บทที่ 631 ขัดแย้ง

บทที่ 631 ขัดแย้ง

ครั้นมาถึงเรือนของซวีจ้าว ก็เห็นเหยาเอ้อหลางกำลังพูดคุยกับซวีจ้าวด้วยสีหน้าจริงจัง

แม้ว่าจะพูดเช่นนี้ แต่ปฏิกิริยาตลอดการสนทนาเหยาเอ้อหลางมักจะพูดคุยกับซวีจ้าวอย่างเบิกบานใจเสมอ ส่วนซวีจ้าวก็คล้อยตามอยู่หลายประโยคเช่นกัน

ครั้นนึกถึงนิสัยใจคอของซวีจ้าว อื้อ …. คงจะยากน่าดู

“พี่รอง พี่มาทั้งทีกลับก็ไม่มาหาข้า พี่ไม่ชอบข้าแล้ว”

ยามหลินซืออยู่ต่อหน้าญาติผู้พี่ นางสามารถออดอ้อนได้อย่างอิสระ

“น้องหญิง เจ้าอย่างโกรธข้าสิ ไม่ใช่ว่าข้ามาหาซวีจ้าวเพราะมีเรื่องหรอกหรือ”

“พี่รอง พี่ไม่ต้องมาอธิบาย พี่วางใจเถอะ ข้าไม่หึงพี่แน่นอน” หลินซือแสดงท่าทีใจกว้าง ราวกับเข้าใจเหยาเอ้อหลางกับซวีจ้าว

“คุณหนูหลิน คุณหนูเข้าใจผิดแล้ว เอ้อหลางมาหาข้าเพราะต้องการคุยเรื่องในคราที่แล้ว บัดนี้ก็ใกล้จะจบพอดี” ซวีจ้าวไม่เคยถูกใครหยอกเย้าเช่นนี้มาก่อน เวลานี้จึงไม่ค่อยสบายใจ

“ไม่เป็นไร ข้าแค่อยากมาเล่นกับพี่รอง ในเมื่อพวกเจ้ายุ่ง เช่นนั้นข้าก็ขอตัวก่อน ท่านแม่บอกไม่ให้ข้ามารบกวนพวกเจ้า”

จะเยาะเย้ยก็เยาะเย้ย แต่หลินซือก็ไม่กล้ารบกวนทั้งสองคน มีบางเรื่องที่นางไม่เข้าใจ ดังนั้นจึงไม่ได้พูดแทรก

“ไอหยา น้องหญิง….” เมื่อเห็นหลินซือเตรียมจากไป เหยาเอ้อหลางก็ทำท่าจะรั้งนางไว้ แต่กลับถูกซวีจ้าวขวางไว้

“ทำไม?”

“คุณหนูหลินคงไม่อยากให้เจ้าไล่ตามออกไป”

“…..”

เหยาเอ้อหลางรู้สึกว่าญาติผู้น้องของตัวเองมีท่าทีพิลึกพิลั่นขึ้นทุกวัน

หลินซือที่วิ่งออกไปอย่างรวดเร็วเห็นญาติผู้พี่ไม่ได้ไล่ตามออกมา จึงได้ลดฝีเท้าให้ช้าลง นางเห็นฉากที่ญาติผู้พี่และซวีจ้าวอยู่ด้วยกันเมื่อครู่แล้วไม่อยากรบกวนพวกเขา ใครเลยจะรู้ว่าจะถูกจับได้ โดนเยาะเย้ยไปหลายประโยค

โชคดีที่ตัวเองหลบเลี่ยงได้เร็ว ไม่อย่างนั้นคงเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นแน่

“ซวีจ้าว เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าญาติผู้น้องข้าคิดเช่นไร?”

“ข้าก็แค่เดา”

“เรื่องพวกนี้ล้วนเป็นเรื่องเล็ก เรื่องที่ข้าพูดกับเจ้าเมื่อครู่ เจ้าคิดเห็นอย่างไร?”

“ข้ายังไม่มีแผนชั่วคราวเพราะข้าอยากแสดงพลังตัวเองในสนามรบ”

“เจ้าอยู่ข้างกายข้าก็ช่วยข้าเหมือนกันไม่ใช่หรือ แม้ว่าข้าจะมีศิลปะการต่อสู้ แต่ก็ไม่ได้เก่งกาจเหมือนเจ้า ต้องยอมรับว่าหัวของข้ามันเร็วกว่าของเจ้า ดังนั้นถ้าเจ้าอยู่ข้างกายข้า เจ้าอาจจะเหมือนเสือติดปีกที่แข็งแกร่งมากขึ้น”

ถูกต้อง ที่เหยาเอ้อหลางมาครานี้ก็เพราะอยากให้ซวีจ้าวช่วยอยู่ข้างกายเขา อีกความหมายหนึ่งก็คืออยากให้ซวีจ้าวรับหน้าที่ดูแลเมืองจิงจ้าว

เรื่องของเสี่ยวเวยและเหยาเฉาได้ดลใจให้เขา ถ้าเขาสามารถหาคนที่ตัวเองไว้ใจได้ ย่อมกลายเป็นเสือติดปีกที่แข็งแกร่งสำหรับเขา

สำหรับคนอื่นเขาไม่รู้ แต่เขาไว้ใจซวีจ้าวอย่างแน่นอน

“ข้าไม่เหมาะสมการห้ำหั่นกันด้วยกลอุบายแบบนั้นหรอก” ซวีจ้าวไม่ได้ปฏิเสธโดยตรง แต่เพราะคิดแล้วถึงได้พูด

แม้เขาจะไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใดเหยาเอ้อหลางถึงได้ตามตื๊อตนเองยิ่งนัก แต่เขาก็ยังยืนหยัดในตัวเขาเอง

“เจ้าเตรียมตัวจะออกรบไปตลอดชีวิตใช่ไหม?” เหยาเอ้อหลางไม่ได้ดูถูกความคิดของเขา เพียงแต่คิดว่าตอนนี้ซวีจ้าวยังเยาว์วัยนัก ต่อไปก็ต้องแก่เฒ่า เขาจะฆ่าศัตรูในสนามรบไปตลอดชีวิตไม่ได้สิ

หากตัวเองสามารถถวายคำแนะนำต่อองค์จักรพรรดิได้ ประกอบกับหลักประกันของตระกูลหลิน ว่าเขาอยาได้ตำแหน่งขุนนางที่ดีในราชสำนัก นั้นเป็นเรื่องที่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้

“เจ้ากำลังดูถูกข้าอย่างนั้นเหรอ?” แม้ว่าซวีจ้าวจะไม่เข้าใจหลักทำนองคลองธรรมนัก แต่กลับสัมผัสได้ถึงคนที่ยินดีและยินร้ายต่อเขาได้อย่างว่องไว

เหมือนอย่างที่เหยาเอ้อหลางพูดไว้ แม้ว่าจะไม่มีคำหยาบคายแม้แต่คำเดียว แต่กลับทำให้ซวีจ้าวสัมผัสได้ว่าเหยาเอ้อหลางไม่อยากให้เขาเข่นฆ่าศัตรู

หรือเพราะเป็นขุนนางนานเกินไป จึงลืมสิ้นความตั้งใจแรกของตัวเอง? เขาจำได้ว่าก่อนหน้านั้นเหยาเอ้อหลางเคยเป็นทหาร

“ไม่ใช่ ข้าไม่ได้หมายความว่าเช่นนั้น ซวีจ้าวเข้าใจข้าผิดแล้ว” เมื่อสัมผัสได้ถึงน้ำเสียงของซวีจ้าวที่เปลี่ยนเป็นเย็นชา เหยาเอ้อหลางก็รู้ว่าตัวเองพูดผิดไป

ปากของเขา พลาดแล้วจริง ๆ เห็นได้ชัดว่าสิ่งที่แสดงออกกับสิ่งที่พูดนั้นคนละความหมายกัน

“เช่นนั้นเจ้าหมายความว่าอย่างไร”

“ความหมายของข้าก็คือ ตอนนี้เจ้ายังอายุน้อย แต่ถึงกระนั้นก็ต้องคิดถึงอนาคตข้างหน้า”

“เรื่องในอนาคตก็ค่อยพูดในอนาคตสิ ตอนนี้ข้าไม่อยากคิดเรื่องพวกนี้ ถ้าเจ้าอยากคุยเรื่องนี้ เช่นนั้นข้าไปล่ะ ข้าต้องเริ่มฝึกวิทยายุทธิ์แล้ว”

ครั้นเห็นเหยาเอ้อหลาง ซวีจ้าวก็เริ่มเอ่ยปากไล่ทันที

เดิมทีอารมณ์ของเขาก็ใช่ว่าจะดีนัก เพียงแต่ต่อหน้าเหยาเอ้อหลางก็พยายามอดทนอยู่มากโข

แต่วันนี้เหยาเอ้อหลางได้ทำให้เส้นตายของเขาขาดผึง ดังนั้นเขาจึงพูดจาห้วนโดยธรรมชาติ

“ซวีจ้าว…ก็ได้ ในเมื่อวันนี้เจ้าไม่อยากคุยเรื่องพวกนี้กับข้า พรุ่งนี้ข้าค่อยมาใหม่ แต่ข้าไม่มีวันยอมแพ้ง่าย ๆ แน่”

ครั้นเห็นซวีจ้าวปฏิเสธที่จะพูดคุยต่อ เหยาเอ้อหลางจึงหมดปัญญา

เขาเป็นคนดื้อรั้น แต่ครั้นเจอกับซวีจ้าวที่ดื้อรั้นยิ่งกว่า เขาก็ทำได้แค่ยอมแพ้ กับคนอื่นเขาสามารถล่อลวงและเกลี้ยหล่อมให้ยอมจำนนได้

แต่ซวีจ้าวเป็นคนตรงไปตรงมา เขาอยากจะทำสิ่งใดไม่มีใครขัดขวางได้ แต่เรื่องที่เขาไม่อยากทำ เขาบอกว่าค่อยว่ากันก็คือไม่มีประโยชน์

เหยาเอ้อหลางไม่ลืมว่าซวีจ้าวคือคนที่ช่วยชีวิตเขาไว้ ดังนั้นบุญคุณจากการช่วยชีวิตครั้งนี้ จะมากินบนเรือนขี้บนหลังคาไม่ได้

เขาจึงไม่ได้โน้มน้าวซวีจ้าวต่อ เหยาเอ้อหลางออกจากจวนหลินไป แต่ก่อนจากไป ก็ยังไม่ลืมที่จะไปหาเหยาซู ถึงกระนั้นก็เป็นอาวุโส รู้ทั้งรู้ว่าอาวุโสต้องอยู่ในจวนแน่ ครั้นจะไม่ไปทำทายคงจะเสียมารยาท

ตอนที่หลินซือรู้ เหยาเอ้อหลางก็ออกจากจวนหลินไปแล้ว

นึก ๆ แล้วก็ประหลาดใจ ก่อนหน้านั้นยามที่เหยาเอ้อหลางและซวีจ้าวอยู่ด้วยกันมักจะเป็นเวลานานตลอด แต่ครานี้กลับอยู่ด้วยกันครู่เดียวก็จากไป

หรือว่าทั้งสองคนจะทะเลาะกัน?

ครั้นนึกถึงนิสัยใจคอของซวีจ้าวและเหยาเอ้อหลาง หลินซือก็รู้สึกว่ามันเป็นไปไม่ได้

ซวีจ้าวพูดน้อยเพียงนั้น พวกเขาจะทะเลาะกันได้อย่างไร

คิดว่าตัวเองคงจะคิดมากไป ตัวเองต่างหาก ต้องหาเวลาว่างไปเยี่ยมพี่อาเถิงถึงจะถูก

ครั้นนึกถึงเจี่ยงเถิง หลินซือก็แอบรู้สึกเจ็บแปลบในใจเหมือนถูกแมวข่วนก็มิปาน

แม้ว่าช่วงนี้ในเมืองจะไม่ค่อยสงบสุขนัก แต่หลินซือผู้อยู่ในจวนตลอดไฉนเลยจะรู้เรื่องเหล่านี้ รู้แค่ว่าบิดาของตนกลับมากินมื้อค่ำกับมารดาตรงเวลาทุกวัน ไม่มีวันไหนที่ไม่กินด้วยกัน

ส่วนนางช่วงแรก ๆ ก็มักจะอยู่กินมื้อค่ำกับเหยาซู แต่หลังจากที่หลินเหรากลับมา หลินซือก็ให้คนนำอาหารมาส่งในจวนของตน เพราะไม่อยากรบกวนโลกทั้งสองของบิดากับมารดา

คนที่ทำให้นางอิจฉาที่สุดคือพี่ใหญ่ รายนั้นอยู่กับพี่ไป๋ทุกวัน ตัวติดกันหนึบเป็นตังเม ไฉนเลยจะเห็นเขาเป็นพี่ใหญ่ที่เย็นชาไร้ความรู้สึกเหมือนแต่ก่อนคนนั้น แต่ถึงกระนั้นพี่ใหญ่ก็มักจะพิเศษยามอยู่ต่อหน้าพี่ไป๋เท่านั้น ต่อหน้าผู้อื่น เขาไม่เปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย

นางจึงได้แต่ทอดถอนใจอยู่ลึก ๆ ในใจ กระทั่งนึกได้ว่าตั้งแต่กลับมาตัวเองยังไม่เคยไปเยี่ยมร้านหยกอวี้ฝูเลยสักครั้ง

หลังจากกินมื้อเย็นแล้ว ก็ให้สาวใช้ไปถามความเห็นของเหยาซูว่าตัวเองออกไปข้างนอกได้หรือไม่

เมื่อนึกได้ว่าช่วงนี้หลินซือคงจะอึดอัดที่อยู่แน่ในจวน เหยาซูจึงยินยอมโดยไม่พูดสิ่งใด

นิสัยลูกสาวของตัวเองไปอย่างไรตัวเองย่อมรู้ดี อยู่ได้ในจวนนานถึงเพียงนี้ก็จำกัดมากพออยู่แล้ว ถ้ายังกักขังนางต่อไปไม่รู้ว่าจะสร้างเรื่องอะไรอีก

ช่วงนี้เจี่ยงเถิงก็ยุ่งมาก ไม่มีเวลามาอยู่กับนาง ดังนั้นจึงไม่สู้หาเรื่องดึงความสนใจนางสักหน่อยจะดีกว่า

เมื่อได้รับการอนุญาตจากเหยาซู วันที่สอง หลินซือจึงพาสาวใช้ออกจากจวนไป