เจียงซื่อไม่ได้ถามอะไรป้าซิ่ว นางค่อยๆ เดินเข้าไปใกล้ประตูวัดร้าง
“พระชายา…” หลงต้านขานเรียก คิ้วของชายหนุ่มขมวดมุ่นด้วยความกังวล
เขาเป็นพวกไม่กลัวอะไรก็จริง แต่หากเป็นพระชายา เขายอมไม่ได้
เจียงซื่อไม่ได้ชะลอฝีเท้า นางเพียงแต่เอ่ยแผ่วเบา “เข้าไปกับข้า”
ทั้งสองเดินเข้าไปในวัดร้าง เมื่ออาหมานเห็นเช่นนั้น นางก็มิได้รอช้า รีบตามเข้าไปทันที
หินสามก้อนตั้งอยู่ไม่ไกลจากวัดร้าง ฉะนั้นเดินไปไม่กี่ก้าวก็ถึงประตูวัด เจียงซื่อชะงักฝีเท้าเล็กน้อย
หลงต้านเอ่ยแผ่วเบา “พระชายา ให้กระหม่อมเข้าไปก่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
เจียงซื่อไม่ได้ปฏิเสธ นางผงกศีรษะเล็กน้อย
ในขณะที่หลงต้านกำลังก้าวเท้าเข้าไป ที่ด้านในกลับมีเสียงของสตรีดังขึ้น “หยุดอยู่ตรงนั้น!”
เสียงนั้นมิใช่เสียงของสตรีอ่อนเยาว์
เจียงซื่อเลิกคิ้วเพราะรู้สึกคุ้นเคย
ไม่นานเสียงนั้นก็ดังขึ้นอีกครั้ง “พระชายาเยี่ยนอ๋องเข้ามาได้คนเดียว”
หลงต้านเย้ยหยัน “น่าขันสิ้นดี ป้าซิ่วก็ไม่ได้อยู่ในมือเจ้า แล้วเหตุใดพระชายาถึงต้องเสด็จเข้าไป”
นางคนนี้ช่างไม่รู้จักใช้คนให้เป็นประโยชน์เอาเสียเลย มีที่ไหนไล่คนออกมาแล้วค่อยมาขู่ทีหลัง
หลงต้านคิดร้ายอยู่ในใจว่า คนที่อยู่ในวัดช่างโง่เง่าเสียเหลือเกิน
แต่เจียงซื่อกลับคิดว่าคนที่อยู่ข้างในไม่ใช่คนโง่
การที่นางปล่อยป้าซิ่วออกมาเพราะรู้ดีว่าป้าซิ่วมิใช่ตัวประกันที่สลักสำคัญ และดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะทราบดีว่าการใช้ป้าซิ่วมาขู่เจียงซื่อคงไม่เป็นผล
อีกฝ่ายใช้ป้าซิ่วเป็นเพียงตัวล่อให้นางมาถึงที่นี่
เสียงพูดระคนเสียงหัวเราะดังขึ้น “เดี๋ยวพระชายาของพวกเจ้าก็เข้ามาเอง”
หลงต้านหันขวับไปหาเจียงซื่อ “พระชายา…”
ท่าทีของเจียงซื่อเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง นางกำลังก้าวเท้าเข้าไปข้างใน
กู่กาฝากกับน้ำเสียงที่แสนจะคุ้นเคย…นางเดาออกแล้วว่าคนข้างในคือผู้ใด
เมื่อเป็นเช่นนี้ นางถึงกล้าเข้าไป
คนในวัดร้างกล้าล่อนางมาหาถึงที่ ดังนั้นนางจะไม่กลับไปจนกว่าจะได้เห็นหน้าและทราบจุดประสงค์อีกฝ่ายเสียก่อน
หลงต้านร้อนรน “พระชายา อันตรายนะพ่ะย่ะค่ะ หากจะเข้าไปก็ให้กระหม่อมเข้าไปก่อนจะดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ!”
สายตาของเจียงซื่อขับประกายเย็นชา “ไม่เป็นไร เจ้ารอที่หน้าประตูเนี่ยแหละ”
“พระชายา…” หลงต้านยังคงดึงดัน
เจียงซื่อจึงเอ่ยว่า “คนผู้นี้ ข้าเคยพบมาก่อน ข้าจะระวังตัว”
“แต่มันอันตรายเกินไปอยู่ดีพ่ะย่ะค่ะ!”
เจียงซื่อส่งยิ้มให้หลงต้าน “ฉะนั้นเจ้าก็อยู่รอที่หน้าประตู หากเกิดเรื่อง เจ้าจะได้เข้าไปช่วยได้ทัน ข้าเชื่อว่าทักษะฝีมือของเจ้าจะสามารถรับมือกับหญิงชราได้แน่นอน”
หลงต้านเห็นเจียงซื่อยืนยันเช่นนั้นก็จนใจ
พระชายาตรัสถูกแล้ว หากเขาไม่สามารถปกป้องพระชายาจากหญิงชราเพียงคนเดียว เขาก็เป็นคนใช้การไม่ได้
แต่ปลอดภัยไว้ก่อนก็ยังดีกว่ามานั่งเสียใจทีหลังนี่หน่า…
ขณะที่หลงต้านยังคิดไม่ตก เจียงซื่อก็เดินเข้าไปในวัดร้างแล้ว นอกจากนี้ที่หน้าประตูยังมีอาหมานด้วยอีกคน
อาหมานถลึงตาใส่หลงต้านพลางข่มขู่ “หากพระชายาทรงเป็นอะไรไป เจ้าก็เตรียมตัวตายได้เลย!”
หลงต้านที่กำลังลุ้นระทึกได้ยินดังนั้นก็กลอกตาใส่ “ข้ากำลังตั้งใจฟังเสียงข้างในอยู่ อย่าเพิ่งทำให้ข้าว่อกแว่ก!”
อาหมานเงียบปากสนิท
ไอ้ตานี่กล้าขึ้นเสียงขู่ข้างั้นหรือ คอยดูเถอะ กลับไปข้าจะไปฟ้องอาหญิงโต้ว
ในวัดร้างคละคลุ้งไปด้วยกลิ่นอับชื้น บนโต๊ะถวายเครื่องบูชามีคราบฝุ่นเกาะตัวเป็นชั้นหนา ตามซอกมุมและคานสูงมีหยากไย่กระจายอยู่เป็นวงกว้าง
เจียงซื่อกวาดสายตามองไปรอบๆ ก่อนจะหยุดนิ่งที่มุมหนึ่ง
หญิงชรากำลังนั่งไขว่ห้าง แสงสลัวทำให้รูปร่างหน้าตาของนางมัวซัวไม่ชัดเจน แต่ทว่าเจียงซื่อมองออกว่านางคือใคร นางคือผู้อาวุโสฮวาตรงตามที่นางคาดการณ์ไว้
ผู้อาวุโสฮวานิ่งเงียบไม่ส่งเสียง เป็นเจียงซื่อที่เป็นฝ่ายเริ่มพูดก่อน “ที่ร่ำลากันที่ร้านค้าเล็กๆ บนถนนซีซื่อ ไม่คิดว่าจะได้พบผู้อาวุโสฮวาที่นี่อีกครั้ง”
เดิมทียายหลานเผ่าอูเหมียวคู่นี้ถูกจับกุมและคุมขัง แต่ผ่านไปเพียงไม่นาน ทั้งคู่ก็หนีออกมาได้สำเร็จ เรื่องนี้กลายเป็นปัญหาค้างคาใจจิ่งหมิงฮ่องเต้จนมาถึงทุกวันนี้ อีกทั้งยังเป็นความน่าอัปยศอดสูของหน่วยองครักษ์จิ่นหลิน
แม้หลังจากนั้นจิ่งหมิงฮ่องเต้จะส่งคนไปที่ดินแดนอูเหมียว แต่กลับไม่พบเบาะแสของผู้อาวุโสฮวาและหลานสาว
การที่ผู้อาวุโสฮวามาปรากฏตัวอยู่ที่วัดร้างแห่งนี้เป็นเรื่องที่เกินความคาดหมายของเจียงซื่อยิ่งนัก นางพยายามคาดเดาจุดประสงค์ของอีกฝ่าย
หลังจากผู้อาวุโสฮวาแหกคุกออกมา นางมิได้กลับไปที่อูเหมียวงั้นหรือ
ตอนที่ตั่วหมัวมัวถือโอกาสตอนที่ไทเฮาเสด็จออกไปถวายธูปนัดพบกับผู้อาวุโสฮวา นางได้ทราบความจากผู้อาวุโสฮวาว่า สตรีศักดิ์สิทธิ์เผ่าอูเหมียวอยู่ที่เมืองหลวง แต่ในตอนนั้นตั่วหมัวมัวยังไม่เคยพบนางจึงยังไม่มีโอกาสได้บอกผู้อาวุโสฮวาถึงสถานะของพระชายาเยี่ยนอ๋อง
ซึ่งหมายความว่า ผู้อาวุโสฮวาทราบเพียงว่าสตรีศักดิ์สิทธิ์อยู่ที่เมืองหลวง แต่ไม่ทราบสถานะของนาง
แต่ดูเหมือนว่าบัดนี้นางจะรู้แล้ว ถึงได้ใช้ป้าซิ่วล่อให้นางมาถึงที่นี่
“หลานสาวของผู้อาวุโสฮวาไปไหนแล้วเล่า” เมื่อเห็นว่าผู้อาวุโสฮวายังคงนิ่งงันไม่ตอบโต้ เจียงซื่อจึงถามต่อ
ในที่สุดผู้อาวุโสฮวาก็ยอมเปิดปาก แต่นางไม่ได้ตอบคำถามของเจียงซื่อ นางพูดเป็นภาษาอูเหมียว “ที่แท้เจ้าก็ไม่ใช่สตรีศักดิ์สิทธิ์”
หลงต้านและอาหมานที่ยืนเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจที่หน้าประตูได้แต่ตะลึงงัน ทั้งสองหันมาสบตากัน
เจียงซื่อคลี่ยิ้มพลางตอบกลับเป็นภาษาอูเหมียว “เหตุใดผู้อาวุโสฮวาถึงไม่เชื่อคำพูดของข้า ข้าคือสตรีศักดิ์สิทธิ์จริงๆ ที่ข้ามาที่เมืองหลวงก็เพราะได้รับภารกิจเช่นเดียวกับเจ้า”
ผู้อาวุโสฮวาเงียบไปชั่วครู่ก่อนจะตอบ “ข้ากลับไปที่อูเหมียวและได้พบกับหัวหน้าผู้อาวุโส”
สีหน้าของเจียงซื่อไม่ได้แสดงอาการประหลาดใจ นางพอจะเข้าใจเหตุผลว่าเหตุใดผู้อาวุโสฮวาถึงปักใจเชื่อว่านางไม่ใช่สตรีศักดิ์สิทธิ์
หากได้พบหัวหน้าผู้อาวุโสก็จะรู้ว่าสตรีศักดิ์สิทธิ์อาซังเสียชีวิตไปแล้ว
“สตรีศักดิ์สิทธิ์ป่วยหนัก ตอนนี้นางกำลังเก็บตัวบำเพ็ญเพียรอย่างหนักอยู่ที่ดินแดนของเรา ฉะนั้นแล้วเจ้าไม่มีทางเป็นสตรีศักดิ์สิทธิ์ไปได้” ผู้อาวุโสฮวาจ้องเขม็งไปที่เจียงซื่อ
เจียงซื่อขยับคิ้วเล็กน้อย
ดูเหมือนว่าการเสียชีวิตของสตรีศักดิ์สิทธิ์อาซังจะส่งผลกระทบต่อเผ่าอูเหมียวอย่างใหญ่หลวง เพราะจนถึงบัดนี้แล้ว ผู้อาวุโสฮวายังไม่ยอมพูดความจริงกับนาง
เจียงซื่อเงียบไปในขณะอีกฝ่ายพ่นคำถามออกมาไม่หยุด “เจ้าเป็นใครกันแน่ เหตุใดถึงได้หน้าเหมือนสตรีศักดิ์สิทธิ์เผ่าของเราอย่างกับแกะ อีกทั้งเจ้ายังสื่อสารภาษาอูเหมียวได้คล่องและรู้ศาสตร์วิชามนต์ดำของเผ่าอูเหมียว”
ผู้อาวุโสฮวารัวคำถาม แต่กลับไร้คำตอบจากเจียงซื่อ คิ้วของนางขมวดเป็นปมลึกขึ้นเรื่อยๆ “เหตุใดเจ้าถึงไม่ตอบ”
เจียงซื่อผุดหัวเราะ “ผู้อาวุโสฮวาถาม แล้วข้าจำเป็นต้องตอบอย่างนั้นหรือ หรือหากข้าตอบไป เจ้าจะเชื่องั้นรึ”
“เจ้าก็ต้องตอบมาก่อน จะเชื่อหรือไม่ขึ้นอยู่กับวิจารณญาณของข้า”
“เช่นนั้นก็ดี ข้าจะตอบ ข้าคือคนที่เกิดและเติบโตในแผ่นดินต้าโจว ไม่เคยไปเหยียบที่อูเหมียว ส่วนคำถามอื่นๆ ที่ผู้อาวุโสฮวาถามมา ข้าเองก็ยังหาคำตอบไม่ได้เหมือนกัน”
ใบหน้าของผู้อาวุโสเหยเก นางรู้สึกว่าตัวเองกำลังถูกเจียงซื่อปั่นหัว
แต่เพราะสถานะพระชายาเยี่ยนอ๋องของเจียงซื่อทำให้นางจนใจ นางพยายามปรับสีหน้าให้เป็นปกติก่อนจะถอนหายใจ “ช่างเถอะ ข้าจะไม่ซักไซ้เรื่องที่ผ่านมา แต่ที่ให้เจ้ามาพบข้าในวันนี้ เพราะข้ามีเรื่องจะให้เจ้าช่วย”
“เรื่องอะไรหรือ” เจียงซื่อเอ่ยถามเนิบนาบ ในใจใคร่ครวญหาคำตอบ
ผู้อาวุโสฮวาเอ่ยตอบ “หมู่นี้ที่เผ่ามีข่าวปลอมแพร่สะพัดไปทั่วว่าสตรีศักดิ์สิทธิ์มิได้อยู่บนโลกนี้แล้ว ทำให้คนในเผ่ารู้สึกไม่สบายใจ แต่เพราะในตอนนี้สตรีศักดิ์สิทธิ์ไม่สามารถออกมาพบหน้าใครได้เนื่องจากปัญหาด้านสุขภาพ ที่ข้ามาวันนี้เพราะใคร่จะเชิญให้เจ้าไปที่แดนใต้ และให้สวมรอยเป็นสตรีศักดิ์สิทธิ์เพื่อไปปรากฏตัวต่อหน้าสาธารณชน คนในเผ่าจะได้สบายใจเสียที”
เจียงซื่อได้ยินดังนั้นก็หัวเราะร่า “ข้าเป็นพระชายาเยี่ยนอ๋อง เหตุไฉนข้าถึงต้องตอบรับคำขอไร้สาระของผู้อาวุโสฮวาด้วยเล่า”
ผู้อาวุโสฮวาดึงมุมปากก่อนจะต้องเสียงเรียบ “แล้วถ้าหากมีเหตุผลที่ต้องไปล่ะ”