บทที่ 629 นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่

ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม

ตอนที่ 629 นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่

ตอนที่ 629 นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่

“เจ้าแน่ใจแล้วใช่หรือไม่?”

ครั้นได้ยินคำพูดของเสี่ยวเวย เหยาเฉาก็ไม่ได้รีบตอบ ทำเพียงครุ่นคิดอยู่เนิ่นนาน หลังจากที่เขาช่วยชีวิตเสี่ยวเวยไว้ เสี่ยวเวยก็อยู่ข้างกายเขามาตลอด

ส่วนเขาก็เคยชินกับเสี่ยวเวยที่คอยจัดการเรื่องต่าง ๆ ให้เขา ถ้าเสี่ยวเวยจากไป เขาก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะปรับตัวให้คุ้นชินในเร็ววันได้หรือไม่

แต่ถ้าไม่ให้เสี่ยวเวยไป เกรงว่าคงไม่ได้ ถึงอย่างไรเสี่ยวเวยก็มีชีวิตของตนเอง มีทางเลือกของตนเอง

ถ้าเสี่ยวเวยอยากไปจริง ๆ เขาก็คงไม่ขัดขวาง แต่เขาแค่อยากจะแน่ใจอีกสักหน่อย

“แน่ใจแล้ว ต้องออกไปเห็นโลกภายนอกถึงจะรู้ว่าตัวเองต้องการสิ่งใด”

“ดี งั้นเจ้าไปเถอะ แต่เจ้าจงจำไว้ไม่ว่าจะกลับมาเมื่อไร จวนเหยาคือบ้านของเจ้า” กล่าวพลางตบไหล่ของเสี่ยวเวย เหยาเฉากลับรู้สึกถึงความว่างเปล่าในใจ

“อื้อ ขอบคุณพี่รองมาก”

“พูดอะไรโง่เขลาเช่นนั้น เราคือครอบครัวเดียวกัน มาขอบคงขอบคุณอะไร”

“จะไปเมื่อไรล่ะ?”

“อีกสามวัน ข้ายังมีบางอย่างที่ยังจัดการไม่เรียบร้อย”

“ดี งั้นข้าจะไปส่งเจ้า”

“อื้อ” เรื่องการจากลา เสี่ยวเวยทำการตัดสินใจเพียงไม่นาน

ดูเหมือนไม่ได้ตั้งใจ แต่กลับเป็นผลลัพธ์ที่มาจากการคิดไตร่ตรองอย่างละเอียดของเสี่ยวเวยแล้ว

ยามเขาอยู่ข้างกายเหยาเฉา เขารู้สึกสบายใจที่สุด แต่ชีวิตแบบนี้ก็ถูกทำลายลง

กระบวนการที่ใช้ในการฆ่าคนในคราที่แล้วได้เตือนสติเขา ว่าอย่าลืมสถานะของตัวเอง

แม้ว่าเขาจะไม่ได้ฆ่าคนเหมือนเมื่อก่อน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่ถูกใครฆ่าตาย การจากไปครานี้ เขาอยากใช้ความสามารถของตัวเองอย่างสุดล่าฟ้าเขียว

ถึงตอนนั้น จะกลับมาหาพี่รองอีกครั้งก็คงไม่สาย

แม้ว่าครานี้พี่รองจะไม่ได้สงสัยในตัวเอง แต่ถ้าปล่อยไว้ถึงคราต่อไป ใครเลยจะรู้ว่าจะเป็นอย่างไร?

การได้อยู่ข้างกายพี่รองมานานขนาดนี้ เขาพึงพอใจอย่างมาก ต่อไปเขาควรจะต้องเรียนรู้การแก้ไขเรื่องเหล่านั้นด้วยตัวเอง ยืนด้วยลำแข้งของตัวเองได้โดยแท้จริง

สามวันหลังจากนั้น ณ จวนเหยา

“อาเสี่ยวเวย ท่านอาจะไปจริง ๆ หรือ?”

เหยาเอ้อหลางได้ยินว่าเสี่ยวเวยจะไม่อยู่แล้ว จึงไม่เชื่อตั้งแต่แรก

ทั้งยังวิ่งไปพิสูจน์ถึงในห้องของเสี่ยวเวย สุดท้ายก็ได้รับการยืนยันจากเสี่ยวเวย จึงได้เชื่อความจริงนี้ ดังนั้นเขาจึงรีบเข้าไปช่วยเสี่ยวเวยตระเตรียมข้าวของมากมาย กลัวว่าผู้เป็นอาจะได้รับความลำบากระหว่างทาง

“จริงแท้แน่นอน ข้าไปแล้วเจ้าต้องคุยกับพ่อของเจ้าดี ๆ นะ อย่าฉุนเฉียวง่ายไม่ว่าเรื่องใด นิสัยพ่อของเจ้าค่อนข้างใจร้อน แต่เขาดีกับเจ้าเสมอ”

เสี่ยวเวยไม่กังวลเรื่องอื่น ถึงอย่างไรเอ้อเป่าก็มีศักยภาพที่ไม่เลวอยู่แล้ว แต่เอ้อหลางเป็นบุตรชายของพี่รองกลับมีอารมณ์ฉุนเฉียวใส่พี่รองเสมอ หากเขาอยู่ก็นับเป็นเรื่องดีที่มีคนช่วยไกล่เกลี่ย แต่ถ้าเขาไม่อยู่แล้ว ไม่รู้ว่าสองพ่อลูกจะอยู่กันอย่างไร

“วางใจเถอะ ข้ารู้แล้ว”

“อื้อ ข้าเชื่อเจ้า” กล่าวพลางยกมือขึ้นวางบนไหล่ของเอ้อหลาง

“เอาละ เจ้าวางใจเถอะ เด็กเหลือขอคนนี้ไม่ฉุนเฉียวใส่ข้าหรอก” เหยาเฉาไม่คิดว่าเสี่ยวเวยจะบอกเหยาเอ้อหลางแบบนี้ จึงลอบรู้สึกเสียหน้าในใจ

คนเป็นพ่อจนปัญญากับบุตรชายไม่ได้ ไฉนเลยจะอ้างศักดิ์ศรีได้

“พี่รอง ข้าไปนะ พี่ดูแลตัวเองดี ๆ ถ้าข้าว่างจะกลับมาเยี่ยมพี่”

“รู้แล้ว เจ้าไปอย่างวางใจเถอะ ไม่ต้องเป็นห่วง ที่นี่คือบ้านของเจ้า ยินดีต้อนรับเจ้ากลับมาเสมอ”

“ข้ารู้” เสี่ยวเวยพยักหน้าให้เหยาเฉา จากนั้นก็หมุนตัวกระโดดขึ้นม้าต่อหน้าเหยาเฉา แล้ววิ่งตรงไปยังประตูเมืองทันที

ครั้นเห็นเสี่ยวเวยจากไป แม้เหยาเอ้อหลางจะเป็นบุรุษแต่กลับเสียใจไม่น้อย

เขาเคยชินกับการมีอยู่ของเสี่ยวเวย คิดว่าผู้เป็นพ่อคงเสียใจไม่น้อย ถ้าวันหนึ่ง ซวีจ้าวต้องจากไปบ้าง ตัวเองคงจะเสียใจเช่นกันใช่หรือไม่?

เรื่องนั้นคงไม่ต้องพูด เพราะมันแน่นอนอยู่แล้ว

แม้ว่าจะรู้จักกับซวีจ้าวไม่นานนัก แต่ซวีจ้าวก็เป็นผู้มีอิทธิพลต่ออารมณ์ของเขา ยิ่งไปกว่านั้นซวีจ้าวก็ยังเป็นผู้มีพระคุณของเขาด้วย ยามนึกได้ตรงนี้ เหยาเอ้อหลางก็รู้สึกเศร้าใจไม่น้อย

ถึงอย่างไรซวีจ้าวก็เป็นทหาร วันหนึ่งก็ต้องออกรบ ไม่แน่ว่าวันนี้อาจจะยังดื่มเหล้ากับเขา พอวันที่สองกลับต้องสวมเกราะออกรบแล้วก็ได้ แม้ว่านี่คือเส้นทางที่ซวีจ้าวเลือกแล้ว แต่เหยาเอ้อหลางก็ยังเป็นห่วงเขา

“ท่านพ่อ อาเสี่ยวเวยไปแล้ว ต่อไปถ้าท่านพ่อมีเรื่องอะไรให้บอกข้านะขอรับ”

“พ่อของเจ้ายังไม่ถึงขั้นนี้ อาเสี่ยวเวยของเจ้าออกไปเที่ยวเร่ร่อน ไม่ได้ไปไว้ทุกข์ เจ้าทำหน้าอมทุกข์แบบนั้นให้ใครเล่า? อีกอย่าง นอกจากเสี่ยวเวยแล้ว ข้างกายพ่อก็ยังมีคนที่ใช้งานได้ ไฉนเลยจะต้องให้เจ้าเป็นกังวล ตราบใดที่เจ้าไม่ก่อเรื่องให้ข้า ข้าจะขอบคุณ”

เหยาเฉามองเหยาเอ้อหลางพลางพูดอย่างไม่สบอารมณ์ หลังจากอายุมากขึ้นอารมณ์ของเหยาเฉาก็ดีขึ้นกว่าแต่ก่อนไม่น้อย

แต่มีแค่เหยาเอ้อหลาง ที่มักจะยั่วโมให้เขาขุ่นเคืองได้เสมอ ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเขาทำได้อย่างไร บางครั้งเหยาเฉาก็ครุ่นคิด นี่น่ะหรือลูกชายตน นี่มันศัตรูชัด ๆ

“ข้าทำที่ไหนเล่า? ท่านพ่อ ท่านพ่อใส่ร้ายข้าแล้ว”

“บัดนี้เมืองจิงจ้าวไม่มีปัญหาแล้วใช่หรือไม่? เจ้าถึงได้ว่างพูดไร้สาระกับข้าเช่นนี้”

“ท่านพ่อไม่พูดข้าก็ลืมแล้ว มีบางเรื่องที่ข้ายังจัดการไม่เรียบร้อย” ครั้นถูกเหยาเฉาเตือน เหยาเอ้อหลางก็ตบหัวตัวเองเพราะเพิ่งนึกได้

เมื่อคืนไม่รู้ว่าใครพาโจรผู้นั้นมาส่งหน้าประตูเมืองจิงจ้าว เช้าตรู่วันนี้ผู้คนในเมืองจิวจ้าวจึงพากันตกตะลึงพึงเพริด

ดูจากสถานการณ์แล้ว คงจะนำเจ้าตัวเข้ามาส่งในเมืองจิงจ้าวก่อน หลังจากฟื้นก็ค่อยปล่อยเขากลับไป

ผลลัพธ์ยังไม่ทันจะได้เริ่มซักถาม คนผู้นั้นก็สารภาพความผิดทั้งหมดของตัวเอง ราวกับมีใครบังคับเขาก็มิปาน ผู้คนในเมืองจิงจ้าวรู้ว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ ไม่กล้ากระทำการบุ่มบ่าม รีบรายงานเรื่องนี้ต่อเหยาเอ้อหลาง

ตอนนั้นเหยาเอ้อหลางยังมีเรื่องอื่นต้องจัดการ ดังนั้นจึงไม่ได้เก็บมาใส่ใจ บัดนี้เรื่องเหล่านั้นได้รับการจัดการเรียบร้อยแล้ว จึงได้จัดการเรื่องนี้อย่างจริงจัง

“ท่านพ่อ เมืองจิงจ้าวเกิดเรื่อง ข้าต้องขอตัวก่อน”

“ไปเถอะ” ครั้นเห็นเหยาเอ้อหลางเดินไกลออกไป ในใจของเหยาเฉาก็เริ่มหวั่นไหวมากขึ้น

เขาไม่ได้ขอให้เหยาเอ้อหลางสร้างคุณงามความดี ขอแค่มีชีวิตที่สงบสุขแบบนี้ เขาก็พอใจแล้ว

ครั้นมาถึงเมืองจิงจ้าว เหยาเอ้อหลางเดินเข้าไปในคุกที่คุมขังคนชั่วผู้นั้น

แม้จะบอกว่าเป็นคุกใต้ดิน แต่สิ่งของภายในนั้นครบครันมาก ไม่ถึงขนาดสร้างความไม่เป็นธรรมให้กับคนข้างใน

ครั้นเห็นคนผู้นั้นถูกเชือกรัดไม่ขยับ เหยาเอ้อหลางก็ส่งสัญญาณให้คนข้างกายไปปลุกคนผู้นั้น ใครเลยจะรู้ว่าคนข้างกายจะเข้าใจผิด เอาน้ำอ่างหนึ่งราดใส่คนผู้นั้น

จะให้พูดอย่างไรดี มันเป็นกระบวนการที่เหนือความคาดหมาย ผลสุดท้ายก็ยังสอดคล้องกับความคิดของเหยาเอ้อหลางอย่างคาดไม่ถึงอีกด้วย

“ตื่นสิ? หลับสบายดีหรือไม่?”

เหยาเอ้อหลางยืนอยู่หน้าประตูคุก มองคนชั่วช้าที่มีสีหน้ามึนงง พลางถามอย่างละเอียด

“ที่นี่คือเมืองจิงจ้าว เจ้าจำได้หรือไม่? เมื่อวานเจ้าบุกเข้ามาในเมืองจิงจ้าวด้วยตัวเอง คิดว่าจะมีใจสำนึกบ้าง ดูจากตอนนี้กลับตีมึนราวโดนผีอำ”

เสียงของเหยาเอ้อหลางไม่ดังมากนัก แต่ก็สร้างภัยคุกคามเงียบ ๆ บางอย่างให้เจ้าตัว ราวกับกับว่าถ้าเขาไม่ฟังเหยาเอ้อหลาง เขาก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะทำเรื่องอะไรได้บ้าง

สถานการณ์แบบนี้เขาเคยอ่านเจอในตำรา แต่สภาพแวดล้อมที่เจอและเหตุการณ์ในตำรากลับแตกต่างกัน

“ข้าไม่รู้ ข้าไม่รู้อะไรทั้งนั้น ข้าแค่ช่วยไปทำภารกิจให้”

“เช่นนั้นเจ้าก็บอกข้ามา ว่ามันเกิดอะไรขึ้น”