บทที่ 509-2 พี่ใหญ่เจียวเจียว (2)

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

บทที่ 509 พี่ใหญ่เจียวเจียว (2)

กู้เจียวเอ่ยตอบพลางแขวนขวดน้ำเกลือไว้ที่ตะขอข้างเตียง “มันรักษาให้หายได้ แต่จะดีกว่าที่จะไม่แพร่เชื้อให้คนจำนวนมากเกินไป ข้าเกรงว่าจะมียาไม่เพียงพอ”

ในช่วงสองสามวันที่ผ่านมาต้องใช้ยาเป็นจำนวนมาก ไม่รู้ว่านางตาฝาดไปเองหรือไม่ที่จู่ๆ กล่องยาคู่ใจใบนี้ก็ไม่มียาเพิ่มออกมาแล้ว ราวกับว่าทุกอย่างในนั้นถูกปล้นไปจนหมด…

แม่สาวน้อยคนนี้สามารถรักษาโรคระบาดได้อย่างนั้นหรือ… ถังเย่ว์ซานเอามือกุมหน้าอก ความรู้สึกภาคภูมิใจอย่างกะทันหันนี้จู่ๆ โผล่มาได้อย่างไร

“ความสัมพันธ์ของพวกอดีตราชวงศ์กับแคว้นเฉินเป็นเช่นไร” กู้ฉังชิงถาม

“พวกเขาไม่ใช่พันธมิตรกันเสียทีเดียว ในแง่หนึ่ง มีความแตกต่างบางประการในการกระจายผลประโยชน์ และในทางกลับกัน มีความไม่สอดคล้องกันในวิธีการเผชิญหน้าของทั้งสองฝ่าย” ถังเย่ว์ซานเอ่ย

“ยกตัวอย่างเช่น” กู้ฉังชิงถามกลับ

ถังเย่ว์ซานตอบกลับด้วยน้ำเสียงเสียดสี “ตัวอย่างเช่น กองทัพของแคว้นขอให้พวกอดีตราชวงศ์ส่งตัวองค์หญิงหนิงอันไปให้ และใช้องค์หญิงมาเป็นข้ออ้างในการข่มขู่พวกทหารชายแดน แต่กลับถูกพลทหารม้าห้ามไว้”

กู้เฉิงเฟิงหัวเราะแห้งๆ พลางเอ่ยเสริม “แล้วคิดหรือว่าพลทหารม้าอะไรนั่นจะปฏิบัติต่อองค์หญิงอย่างจริงใจ แต่ดันคิดทำลายแคว้นของพระองค์เนี่ยนะ”

ถังเย่ว์ซานหรี่ตาลง “เจ้าจะไปรู้อะไร คนที่ทะเยอทะยานจะไม่ยอมเป็นพลทหารม้าที่ไม่มีอำนาจหรอก อีกทั้งเขายังเป็นเชื้อพระวงศ์ของอดีตราชวงศ์ ย่อมมีความคิดจะทวงคืนแคว้นของตัวเองกลับมาอยู่แล้ว”

“แล้วอี้อ๋องที่เป็นลุงของเขาล่ะ” กู้ฉังชิงเอ่ยถาม

“เขาเองก็สนับสนุนที่จะส่งองค์หญิงหนิงอันให้แคว้นเฉิน เพียงแต่จุดยืนของพลทหารม้านั้นชัดเจนมาก อีกทั้งบารมีของเขาที่ชายแดนแห่งนี้เรียกได้ว่าแผ่ซ่านไม่เบา อี้อ๋องจึงยังไม่คิดจะฉีกหน้าหลานชายของตัวเอง ตอนแรกปู่ของพวกเจ้าคิดจะไปช่วยองค์หญิงหนิงอันออกมา ที่ข้าไม่เห็นด้วยนั่นก็เพราะหากมองในแง่กลยุทธ์ องค์หญิงหนิงอันอยู่ในมือของพลทหารม้าแล้ว พระองค์อาจมีส่วนช่วยให้ความสัมพันธ์ของพวกเขาทั้งสามแตกกระจาย แต่หากพระองค์ไม่อยู่ด้วย มีความเป็นไปได้สูงว่าพวกเขาจะร่วมมือกัน”

กู้เฉิงเฟิงลุกขึ้นนั่ง “ถ้าอี้อ๋องอยู่ดีๆ เกิดอยากหาเรื่องปลงพระชนม์องค์หญิงขึ้นมาจะทำอย่างไรล่ะ”

ถังเย่ว์ซานถอนหายใจ “ปู่ของเจ้าเองก็คิดแบบนี้ ก็เลยออกไปช่วยเหลือพระองค์อย่างไม่คิดชีวิตยังไงล่ะ”

ถังเย่ว์ซานไม่เห็นด้วยกับท่านเหล่าโหว แต่เขาไม่สามารถห้ามได้ ท้ายที่สุดท่านเหล่าโหวต้องน้อมรับคำสั่งและพาองค์หญิงหนิงอันกลับมาโดยปลอดภัย

กู้เฉิงเฟิงถอนหายใจและนอนลงบนเตียงอีกครั้ง “ถ้าเจ้าส่งกำลังคนเพิ่มตั้งแต่แรก ปู่ของข้าก็คงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้!”

ถังเย่ว์ซานส่ายหัว “ต่อให้ส่งคนไปก็ไร้ประโยชน์อยู่ดี เพราะข้ารู้มาว่าพวกมันมีทหารหน่วยกล้าตายที่ทรงพลังมาก ขนาดทหารหลงอิ่งของจิ้งไท่เฟยทั้งสามคนยังเทียบไม่ได้ด้วยซ้ำ แล้วนับประสาอะไรกับทหารของข้า ฝีมือการต่อสู้ของปู่เจ้าใช่ว่าจะกระจอก เรียกได้ว่าหากสู้รบปรบมือกับทหารหลงอิ่งยังพอมีโอกาสชนะ”

“น่ากลัวขนาดนั้นเชียวรึ” กู้เฉิงเฟิงตกใจ

กู้เจียวค่อยๆ ปิดฝากล่องยาลง

ทหารหน่วยกล้าตายที่ว่านั้น จะใช่คนที่หักขาของกู้ฉังชิงในความฝันหรือไม่

ฝีมือระดับนั้นคงล้มกู้ฉังชิงได้สบายๆ

ถ้าอย่างนั้น แสดงว่าฝีมือการต่อสู้ของกู้ฉังชิงเองก็ไม่เบา เพราะไม่อย่างนั้นเขาคงถูกฆ่าตายตั้งแต่แรกแล้ว

“คิดเรื่องอะไรอยู่รึ”

กู้ฉังชิงเอ่ยถามกู้เจียว หลังจากที่พวกเขาออกมาจากห้อง

“หิมะตกอีกแล้ว” กู้เจียวยืนอยู่ตรงโถงทางเดิน เงยหน้ามองหิมะที่กำลังโปรยลงมา “ช่างเหมาะกับการออกรบเสียเหลือเกิน”

“แต่ก็ไม่รู้ว่าจะหยุดตกเมื่อไหร่” ออกรบหลังหิมะตกท่าจะดีกว่า

“ช่วงสวี่น่ะ” กู้เจียวตอบ

“เจ้าพยากรณ์อากาศเป็นด้วยรึ” กู้ฉังชิงแสดงสีหน้าตกตะลึง

“อืม ก็นิดหน่อยน่ะ” กู้เจียวพยักหน้า

กู้ฉังชิงยิ้มบาง เขาถอดเสื้อคลุมออกแล้วสวมให้นางและผูกเชือกของเสื้อคลุมให้ด้วยนิ้วเรียวของขา

ขณะเดียวกัน กู้เฉิงเฟิงที่นอนอยู่บนเตียงกำลังมองภาพพี่ชายของตนเองกำลังสวมเสื้อคลุมให้กู้เจียว ก่อนจะพ่นลมหายใจอย่างแรงแล้วเบือนหน้าไปด้านข้าง

ฮึ เขาไม่ยุ่งกับท่านพี่แล้ว!

เสียงกรนของถังเย่ว์ซานดังลั่นไปทั่วห้อง

กู้เฉิงเฟิงนอนหัวเสียพลางเอาผ้านวมคลุมหัวและหยิบสำลีจากหมอนมาอุดหู

ด้วยความที่หูของเขาไวเป็นพิเศษ จึงรู้สึกเหมือนถังเย่ว์ซานกำลังกรนอยู่ข้างๆ หูของเขา

ไม่รู้ว่าเขาควรโมโหใครมากกว่ากันระหว่างท่านพี่หรือถังเย่ว์ซาน!

“ฮึ! น่าหงุดหงิดชะมัดแต่ละคน! คอยดูเถอะ! ถ้าข้าหายดีเมื่อไหร่จะรีบกลับเมืองหลวงทันที! แล้วจะไม่มาเหยียบที่บ้าๆ แบบนี้อีก!”

“ที่บ้าๆ อะไรรึ”

เสียงที่คุ้นเคยดังขึ้นจากข้างเตียงของเขา กู้เฉิงเฟิงสะดุ้งโหยงจนตัวแข็งทื่อ

“เหตุใดต้องเอาหัวซุกผ้านวมด้วย ไม่ร้อนรึ” กู้ฉังชิงยื่นมือออกและค่อยๆ ดึงผ้าห่มออก

กู้เฉิงเฟิงพยายามดึงไว้ แต่ไม่เป็นผล

พอเห็นพี่ชายอยู่ตรงหน้า ภายในใจของกู้เฉิงเฟิงเต็มไปด้วยความรู้สึกน้อยใจ

เขารู้ว่าตัวเองไม่เก่งนัก แต่เขาก็พยายามเต็มที่แล้ว กู้ฉังชิงชมทหารทุกคนที่ปกป้องเมือง ยกเว้นเขา

เขาก็ไม่ได้แย่นี่นา…

เขาผันตัวเองจากบัณฑิตมาเป็นทหารที่ฆ่าศัตรูและปกป้องบ้านเมือง

ในความเป็นจริง เขารู้สึกว่ามันยากและขมขื่น และเขาไม่เคยทนทุกข์กับความยากลำบากเลยตั้งแต่เด็กจนโต

เขาไม่เคยชินกับมันเลย

แต่สุดท้าย ก็อดทนมาได้

เขาไม่เคยแม้แต่บ่นสักครั้ง

ไยท่านพี่ยังมองไม่เห็นถึงความพยายามของเขา

“ยังเจ็บอยู่ไหม” กู้ฉังชิงเอ่ย

เฮอะ!

เพิ่งมาเป็นห่วงเอาตอนนี้เนี่ยนะ!

สายไปแล้ว!

กู้เฉิงเฟิงกระเถิบตัวหนี

ยังอีก! ยังไม่เอ่ยชมเขาอีก!

“ข้ามีของจะมอบให้เจ้าด้วย” กู้ฉังชิงเอ่ยเบาๆ

ต้องเป็นของเหลือจากยัยเด็กนั่นแน่ๆ เลย เขาไม่อยากได้หรอก!

“อะไรรึ” กู้เฉิงเฟิงเอ่ยด้วยเสียงแหบต่ำ

“เจ้าก็ดูเองสิ” กู้ฉังชิงวางอะไรบางอย่างที่ดูเหมือนถูกมัดด้วยเชือกไว้บนศีรษะของเขา

กู้เฉิงเฟิงคว้าสิ่งสิ่งนั้นมาโดยไม่หันกลับไปชายตามองผู้เป็นพี่

เขาแค่มองมันแบบผ่านๆ เท่านั้น ทว่ามันกลับทำให้เขาตกตะลึง

เขาลุกขึ้นนั่งโดยสัญชาตญาณ และมองดูตราแผ่นเล็กในมืออย่างไม่เชื่อสายตา ซึ่งเขียนชื่อ วันเกิด และบ้านเกิดของเขาไว้ ด้านหลังมีคำว่า’กู้’เขียนไว้

“นี่มัน…” เขาสะดุ้งโหยงก่อนจะหันไปทางกู้ฉังชิง

กู้ฉังชิงมองผู้เป็นน้องด้วยสีหน้าเคร่งขรึม แววตาของเขาเผยให้เห็นถึงจิตวิญญาณของทหารที่ไม่ย่อท้อ “ตราไม้ของกองทัพตระกูลกู้ยังไงล่ะ จากนี้ไป เจ้าคือกองทัพตระกูลที่แท้จริง เจ้าควรอุทิศตนเพื่อความยิ่งใหญ่ และอุทิศตนเพื่อราษฎร ต้องปฏิบัติตามคำสั่งทางทหาร กำจัดความชั่วร้ายเพื่อปกป้องแคว้นและราษฎร! เจ้าต้องปกป้องแม่น้ำทุกสายและทุกตารางนิ้วของอาณาเขตของแคว้นเจา! หากศัตรูบุกรุก พวกมันจะต้องข้ามศพของเจ้าไปก่อน!”

หัวใจของกู้เฉิงเฟิงพองโตสุดขีด ดวงตาของเขาแดงก่ำ เขายืดตัวตรง สำลักเสียงสะอื้น และเอ่ยคำสาบานอย่างเคร่งขรึม “ข้า กู้เฉิงเฟิง กองทัพตระกูลกู้…น้อมรับคำสั่ง!”