนะ เขาก็เป็นคนนะ ตอนที่เขาทำไม่ได้ เขาต้องเสียใจมากแน่ แต่ข้าไม่ได้อยู่ข้างกายเขา ข้าสิ่งใดล้วนไม่ได้ช่วยเขา”

เขาพูดพลางยกมือขึ้นทุบหน้าอก

“ข้าเสียใจ สิบปีมานี้ ทุกๆ วันข้าเสียใจ ข้าอยากให้พี่ใหญ่กลับมา เมื่อเขาออกไปอีกครั้ง ข้าต้องติดตามไปแน่เหมือนที่สังหารศัตรูครั้งนั้นเช่นนั้น ข้าติดตามเขา ข้าอยู่ด้วยกันกับเขา จะตายจะอยู่ก็ไปด้วยกัน”

ขอบตาหยางจิ่งเริ่มแดง มือกำแน่นอยากพูดอะไรแต่สิ่งใดก็พูดไม่ออก

“ตอนพี่ใหญ่ไป ข้าไม่ได้ติดตาม” เซี่ยหย่งยื่นมือชี้ตีนเขา “ตอนนี้ลูกศิษย์ที่พี่ใหญ่สั่งสอนออกมาก็กำลังจะไปทำเรื่องที่พี่ใหญ่เคยทำในอดีตสังหารศัตรูตอบแทนประเทศชาติเพื่อประชาชน ข้าไม่อยากอยู่ที่นี่รอนางกลับมาแล้ว ข้าจะไปกับนางด้วย กลับมาได้ก็กลับมาด้วยกัน กลับมาไม่ได้ก็กลับมาไม่ได้ด้วยกัน ข้าไม่อยากรออีกต่อไปแล้ว”

เขาพูดพลางคุกเข่าโขกศีรษะคำนับให้เซียวจือ

“ขอองค์หญิงอภัยที่เซี่ยหย่งไม่อาจรักษาสัญญา”

เซียวจือมองเขา

“เป็นเขาบอกจะพาพวกเจ้าสร้างคุณงามความชอบ เป็นเขาบอกว่าร่วมเป็นร่วมตายกับเขาจะได้ความมั่งคั่งเกียรติยศ เป็นเขาบอกว่าพวกเจ้าจะถูกหมื่นประชาเลื่อมใส” นางเอ่ย “ทุกสิ่งล้วนเป็นเขาเอ่ย ต่อให้ท้ายที่สุดสิ่งใดล้วนไม่มี พวกเจ้าก็ยังไม่เคยบีบเขา ติดตามเขาร่วมเป็นร่วมตาย ไม่ใช่เพราะสิ่งเหล่านี้ที่เขาบอก แต่เขาทอดทิ้งพวกเจ้าก็เพื่อสิ่งเหล่านี้ เซี่ยหย่ง พวกเจ้าต้องจดจำไว้ ไม่ใช่พวกเจ้าผิดต่อเขา เป็นเขาไม่ต้องการพวกเจ้า เป็นเขาผิดต่อพวกเจ้า”

“พี่สะใภ้ใหญ่ไม่ต้องพูดแล้ว” หยางจิ่งรีบเอ่ยแล้วยกมือต่อยเซี่ยหย่งอีกหมัด “เจ้าพูดเหลวไหลอะไร”

เซี่ยหย่งหมอบอยู่กับพื้นโขกศีรษะไม่เอ่ยวาจา

เซียวจือลุกขึ้นยืน

“เจ้าต้องจดจำไว้ ตอนนี้พวกเจ้าไปเมืองเหอเจียนไม่ใช่เพื่อเขา แต่เพื่อคุณหนูจวิน ยิ่งกว่านั้นเพื่อประชาชนที่น่าสงสารในกลียุคนี้” นางเอ่ย

เซี่ยหย่งกับหยางจิ่งตะลึงวูบหนึ่ง มึนงงอยู่บ้างมองนาง

นางพูดอะไร?

เซียวจือยิ้มอีกครั้ง

“แน่นอน ทำเรื่องเหล่านี้ไม่ใช่เพื่อสร้างคุณงามความชอบให้หมื่นประชาเลื่อมใสอะไร เพียงแต่กลียุคคนน่าสงสารจึงสงสารคนน่าสงสารก็เท่านั้น”

พูดจบก็ดึงปิ่นที่ปักบนผมลงมา

นี่หากจะพูดว่าเป็นปิ่มเล่มหนึ่ง ไม่สู้พูดว่าเป็นตราคำสั่งแผ่นหนึ่ง

“เซี่ยหย่งก่าน จงเคลื่อนทหาร” นางเอ่ยพลางส่งตราคำสั่งมา

เคลื่อนทหาร

เซี่ยหย่งกับหยางจิ่งทั้งร่างสั่นระริก เซี่ยหย่งยิ่งสั่นสะท้านรับตราคำสั่งไป

“กระหม่อมรับบัญชา” เขาตะโกนเสียงสั่น