ภาค 4 ตอนที่ 13 กี่ครอบครัวสุขสันต์ กี่ครอบครัวเป็นทุกข์

Jun Jiu Ling หวนชะตารัก

เมืองหลวงบรรยากาศเทศกาลปีใหม่กำลังเข้มข้น

เสียงประทัดประปรายดังลอยไปบนถนน เด็กน้อยที่หัวเราะโวยวายบนท้องถนนก็มากขึ้นด้วย ร้านรวงจุดโคมนานาสีสัน ผู้คนไม่สนใจความหนาวเหน็บออกมาบนท้องถนนซื้อหาข้าวของสำหรับปีใหม่

วันปีใหม่ใกล้จะมาถึงแล้ว พร้อมกันนั้นยังมีข่าวเจรจราสงบศึกกับชาวจิน สงครามกำลังจะหยุดลงอีก ทำให้รอยยิ้มกลับมาสู่บนใบหน้าของชาวบ้านใหม่อีกครั้ง

เสียงป้าบดังขึ้นทีหนึ่ง แป้งทอดครึ่งชิ้นโยนเข้ามาในชามแตกๆ ใบหนึ่ง

นี่ทำให้ขอทานผู้สะลึมสะลือเหมือนตายตื่นขึ้น ดีอกดีใจประหนึ่งเสียสติคว้าแผ่นแป้งขึ้นมา กระตือรือร้นโขกศีรษะให้คนผ่านทางผู้อ้วนฉุคนนี้

“ขอบคุณนายท่าน ขอบคุณนายาท่าน” เขาเอ่ยอย่างซาบซึ้ง ไม่รู้ว่าเพราะภาษาถิ่นทางเหนือหรือลิ้นหนาวจนแข็งทื่อฟังไม่ชัด

คนผ่านทางคนนั้นก็ไม่ได้สนใจ

“วันนี้อารมณ์ดี ให้แป้งทอดเจ้ากินสักคำ” เขาเอ่ยแล้วเดินส่ายอาดๆ ผ่านไป

ขอทานตอนนี้ถึงคลานขึ้นมารอแทบไม่ไหวกัดแผ่นแป้งกิน แม้ไม่มีไอร้อนแล้ว แต่แผ่นแป้งยังนับว่านิ่มอยู่ ไม่เหมือนของกินที่ได้มาก่อนหน้านี้พวกนั้นแข็งและเย็นเสียยิ่งกว่าก้อนน้ำแข็ง

นานเท่าไรแล้วที่ไม่ได้กินของอร่อยเช่นนี้ กินไปกินไป ขอทานพลันน้ำตาร่วง ที่จริงก็ไม่นานเท่าไร

ก่อนหน้านี้แค่สองเดือน เขามีบ้านหลังหนึ่ง แม้นับไม่ได้ว่ามั่งคั่งมากมายแต่ก็บังลมบังฝนได้ ในบ้านแม้ไม่มีเงินสักเท่าไรแต่หนึ่งวันก็กินอาหารร้อนๆ ได้สองมื้อ

แป้งทอดเช่นนี้ เขาล้วนใช้เลี้ยงหมูหรือเลี้ยงไก่

ขอทานกำแผ่นแป้งในมือ

“บ้านของข้าอยู่ที่ป้าโจวหมู่บ้านตระกูลหลิว…” เขาเอ่ยพึมพำ “ในอดีตข้าเคยเดินทางมาเมืองหลวง แต่ข้าไม่เคยคิดเลยว่าจะมาเมืองหลวงในสภาพนี้ ตอนนี้เทียบกับเมืองหลวง ข้าคิดถึงบ้านของข้ายิ่งกว่า…”

มีคนหยุดเท้าตรงหน้าเขา

“บ้านเจ้าอยู่ที่ไหนนะ?” เสียงบุรุษอ่อนโยนเสียงหนึ่งดังขึ้นเหนือศีรษะ

คำพูดของเขาสำเนียงเหมือนกับขอทานคนนี้

ขอทานตื่นเต้นอยู่บ้างเงยหน้าขึ้น

“ท่านก็เป็นคนป้าโจวหรือ?” เขาเอ่ยถาม

เงยหน้าขึ้นก็เห็นขุนนางผู้น้อยผู้อ่อนโยนประหนึ่งหยก ดวงหน้างดงามคนหนึ่ง ข้างกายมีบุรุษคนหนึ่งกับเด็กรับใช้คนหนึ่งติดตาม

หนิงอวิ๋นเจาส่ายศีรษะ

“ข้าไม่ใช่” เขาเอ่ยแล้วกลับมาเอ่ยภาษาทางการอีกครั้ง “ข้ามีสหายคนหนึ่งเป็น”

ขอทานไม่รู้ควรพูดอะไร ตามหลักแล้วเขาควรคว้าโอกาสนี้ขอทาน อย่างไรดูไปแล้วบุรุษสองคนนี้ล้วนร่ำรวยมาก โดยเฉพาะชายหนุ่มข้างกายขุนนางคนนี้ เสื้อผ้าที่สวมใส่หรูหราสะดุดตา ก็ไม่รู้เลียนแบบมาจากผู้ใด ทั้งตัวเหม็นกลิ่นเงิน

แต่ขอทานวันนี้ไม่อยากขอทานแล้ว ขอทานก็มีสิทธิทำตามใจเหมือนกัน

เขาจึงก้มศีรษะกัดแผ่นแป้งนิ่งๆ เช่นนี้

ขุนนางผู้น้อยคนนั้นก้มตัววางเงินถุงหนึ่งไว้ในอ้อมแขนของเขา

“อดทนมีชีวิตผ่านหน้าหนาวนี้ไปดีๆ เถอะนะ” เขาเอ่ยแล้วหยุดครู่หนึ่ง “บ้านของเจ้าหลังจากนี้ไม่มีแล้ว”

จนกระทั่งเดินออกไปช่วงหนึ่งก็ยังคงได้ยินเสียงร้องไห้ของขอทานคนนั้น

เฉินชีจิ๊ปากพลางส่ายศีรษะ

“ขุนนางน้อยหนิงท่านแย่เหลือเกินจริงๆ” เขาเอ่ย “คนผู้นี้น่าสงสารพอแล้ว ท่านยังบอกข่าวนี้กับผู้อื่นอีก”

“ข้าให้เงินเขาแล้ว” หนิงอวิ๋นเจาเอ่ย “ช้าเร็วเขาก็ต้องรู้ข่าวนี้ แต่เวลานั้นเขาร้องไห้ก็ไม่มีคนให้เงินเขาแล้ว”

เฉินชีหัวเราะพรืด

“คุณชายสิบหนิงความคิดเยี่ยม” เขาเอ่ยพลางซุกมือเข้าไปในแขนเสื้อ หลบเด็กน้อยหลายคนที่วิ่งเข้ามา “อาของท่านยังสบายดีไหม?”

“ยังไหวอยู่กระมัง” หนิงอวิ๋นเจาเอ่ย “บทกวีที่เขาเขียนทุกวัน ข้าล้วนเผาหมดด้วยมือตัวเอง”

เฉินชีหัวเราะอีกครั้ง

เห็นชัดว่าหนิงเหยียนผู้อยู่ที่บ้านโกรธแค้นความอยุติธรรมด่าฟ้าด่าดินด่าฮ่องเต้ บทกวีเหล่านี้ย่อมไม่อาจรั่วไหลออกมาได้ ไม่เช่นนั้นไม่รู้ว่าจะถูกยัดโทษอะไรให้อีก ถ้าเช่นนั้นตระกูลหนิงก็จบสิ้นจริงๆ แล้ว

“คุณชายสิบหนิงท่านไม่เป็นไรใช่ไหม?” เฉินชีเอ่ยถามเสียงเบา

หนิงเหยียนถูกให้ออกจากตำแหน่งแล้ว แต่คุณชายสิบหนิงยังคงเป็นขุนนางอยู่ในราชสำนัก

“ข้าจะมีปัญหาได้อย่างไร ตั้งแต่ต้นจนจบข้าไม่ได้เอ่ยสักครึ่งคำ” หนิงอวิ๋นเจาเอ่ย “ข้าทำงานในหน้าที่ขยันขันแข็งตั้งอกตั้งใจ อย่างไรก็ไม่อาจเพราะข้าเป็นหลานของท่านอา ก็จะเอาข้าออกจากตำแหน่งหรือเนรเทศออกไปได้กระมัง? ความผิดที่ท่านอาข้าทำก็ไม่ใช่โทษใหญ่พัวพันผู้อื่น”

พูดพลางก็ยิ้มน้อยๆ อีกครั้ง

“นับประสาอะไรเมื่อฝ่าบาทเป็นประมุขผู้เมตตาคนหนึ่ง”

เฉินชีหัวเราะหึหึอีกครั้ง

“ขุนนางน้อยหนิงดีจริงๆ มิน่าทุกผู้ทุกคนล้วนชอบท่าน” เขาเอ่ย

แม้หนิงเหยียนถูกให้ออกจากตำแหน่ง แต่เส้นสายในราชสำนักของหนิงอวิ๋นเจากลับมากขึ้นไม่หยุด หลักๆ คือในกลุ่มขุนนางชั้นล่างอายุน้อยพวกนั้น คนมากมายได้รับคำเตือนจากเขาจึงไม่ได้เข้าร่วมโต้เถียงเกี่ยวกับการสงบศึกครั้งนี้

คนที่สนับสนุนให้ทำสงครามโชคดี คนที่สนับสนุนให้สงบศึกก็โชคดี เพราะฝ่าบาทยุติธรรมยิ่งนักลงโทษขุนนางกลุ่มของหนิงเหยียนให้ออกจากตำแหน่ง ขุนนางที่สนับสนุนให้สงบศึกจำนวนหนึ่งก็ลงโทษด้วย แสดงออกว่าฮ่องเต้ไม่ได้ลงโทษเพราะขุนนางขัดพระประสงค์ของตนเอง แต่เพราะขุนนางทั้งหลายผิดต่อหน้าที่หรือเสียมารยาท

แม้ดูไปแล้วขี้ขลาดอยู่บ้าง แต่ทุกคนที่ก้าวเข้ามาเป็นขุนนางเมืองหลวงขุนนางในราชสำนักระดับนี้ ใครก็ไม่อยากเอาอนาคตการงานมาล้อเล่น ดังนั้นไม่ว่าในที่แจ้งในที่ลับล้วนแสดงความรู้สึกดีต่อหนิงอวิ๋นเจา

แน่นอนคนมากยิ่งกว่าล้วนคิดว่านี่คือความคิดของหนิงเหยียน เขานำหน้าหมู่ทหารทุ่มเทจนตัวตาย รู้ชัดว่าทำไม่ได้ก็ยังทำ

แม้เสียอำนาจในราชสำนัก แต่ในหมู่บัณฑิตชื่อเสียงของหนิงเหยียนกลับเพิ่มขึ้นมาก

ได้ยินคำพูดของเฉินชี หนิงอวิ๋นเจาก็หัวเราะแล้ว

“ไหนเลยทุกคนจะชมชอบหมดได้” เขาเอ่ย “คำพูดเช่นนั้นใยไม่ใช่ทุกสิ่งสมหวัง? ยอดปราชญ์เทพเซียนก็ทำไม่ได้”

ตัวอย่างเช่นสุดท้ายก็มีคนไม่ชอบเขา นอกจากนี้ยังบังเอิญเป็นคนที่เขาชอบอีกด้วย

เช่นนี้แม้คนหมื่นพันบนโลกเอาอกเอาใจเขา สุดท้ายในใจมุมหนึ่งก็ยังเว้าแหว่งยากเติมเต็ม

“คุณชายหนิง” เฉินชีพลันสีหน้าจริงจัง ทั้งยังเอนกายเข้ามากดเสียงเบา “ข้ารู้สึกว่าท่านดีที่สุดแล้ว ข้ายืนอยู่ข้างท่านด้านนี้แน่นอน”

หนิงอวิ๋นเจาหัวเราะฮ่าฮ่าแล้ว

“เพราะเมื่อครู่ข้าแนะนำการค้าครั้งใหญ่ให้เจ้าหรือ?” เขาเอ่ย

“การค้าส่วนการค้า น้ำใจส่วนน้ำใจไหมเล่า” เฉินชีหัวเราะหึหึเอ่ย

“เรื่องของโลกเรื่องของคน คนกับโลกแต่ไรมาล้วนไม่อาจแยกจากกัน” หนิงอวิ๋นเจายิ้มเอ่ยพลางตบหัวไหล่ของเขา “ข้าแนะนำการค้าครั้งนี้ก็เพราะคุณหนูจวิน เพื่อให้นางดีใจให้นางชมชอบ ข้าไม่คิดปฏิเสธเรื่องนี้”

เฉินชีประสานมือคารวะเขา

“วิญญูชนใจกว้างจริงๆ” เขาสีหน้าจริงจังเอ่ย

“ตอนนี้นางยังอยู่ที่เมืองชิ่งหยวนไหม?” หนิงอวิ๋นเจาเอ่ยถาม

วิญญูชนใจกว้างจริงๆ เพิ่งช่วยงานก็จะเก็บค่าตอบแทนสืบถามที่อยู่ของคุณหนูจวินเสียแล้ว

เฉินชีประสานมือคารวะอีกครั้ง

“ยังอยู่ที่เมืองชิ่งหยวนขอรับ ผ่าฟืนเลี้ยงม้าล่าสัตว์ทำนา” เขาเอ่ย

“ไม่รู้ว่าชาวเขาเหล่านั้นเป็นใครสำหรับนาง” หนิงอวิ๋นเจาอมยิ้มเอ่ย

“ก็แค่ชาวเขาที่น่าสงสาร คุณชายหนิงหรือไม่รู้ว่าคุณหนูจวินเป็นหมอจิตใจเมตตา…” เฉินชีเอ่ย

คำพูดยังเอ่ยไม่จบหนิงอวิ๋นเจาก็ยิ้มพลางส่ายศีรษะแล้ว

“ข้าไม่รู้จริงๆ ว่านางใจเมตตา” เขายิ้ม “ยังคงเป็นประโยคนั้นเรื่องของโลกเรื่องของคน ไม่มีคนที่ไร้ต้นสายปลายเหตุและไม่มีเรื่องที่ไร้ต้นสายปลายเหตุ”

เฉินชีหัวเราะแห้งๆ สองที ดังนั้นถึงบอกว่าคบหากับคนที่เป็นขุนนางเหล่านี้ไม่ง่ายจริงๆ คนเหล่านี้ความคิดละเอียดนัก

“แต่แดนเหนือนี่กำลังจะวุ่นวายแล้ว นางยังเป็นชาวเขาสบายอกสบายใจอยู่อีกหรือ?” หนิงอวิ๋นเจาเอ่ย

บนหน้าเฉินชีกังวลขึ้นมาอยู่บ้าง

“เจรจาสงบศึกแล้ว ไม่ใช่ไม่รบแล้วหรือขอรับ? ถ้าอย่างนั้นไม่ใช่สงบสุขแล้วรึ?” เขาเอ่ย

มุมปากหนิงอวิ๋นเจายิ้มหยันจางๆ

“สงบสุขสำหรับพวกเราคนที่ไม่อยู่แดนเหนือเหล่านี้” เขาเอ่ย “ชาวบ้านผู้ถูกทอดทิ้งที่แดนเหนือไหนเลยยังมีความสงบสุขอะไรอีก”

เฉินชียืนนิ่งอยู่บนถนนครู่หนึ่ง มองดูขุนนางเยาว์วัยผู้นั้นพาเด็กรับใช้เดินทอดน่องจากไป จนกระทั่งปลายจมูกเย็นเยียบ

เขาจึงเงยศีรษะ มองเกล็ดหิมะที่ไม่รู้ลอยละล่องตั้งแต่เมื่อไรบนท้องฟ้า

“หิมะต้องฤดูปีหน้าคงบริบูรณ์”

เด็กน้อยทั้งหลายถือโคมเทพเจ้ากระต่ายหัวเราะพลางวิ่งผ่านข้างกายไป

เฉินชีก้าวเร็วรี่รีบร้อนก้าวเข้าโรงหมอจิ่วหลิง

โรงหมอจิ่วหลิงเงียบสงบและอบอุ่นดั่งฤดูใบไม้ผลิ กลิ่นหอมของยากำจาย ฟางจิ่นซิ่วนั่งอยู่หลังโต๊ะกั้นดีดลูกคิด

“จิ่นซิ่ว” เฉินชีไม่ได้หยอกล้อคุยเล่นหลายประโยคเหมือนก่อนหน้านี้ แต่ก้าวไวๆ เข้าไป “ทำไมคุณหนูจวินต้องใช้เงินมากมายปานนี้? นางอยู่แดนเหนือที่แท้ต้องการทำอะไรกันแน่?”

ฟางจิ่นซิ่วไม่เงยศีรษะเสียด้วยซ้ำ

“เงินของนาง นางอยากใช้อย่างไรก็ใช้อย่างนั้น เกี่ยวอะไรกับพวกเรา” นางเอ่ย

ในเวลาเดียวกันนี้ตระกูลฟางที่หยางเฉิง นายหญิงใหญ่ฟางก็กำลังสีหน้าบึ้งตึงโยนสมุดบัญชีกองหนาลงตรงหน้าฟางเฉิงอวี่

“ทำไมเงินมากปานนี้ไหลไปมณฑลเหอเป่ยแล้ว?” นางเอ่ย “บ้าบอจริงๆ เงินที่มณฑลเหอเป่ยถูกนางใช้เกลี้ยงหมดแล้วรึ?”

ฟางเฉิงอวี่ยิ้มร่ากดสมุดบัญชีไว้ ไม่ให้ไถลร่วงตกลงพื้น

“ท่านแม่ เงินก็มีไว้ใช้ไหมขอรับ จะพูดว่าบ้าบอได้อย่างไร” เขาเอ่ย